เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่มองเยี่ยนจ้าวเกอที่ทำท่าเป็นคนดี กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ฝ่ายอาหู่หัวเราะเหอะๆ ส่วนกลับพยักหน้าอย่างไม่จริงใจ “ถูกต้องๆ คนที่มีคุณธรรมล้นฟ้าคือท่านนี่เอง”
หลังจากหยอกล้อเสร็จ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ขมวดคิ้ว “สำนักความมืดย่อมคิดหาวิธีสืบข่าวจากสำนักแสงสว่าง ตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเติ้งเซิน พร้อมทั้งตรวจสอบความเป็นมาของท่าน ถึงตอนนั้นไม่ใช่จะรู้ว่าเราไม่ใช่คนที่เติบโตในโลกซ้อนโลก แต่มาจากโลกเบื้องล่างหรอกหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “พวกเขายืนยันข่าวการตายของพวกเติ้งเซินได้ ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว”
เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “จริงด้วย ยังไม่ต้องพูดว่ายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นตายในสำนักของเรา ทำให้สำนักแสงสว่างเสียหน้า ต่อให้จะเป็นเพราะเพื่อตราประทับตะวันและมงกุฎจันทรา สำนักแสงสว่างก็ต้องปิดข่าวไว้สุดกำลัง”
“แม้สำนักความมืดจะวางสายไว้ในสำนักแสงสว่าง ทว่าระดับคงย่อมไม่สูงนัก ไม่เช่นนั้นสำนักแสงสว่างคงจะถูกสำนักความมืดทำลายไปแล้วหลายรอบ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้าง เอ่ยว่า “ความแตกก็ไม่เป็นไร ทุกคำข้าพูดตามจริง จินตนาการที่พวกเขาคิดขึ้นมา ข้าไปควบคุมไม่ได้”
อาหู่ยิ้มยิงฟัน “คุณชาย เช่นนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องมีพลังที่ทำให้พวกเขากริ่งเกรงถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายย่อมไม่พูดจาด้วยเหตุผลกับเรา”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถูกต้อง เพราะเหตุนี้ ขอแค่ผ่านช่วงเริ่มต้นไปได้ก็พอ
“ตอนนี้ตราประทับตะวันถึงแม้จะกระตุ้นพลังได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง”
พูดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ลูบคางของตัวเอง “แต่น่าเสียดาย โจมตีได้แค่ครั้งเดียว สิ่งที่ข้าสนใจในตอนนี้ก็คือของวิเศษของพระราหูที่สำนักแสงสว่างกำลังตามหาอยู่ เสียดายที่ทางร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังหาไม่เจอ”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว “ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของท่าน ตอนนี้ไปถึงในอาณาเขตของสำนักแสงสว่างแล้วหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง”
หญิงสาวใคร่ครวญ พูดว่า “จะว่าไป พวกจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงจางเชาที่มาแปดพิภพเป็นครั้งที่สอง เห็นแค่ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักกับตัวท่าน และตราประทับตะวันที่ยอดเขาเรืองรองเท่านั้น
“ส่วนพวกเติ้งเซินที่มาเป็นครั้งแรก เคยเห็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของท่าน แต่ต่างตายไปหมดสิ้นแล้ว เสี่ยวหวานกับถังหย่งฮ่าวที่ถูกจางเชาพามายังโลกซ้อนโลก ล้วนจากไปก่อนที่ท่านกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกจะกลับแปดพิภพ”
“คนของสำนักแสงสว่าง สมควรไม่รู้การดำรงอยู่ของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกระมัง?”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็ยิ้มขึ้น “เป็นอย่างที่ว่า”
ทุกคนมุ่งหน้าต่อ ข้ามผ่านฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล
ระหว่างทาง เห็นไฟสงครามเกิดขึ้นทุกที่ แต่ใช่ว่าล้วนเป็นผู้นำจอมยุทธ์สำนักความมืดชูธงต่อต้าน เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นเห็นจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างต่อสู้กับทหารของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องอย่างดุเดือด
หลังจากทุกคนเดินทางเป็นเวลานาน ก็มาถึงเกาะเซิ่งเหอ ที่นี่กลับไม่ใช่แผ่นดินของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง แต่อยู่ในอาณาเขตของสำนักความมืดมาโดยตลอด
คนที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเยี่ยนจ้าวเกอและจางเชียนซง ไม่ใช่อู๋จื่อซิว ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งตำหนักไร้แสงของสำนักความมืด แต่เป็นเนี่ยเซิ่ง ผู้อาวุโสตำหนักความมืดแรกเริ่ม
เนี่ยเซิ่งผู้นี้เป็นคนไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักความมืดที่จัดการภารกิจทางใต้ของทะเลหวงเจีย
ปัจจุบันทางใต้ของทะเลหวงเจีย กระแสคลื่นต่อต้านต้าเสวียนอันรุนแรงที่สำนักความมืดก่อให้เกิดขึ้นในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง มีเนี่ยเซิ่งเป็นผู้นำและผู้รับผิดชอบ
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ หร่านจื้อเชาที่เสียชีวิตในโลกผืนสมุทรเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของเนี่ยเซิ่ง
เรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอนำกระดูกของหร่านจื้อเชากลับสำนัก เนี่ยเซิ่งย่อมขอบคุณแล้วขอบคุณอีก จึงออกหน้าจัดหาที่พักให้กับพวกชายหนุ่มด้วยตนเอง
เมื่อพวกเนี่ยเซิ่งเดินไปแล้ว อาหู่ค่อยโล่งอก “ร้ายกาจนัก ข้าเพิ่งเคยเจอยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่้ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก”
“ถึงจะดูอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังทำให้ข้ายังขนลุกไปทั่วร่าง”
อาหู่ใจใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีเหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาจากแผ่นหลังของตัวเอง
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “จอมยุทธ์หลอมกายหรือจอมยุทธ์ที่เพิ่งเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์เจอหน้าเจ้า ก็มีความรู้สึกเหมือนเจ้าในตอนนี้”
“ตามคำกล่าวของพวกจางเชียนซง อู๋จื่อซิวผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งตำหนักไร้แสง ยังมีพลังฝึกปรือสูงยิ่งกว่า เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าใช่หรือไม่?” เฟิงอวิ๋นเซิงนั่งขัดสมาธิ ถามด้วยความสงสัย “ข้าเคยอ่านบันทึกที่เหลืออยู่ของคัมภีร์โบราณก่อนวิกฤตการณ์ ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ถูกเรียกว่าเทวะสำแดงระยะกลางกระมัง?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถูกต้อง ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แบ่งเป็นสิบขั้น จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งถึงขั้นสาม เรียกว่ารวมรูป
“จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์หลอมญาณเป็นรูป สร้างเป็นรูปญาณวรยุทธ์ของตัวเอง ถ้าหากหลอมรวมรูปญาณวรยุทธ์ของตัวเองที่ปล่อยออกด้านนอกเข้ากับกายเนื้อของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะเข้าขั้นบรรลุธรรม เหยียบย่างเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ พลังของระดับพลังฝึกปรือจะพุ่งทะยานขึ้นทุกด้าน
“กายกับรูปรวมตัวกัน คือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้น”
“ต่อมารูปรวมกับวิญญาณ เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง ขั้นรวมรูประยะกลาง”
“สุดท้าย กาย รูป วิญญาณ สามสิ่งรวมเป็นหนึ่ง ไม่แบ่งแยกอีก จะเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย”
เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย “ต่อจากนั้นจะเป็นด่านใหญ่ คือการเลื่อนจากขั้นรวมรูป สู่ขั้นเทวะสำแดง”
สมัยโบราณมีการบันทึกไว้ว่า ‘ทำลายนภา สามารถเห็นเทวะสำแดง ‘เทวะ’ ในที่นี่ไม่ใช่เทพเจ้าในความหมายของศาสนา และไม่ใช่วิญญาณของตนเอง’
‘เทวะ’ ในที่นี้ ก็คือจุดลมปราณทั้งหมดของร่างกาย
ภายในกระจ่างจนสัมผัสจุดลมปราณได้ เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์หลอมกายขั้นสูงสุด ขั้นประจักษ์นภาจะได้รับ แต่ว่าจุดลมปราณในตอนนี้ ยังเป็นแค่จุดลมปราณ จำกัดที่ร่างกายคน
ความจริงแล้ว จุดลมปราณเหมือนกับดวงดาวมากมายในจักรวาล
ร่างกายคนเองก็เหมือนกับมิติจักรวาลที่อยู่ด้านใน จุดลมปราณก็คือดาวที่อยู่ตรงกลาง คล้ายกับเทพเจ้าผู้ปกครองฟ้าดิน
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์จะฝึกฝนร่างกายของตัวเองให้สอดคล้องกับจักรวาลด้านนอก อีกทั้งยังฝึกฝนจนกลายเป็นจักรวาลชั้นหนึ่ง จุดลมปราณของร่างกายจะเชื่อมประสานกับดวงดาวในจักรวาล ทำลายตัวขัดขวางเช่นมิติระหว่างฟ้าดิน หลอมลมปราณกลายเป็นเทวะได้สำเร็จ
นี่จึงนับว่าเป็น ‘ทำลายนภา เห็นเทวะสำแดง’
ในตอนที่ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามหลอมจุดลมปราณแรกออกมาได้ ก็หมายความว่าเขาได้อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นแล้ว
ต่อจากนั้นหากฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จุดลมปราณนับพันนับหมื่นและเทพเจ้านับพันนับหมื่นจะสอดรับกัน ทำให้จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สำเร็จเป็นเทพวรยุทธ์ ไร้ขีดจำกัด ทั้งยังไร้จุดอ่อน
และการหลอมจุดลมปราณกลายเป็นเทวะ ยังเป็นการทำให้จอมยุทธ์มีความสามารถในการต้านทานพลังแห่งเขตแดนในระดับหนึ่ง ดังนั้นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ จึงลอยขึ้นสู่ด้านบน มาถึงโลกซ้อนโลกได้โดยไม่ต้องใช้ของคุ้มกัน
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยว่า “หลังจากขั้นเทวะสำแดง ก็เป็นด่านใหญ่อีกด่านหนึ่ง เป็นการลองปีนขึ้นสะพานเซียน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด เรียกว่าสะพานเซียนระยะต้น”
“ไท่จูเสวียนเหวินอ๋องผู้ก่อตั้งประเทศแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องในอดีต เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง ดังนั้นจึงสยบขุมกำลังต่างๆ อย่างสำนักแสงสว่างและสำนักความมืดที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงคอยคุ้มครอง แต่ไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนได้ กลายเป็นผู้ปกครองบนทะเลหวงเจีย”
เฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่ได้ยินก็พยักหน้าติดต่อกัน
“ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสเนี่ยจะต้อนรับเราอย่างดี แต่ว่าผู้อาวุโสอู๋ผู้นั้นไม่ปรากฏตัว และไม่พูดถึงเรื่องพาเราไปส่งยังหอสักการะหลักสำนักความมืด” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม “รั้งพวกเราไว้ที่เกาะเซิ่งเหอเช่น ใช่มีแผนพิเศษอะไรหรือไม่?”