เยี่ยนจ้าวเกอได้เข้าใกล้ผู้มีอำนาจระดับสูงของสำนักแสงสว่าง ที่มีหลัวจื้อเทาเป็นผู้นำในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน
ถูกยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงรุมจ้อง แค่สายตาก็เหมือนกับเตาหลอมแล้ว
ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
คนของสำนักแสงสว่างต่อให้คิดหั่นศพเขาเป็นหมื่นท่อน ในสถานการณ์ปัจจุบันก็ทำไม่ได้อยู่ดี
ผู้คุมหอกระบี่ทะเลเหนือกู้หงที่ยืนอยู่ตรงกลางกลุ่มคน สายตากวาดมองคนที่อยู่รอบๆ
ที่ที่สายตาเขาเคลื่อนไป เหมือนกับมีคมกระบี่ไร้รูปร่าง ขวางสายตาที่มีเจตนาร้ายต่อเยี่ยนจ้าวเกอไว้
หลัวจื้อเทาหันหน้าไปสบตากับกู้หง ฝ่ายหลังไม่หลบตาแม้แต่น้อย
“เขาอาจจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าเขารอดจากเงื้อมมือของยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าได้อย่างไร” หลัวจื้อเทากล่าวอย่างราบเรียบ “หนึ่งในนั้นยังเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลด้วย”
เขาในฐานะเจ้าสำนักแสงสว่าง สวมอาภรณ์สีดำ แตกต่างกับจอมยุทธ์สำนักแสงสว่างคนอื่นๆ ที่ใส่อาภรณ์สีขาว
ส่วนเจ้าสำนักความมืดโจวฮ่าวเซิงที่จอมยุทธ์สำนักความมืดซึ่งสวมอาภรณ์สีดำล้อมอยู่ กลับใส่อาภรณ์สีขาว
คนของสองพรรคคุมเชิงกัน กลับมีลักษณะเหมือนรูปหยินหยาง
โจวฮ่าวเซิงลูบหนวด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าลืมว่าผู้ใดทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติ เป็นคนในสำนักแสงสว่างของท่านหรือ?”
คนในสำนักแสงสว่างใบหน้าอึมครึมเล็กน้อย โมโหกว่าเดิม
หลัวจื้อเทาสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “หนงอวี่ซวนทำผิด ข้ารู้สึกเสียใจนัก ทั้้งได้ขอโทษผู้คุมหอกู้แล้ว แต่ว่านี่ไม่ได้ขัดกับเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่”
พวกกู้หงและโจวฮ่าวเซิงต่างเลิกคิ้วเล็กน้อย
ผู้อาวุโสสำนักความมืดคนหนึ่งเอ่ยว่า “เจ้าสำนักหลัวหมายความว่า ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องอาจทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติเอง เพราะต้องการให้สหายน้อยเยี่ยนผู้นี้ได้รับความเชื่อใจจากพวกเรา เพื่อจะล่อให้พวกเราก้าวไปในสถานการณ์อันตรายที่เสี่ยงกว่าเดิม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า?”
“สถานการณ์อันตรายใดจะเทียบได้กับการทำลายข่ายกระบี่บนเกาะเพิงหินโม่ ของค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติบ้าง?”
ผู้อาวุโสสำนักความมืดผู้นั้นแค่นเสียง “ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุด คือการต่อสู้กับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องถึงตาย โดยที่พวกเราไร้ความได้เปรียบด้านชัยภูมิ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งด้านข้างหลัวจื้อเทาเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เป็นคนละเรื่องกัน ตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้อาจจะทำลายแผนการของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจริงๆ ก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่วมมือกันในภายหลัง”
“เด็กน้อยผู้นี้อาจจะถูกราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจับได้ เพื่อเอาชีวิตรอด ตอนนี้จึงฟังคำสั่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง กลับมาหลอกพวกเรา แบกโทษสร้างความดี”
ผู้อาวุโสสำนักความมืดอีกคนด้านข้างเขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติถูกทำลาย ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องสมควรเกลียดชังเขาเข้ากระดูกดำ กระนั้นอีกฝ่ายไม่แน่ว่าจะเอาแต่มองความเสียหายในอดีตเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีคนที่มองการณ์ไกล เปลี่ยนเป็นวางแผน ใช้ประโยชน์จากการที่เด็กน้อยผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากพวกเรา เพื่อเพิ่มแผนการ”
แววตาเฉียบคมของคนผู้นี้มองเยี่ยนจ้าวเกอประดุจอินทรี “ตรวจสอบเขาก่อนเถอะ ดูว่าบนตัวของได้ถูกคนวางผนึกหรือกลไกอะไรไว้หรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็หัวเราะ “นี่หมายความว่า ตอนนั้นข้าต้องตายด้วยน้ำมือของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง จึงจะถือว่าบริสุทธิ์หรือ”
ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างผู้นั้นสีหน้าเย็นชา “ท่านลองดูว่าตอนนี้สามารถหนีรอดจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าของสำนักข้าสองคนได้หรือไม่ เพื่อพิสูจน์ว่าการคาดเดาของข้าผิดพลาด”
รอบๆ เงียบสงัดลงชั่วขณะ
พูดกันอย่างยุติธรรม นี่เป็นข้อกังขาที่อยู่ในใจของทุกคน แม้แต่คนของหอกระบี่ทะเลเหนือและสำนักความมืดก็ไม่มีข้อยกเว้น
การหนีรอดจากการร่วมมือกันระหว่างคังฮูหยินและฉีเหว่ยสองคนของเยี่ยนจ้าวเกอ ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อ
ถึงแม้จะทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอเป็นอัจฉริยะ มีพลังฝึกปรือกล้าแกร่ง แต่พลังของทั้งสองฝ่ายก็แตกต่างกันเกินไป
คนของสำนักแสงสว่างสงสัยเหมือนกันว่า ต่อให้มีตราประทับตะวันก็ไม่ควรบังเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ นอกเสียจากว่าเยี่ยนจ้าวเกอสามารถแสดงพลังของตราประทับตะวันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ก็สามารถใช้พลังทั้งหมดของตราประทับตะวันได้
ทว่าด้วยระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ดังนั้นทุกคนจึงตกใจเหลือประมาณ เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเยี่ยนจ้าวเกอที่น่าจะตายไปแล้ว
อู๋จื่อซิวขมวดคิ้วพูดว่า “สหายน้อยเยี่ยนครั้งนี้ที่มา เพราะมีเรื่องสำคัญต้องการบอกกล่าว อย่าเสียเวลาเลย”
อีกฝ่ายยืนกราน “หากไม่พิสูจน์ว่าเขาเป็นสายสืบของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ว่าข้อมูลของเขาจริงหรือเท็จ หรือเป็นแผนลวงของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องหรือไม่ การเคลื่อนไหวของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องในปัจจุบันแปลกประหลาดเช่นนี้ เขากลับปรากฏตัวขึ้นพอดิบพอดี ไม่น่าสงสัยหรืออย่างไร?”
เยี่ยนจ้าวเกอหลุดหัวเราะ “ผู้สืบทอดของประมุขอาคเนย์ จะสร้างกับดักร่วมกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง มาล่อพวกท่านลงไหหรือเม่เล่า?”
ทุกคนต่างกลั้นหายใจ
ผู้ปกครองเกาะมนุษย์สำริดกงซุนอู่ขมวดคิ้ว “อย่ากล่าววาจาเหลวไหล เรื่องนี้นำมาล้อเล่นไม่ได้”
ทุกคนมีความรู้สึกเหมือนกัน เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ หัวใจของตนต่างเต้นรัวขึ้นเหมือนจะหลุดออกมา
แน่นอนว่านำมาล้อเล่นไม่ได้ ถ้าหากประมุขอาคเนย์สนับสนุนราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องเช่นนี้จริงๆ พวกเขาก็ไม่อาจแข็งขืนได้อีก และไม่จำป็นต้องร่วมมือกันต่อสู้เหมือนในตอนนี้ แยกย้ายทางใครทางมัน กลับบ้านใครบ้านมันก็พอ
แม้จะเป็นแค่ความคิดของลูกศิษย์ของประมุขอาคเนย์ ทุกคนก็จำเป็นต้องตั้งใจคิดถึงความสำคัญ
พูดกลับกัน ถ้าเขาโถงทองมีความคิดเช่นนี้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างกับดัก เพียงใช้พลังสยบก็พอแล้ว
ถึงแม้ว่าผู้มีอำนาจทุกคนจะไม่แสดงท่าทางใด แต่แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจแล้ว
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังยิ้มอย่างสบายใจอยู่ “ฟังดูเหมือนเรื่องล้อเล่นที่เหลวไหลใช่หรือไม่? นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
เขาเงยหน้าขึ้น สายตากวาดผ่านพวกหลัวจื้อเทา “ข้ารอดมาได้อย่างไร ทุกท่านอย่าเพิ่งไปคิดถึง ช่วยกันวางแผนว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่อจากนี้ของทะเลหวงเจียอย่างไรต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ”
“เนื่องจากสะกิดโทสะของประมุขอาคเนย์ ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องต่อจากนี้สงวนท่าที เคลื่อนไหวอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งยังต้องส่งคนไปพบหน้าประมุขอาคเนย์ที่เขาโถงทอง เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ก่อนที่เรื่องนี้จะมีผลลัพธ์ ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องต้องหดหัวเป็นเต่าในกระดองสักพักหนึ่ง”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้มสง่างาม “ที่ทุกท่านรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในตอนนี้ของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง นี่แหละคือสาเหตุ”
รอบบริเวณเงียบงันลงอีกครั้ง เงียบอย่างไม่เคยมีมาก่อน
นาทีถัดมา ถึงแม้จะยังไม่มีคนส่งเสียง แต่การสนทนาอย่างลับๆ ระหว่างผู้คนก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน
ญาณจริงแท้ไหลเชี่ยว กระแสเสียงของแต่ละฝ่ายเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว
ทุกคนมองหน้ากัน ท่านมองข้า ข้ามองท่าน ในดวงตามีแต่ความตกตะลึงและความเหลือเชื่อ
กู้หง ผู้คุมหอกระบี่ทะเลเหนือถามเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจึงสะกิดความพิโรธของประมุขอาคเนย์?”
เมื่อครู่นี้ อู๋จื่อซิวได้ส่งกระแสเสียงบอกเล่ากับโจวฮ่าวเซิงแล้ว
หลังจากโจวฮ่าวเซิงได้ยินก็ประหลาดใจเหลือแสน มองเยี่ยนจ้าวเกอ ดวงตาเต็มไปด้วยการค้นหา
อู๋จื่อซิวมองเขาแวบหนึ่ง โจวฮ่าวเซิงพยักหน้าช้าๆ หลังจากไตร่ตรองเสร็จแล้ว
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้…” อู๋จื่อซิวทำลายความเงียบสงัดบนฉากหน้า เอ่ยปากเล่าเรื่องที่เยี่ยนจ้าวเกอมาหาตน
หลังจากได้ยิน ทุกคนต่างจิตใจสั่นสะท้าน จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ “เมื่อเป็นเช่นนี้…”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ให้พวกท่านเห็นเรื่องขายหน้าเสียแล้ว พูดกันตามจริง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้าเช่นกัน”