เขากว่างเฉิงยิ่งใหญ่ เลี้ยงเจ้าตัวโตนี้ตัวเดียวคงไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังได้รับอำนาจสิทธิพิเศษจัดสรรทรัพยากรอีกต่างหาก
สำหรับตัวเยี่ยนจ้าวเกอเองแล้ว เขายินดีที่จะเป็นเศรษฐีใหม่มือเติบอวดร่ำอวดรวยเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ชายหนุ่มนึกได้ถึงส่วนประกอบชนิดหนึ่ง ซึ่งหลังผ่านการหลอมด้วยวิธีการพิเศษแล้ว ก็จะสามารถใช้เป็นอาหารของหมีสยงเมาตัวนี้ได้
อีกทั้งปริมาณการผลิตส่วนประกอบชนิดนี้ค่อนข้างสูง ทว่ามีราคาต่ำ ประสิทธิผลยังดีกว่าโลหะคุณภาพและศิลาแร่ทั่วไปอีกด้วย เป็นต้นแบบของของดีราคาถูกโดยสิ้นเชิง
ส่วนชื่อของมัน เยี่ยนจ้าวเกอเตรียมไว้สองตัวเลือกด้วยเจตนาร้ายให้ขบขันยิ่ง ชื่อคือพ่านพ่าน (คาดหวัง) อีกชื่อคือว่าพ่างหู่ (เสืออ้วน)
ส่วนแผนการหลังจากนั้นที่เยี่ยนจ้าวเอกคิดไว้ ก็คือตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงตัวถัดไปว่าเสี่ยวฝู (เด็กหนุ่ม) และตัวถัดถัดไปเรียกว่าต้าสยง (วีรบุรุษ)…
เหล่านี้ล้วนเป็นงานอดิเรกที่ไม่ดีนักเนื่องด้วยความเบื่อหน่ายของเยี่ยนจ้าวเกอ ทว่ากลับไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวต่อคนนอก
“จิ๊ สองชื่อนี้ ใช้ชื่อไหนดีนะ นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเสียจริง” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มตาหยีมองดูหมีสยงเมายักษ์ตรงหน้า
ปี่เซียะภูเขาที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่งยวด ร่างกายอันใหญ่ยักษ์สั่นระริกเบาๆ ครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงท่าไม่ดีอยู่บ้างโดยสัญชาตญาณ
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะร่วนพลางตบหัวใหญ่โตของมันเบาๆ แล้วจึงช้อนตาสายขึ้นมองไปยังที่ที่ไกลออกไป
พวกเขายังคงปักหลักอยู่บนเกาะน้อยนั่น เนื้อที่ของที่แห่งนี้มีจำกัด ต้องการจะหาคนอื่นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ชายหนุ่มยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไป สายตากวาดส่องก็เห็นว่าไกลออกไปมีเงาร่างสวมอาภรณ์สีเขียว กำลังเดินมาทางด้านตนเอง
ผู้มาเยือน กลับเป็นศิษย์หญิงเยาว์วัยของหอคลื่นโหมผู้นั้น จางเหยา
เด็กสาวใบหน้ากลมมองเห็นเยี่ยนจ้าวเกอและหมีสยงเมายักษ์ข้างกายเขา ที่แม้ว่าจะใหญ่โต แต่ปรากฏความน่ารักโอนอ่อนผ่อนตาม จึงพลันวางใจขึ้นมาทันที
“ศิษย์พี่เยี่ยนปราบปี่เซียะภูเขาตัวนี้แล้วหรือ” จางเหยาเดินเข้าใกล้ด้วยความสงสัยใคร่รู้
หมีสยงเมายักษ์ตัวนั้นพลิกตัวบนพื้นด้วยความเหนื่อยหน่าย อ้วนท้วนน่าเอ็นดู ทำให้จางเหยาเกิดความรู้สึกดีอย่างมาก
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น จึงปริปากกล่าว “แท้จริงแล้วเจ้าอายุยังน้อย คงไร้แรงต้านทานต่อสิ่งน่ารักเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง”
จางเหยาเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน ข้าลูบมันได้หรือไม่เจ้าคะ”
เขาหันศีรษะกลับไปมองเจ้าตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกายตนเอง เห็นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมัน ไม่ได้ต่อต้านขัดขืนแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ได้”
เด็กสาวร้องดีอกดีใจโดยพลัน รุดขึ้นมาด้านหน้า
นางเร่งรีบเข้าใกล้หมีสยงเมายักษ์ตัวนั้น ขณะเดียวกัยเยี่ยนจ้าวเกอก็ถามว่า “คนที่ยิงธนูผู้นั้น ไม่ใช่จอมยุทธ์สำนักเจ้ากระมัง”
จางเหยาตื่นตัว กล่าวตอบ “ทำให้ศิษย์พี่เยี่ยนขบขันเสียแล้ว คนผู้นั้นไม่ใช่จอมยุทธ์สำนักข้าแต่อย่างใด น่าจะเป็นจอมยุทธ์เกาะฉู่แห่งบึงพิภพที่ทะเลสาบปิดนภาตั้งอยู่ แม้ข้าจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่การที่สามารถเข้าสู่ค่ายกลปิดนภาได้ ก็น่าจะมีฐานะเดิมเป็นขุมกำลังระดับหนึ่งหรือสองที่ใกล้ชิดกับสำนักข้า หรือไม่ก็จอมยุทธ์เดินทางลำพัง เขาน่าจะเพียงแค่ต้องการจับเจ้าปี่เซียะภูเขาตัวนี้เท่านั้น ไม่พบเห็นพวกเรา และก็คงไม่ได้มีเจตนาเช่นกัน”
ถึงจะยังเยาว์วัย พลังฝึกปรือก็ยังอยู่ในขั้นจิตราชั้นใน ทว่าสาวน้อยใบหน้ากลมผู้นี้กลับเป็นศิษย์สืบทอดหลักแห่งหอคลื่นโหมผู้ซึ่งซื่อตรงยิ่ง และแม้ว่าพลังฝึกปรือจะยังไม่เทียบเท่า แต่ก็ได้รับการปฏิบัติเดียวกับเซี่ยโยวฉานและหร่วนผิง
เยี่ยนจ้าวเกอมองออกว่าความรู้สะสมจากประสบการณ์ชีวิตของจางเหยา ก็จัดอยู่ในประเภทที่ค่อนข้างผิวเผินเช่นกัน
ถึงกระนั้นศิษย์สืบทอดที่มีพลังความสามารถบรรลุเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ ศักยภาพ พรสวรรค์ วรยุทธ์ และพลังความสามารถย่อมไม่ต้องสงสัยโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นจางเหยาลงมือมาก่อน ทว่าตลอดการร่วมเดินทางนี้ เยี่ยนจ้าวเกอเห็นเคล็ดวิชาตัวเบาและการกำหนดลมหายใจขับพิษของนางแล้ว ขอเพียงแค่ประสบการณ์การต่อสู้จริงไม่ขาดแคลน ก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยไปกว่าโหวเสียง ศิษย์เขาไร้พรมแดนที่เคยพบกันที่เขานิมิตเมฆเมื่อก่อนหน้านี้
เยี่ยนจ้าวเกอฟังจางเหยากล่าวจบ ก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “อืม ข้ารู้ดี ยิ่งไปกว่านั้น แม้รู้ว่าพวกเราอยู่ที่แห่งนั้นก็ไม่เป็นไร เจ้านี่…เอ่อ เจ้าปี่เซียะภูเขาตัวนี้ หากหอคลื่นโหมของเจ้าเองไม่รับไว้ เช่นนั้นก็อนุมานได้ว่าเป็นสัตว์ไร้เจ้าของ”
“สัตว์ไร้เจ้าของ ผู้ได้สามารถรับเอาไปได้ อาศัยความสามารถแต่ละบุคคล หากแต่เขาพุ่งเป้ารุกโจมตีข้าละก็ เช่นนั้นข้าก็จะมิยั้งมือไว้ไมตรีเช่นกัน”
จางเหยายิ้มน้อยๆ “เขาไม่อาจโจมตีเทียมศิษย์พี่เยี่ยนได้หรอกเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ไปค้นหาคนอื่นกันหน่อยเถิด พื้นที่เกาะนี้มิใหญ่ คาดว่าร้องตะโกนครั้งหนึ่ง ศิษย์พี่เซี่ยกับอาหู่ก็คงจะได้ยินแล้ว”
หลังจากเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว จางเหยาก็ไม่ได้ระมัดระวังตนต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอมากขนาดนั้นเช่นกัน ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มกล่าว “หากข้าตะโกนละก็ เกรงว่าเสียงคงยังไม่ดังพอ”
ชายหนุ่มผุดยิ้ม “เดิมข้าก็ไม่ได้ขอให้เจ้าตะโกนเสียหน่อย”
สิ้นคำพูด ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามยาวในทันที ประหนึ่งกับมังกรคำรามบนสุดขอบฟ้า
จางเหยาอยู่ด้านข้าง เพียงแค่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจสั่นไหวกระเพื่อม ปราณจิตราทั่วกายไม่มั่นคง
“พลังฝึกปรือศิษย์พี่เยี่ยนช่างสูงนัก” จางเหยาตกใจจนพูดไม่ออกอยู่เงียบๆ แม้ว่าความรู้สั่งสมจากประสบการณ์จะน้อย ทว่ายอดฝีมือที่เคยพบมาล้วนไม่น้อยเลย
หอคลื่นโหมกับเขากว่างเฉิงเสมอกันในหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ในโลกแปดพิภพ จอมยุทธ์ระดับขั้นเคียงนภาภายในสำนักจะน้อยไปได้อย่างไร
ทว่าหลังจากจางเหยาหวนคะนึงแล้ว กลับพบว่าในกลุ่มคนที่ตนเคยพบมาก่อนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้นผู้ใดสามารถเทียบเยี่ยนจ้าวเกอได้เลยสักคนเดียว
ถึงแม้ว่าไม่เคยประมือกันจริงๆ มาก่อน กระนั้นจางหวนนึกอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว ต่อให้เป็นหร่วนผิงที่อยูในขั้นเคียงนภาระยะกลาง เกรงว่าก็เอาชนะเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้
คิดถึงก่อนหน้าที่หร่วนผิงทดลองหยั่งเชิงเยี่ยนจ้าวเกอ จางเหยาอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเบาๆ ‘เคราะห์ดีที่ศิษย์พี่หร่วนไม่ได้ลงมือจริงๆ…’
เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอหยุดคำรามแล้ว จางเหยาก็เอ่ยว่า “หลังจากศิษย์พี่เซี่ยกับพี่ใหญ่ได้ยินแล้ว คงจะรีบเร่งมาร่วมกัน พวกเราก็รอท่าอยู่ที่เดิมดีหรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กล่าวตอบ เส้นสายตากลับจะมองไปอีกทิศทางเสียด้วยซ้ำไป
จางเหยากล่าวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“บนเกาะยังมีผู้อื่นอีก” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม
ยามคำรามเสียงยาวเมื่อครู่ เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไกลออกไปมีปราณจิตราของจอมยุทธ์กำลังผันแปร จากนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มเข้าใกล้มาทางด้านนี้ โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะปกปิดอำพรางสถานที่ที่เดินทางแต่อย่างใด
รอจนอีกฝ่ายใกล้เข้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอถึงสัมผัสแยกแยะอย่างละเอียด กลับพบว่าภูมิหลังวิถีวรยุทธ์ของเขาไม่ใช่อาหู่ และก็ไม่ใช่เซี่ยโยวฉานเช่นกัน
กระทั่งต่อมา แม้แต่จางเหยาก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย ข้างหูเกิดเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งดังขึ้น
ทุกย่างก้าวของอีกฝ่าย พสุธาคล้ายกับสั่นสะเทือนอยู่ชั่วครู่ ดุจดั่งภูเขาสูงตระหง่านกำลังก้าวเดินอย่างไรอย่างนั้น
“จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดน ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้าย” เยี่ยนจ้าวเกอรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว ครู่ถัดมาก็พบเงาร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมาจากภายในป่าไผ่ไกลออกไป
ผู้มาเยือนอายุราวสามสิบปี ในดวงตาฉายแววบ้าเลือด ซึ่งนั่นก็คือหลิวเซิ่งเฟิง ศิษย์สืบทอดหลักแห่งเขาไร้พรมแดน
สายตาเยี่ยนจ้าวเกอมองไป พบว่าในมือหลิวเซิ่งเฟิงจับขาของคนคนหนึ่งไว้ เดินลากเอาคนคนนั้นไปกับพื้น
ผู้ที่ถูกหลิวเซิ่งเฟิงจับไว้ เห็นได้ชัดแจ้งว่าเป็นจอมยุทธ์วัยกลางคนผู้ใช้ลูกศรระเบิดวิญญาณลอบโจมตีปี่เซี่ยะภูเขาเมื่อครู่
ขาข้างหนึ่งของจอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นี้ถูกหลิวเซิ่งเฟิงจับเอาไว้ ส่วนขาอีกข้างหักตั้งแต่ช่วงหัวเข่า โลหิตไหลไม่ขาดสาย รอยเลือดลากออกไปบนพื้นเป็นทางยาว แช่ใบไผ่ที่ร่วงอยู่บนพื้นเอาไว้
ในมืออีกข้างหนึ่งของหลิวเซิ่งเฟิง กลับจับคันธนูยาวของจอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้นอยู่
เขาปล่อยขาของจอมยุทธ์วัยกลางคนออก อีกฝ่ายนอกจากจะขาหักแล้ว ยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสอื่นๆ อีกหลายแห่งนัก มองไปแล้วราวกับว่าโครงกระดูกทั่วร่างล้วนถูกหักทั้งสิ้นอย่างไรอย่างนั้น
จอมยุทธ์วัยกลางคนหายใจรวยริน ขณะนี้หลุดพ้นในที่สุด คิดอยากจะดิ้นรนหนี ทว่าหลิวเซิ่งเฟิงที่เหมือนกับฝันร้ายสำหรับเขาก็นั่งยองๆ ลง
กระนั้นหลิวเซิ่งเฟิงก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เยี่ยนจ้าวเกอและจางเหยา ดึงรั้งสายยาวของคันธนูในมืออยู่บนต้นคอของจอมยุทธ์วัยกลางคนผู้นั้น
………………..
Related