โจวฮ่าวเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ สายตาเคร่งขรึมเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
คนที่เพิ่งเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน อาศัยอะไรมาแบ่งสุสานจักรพรรดิประกายกาฬกับสำนักที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักความมืด
ถ้าหากเป็นคนทั่วไป สำนักความมืดมีวิธีนับไม่ถ้วนกำจัดทิ้ง ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเหี้ยมโหดด้วยซ้ำ
แต่กับเยี่ยนจ้าวเกอ โจวฮ่าวเซิงไม่มีความมั่นใจนี้
ถ้าใช้สภาวะกดดันคน ยังไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอผูกมิตรกับลูกศิษย์ขององค์ประมุขอาคเนย์ แค่การทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติเมื่อก่อนหน้าของเขา ยังทำให้ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องต้องถอนกำลัง สำนักความมืดไม่อาจสร้างความลำบากให้กับเขาได้
ความแค้นระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักแสงสว่างไม่อาจแก้ไขเช่นกัน ถือเป็นพันธมิตรของสำนักความมืดไปโดยปริยาย
‘สำนักแสงสว่าง…’ โจวฮ่าวเซิงใจสั่น
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้ากับตนเปิดมิติร่วมกัน เพื่อหาเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ
ด้วยความเข้าใจที่โจวฮ่าวเซิงมีต่อสำนักสว่าง ทางด้านพวกเขามีเบาะแสอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน ตอนนี้น่าจะรู้สึกตัวแล้ว
ทางฝ่ายตนแม้จะได้โอกาสก่อน แต่ก็ยังคงไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
การเข้าไปของเยี่ยนจ้าวเกอสามารถถึงดูดความสนใจจากสำนักแสงสว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับสำนักตนแล้ว ไม่ใช่ไร้ข้อดีโดยสิ้นเชิง
โจวฮ่าวเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง พูดในใจว่า ‘หากมีอันตรายจริงๆ ค่อยช่วยเขาแล้วกัน ในเมื่อคิดจะแบ่งสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ย่อมต้องแบกรับความเสี่ยงด้วย’
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว โจวฮ่าวเซิงก็พูดขึ้นทันทีว่า “พวกเราจะเตรียมตัวสักเล็กน้อย จากนั้นค่อยออกเดินทางทันที สหายน้อยเยี่ยนถ้าไม่มีธุระใด มาด้วยกันดีหรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ กล่าวว่า “ข้าตอนนี้ว่างยิ่ง สามารถเดินทางได้ตลอดเวลา”
…
ในขณะเดียวกัน ณ ผาตะวันจันทราบนดินแดนจิตคุณธรรมในทะเลหวงเจีย ที่อยู่ของสำนักแสงสว่าง ยอดฝีมือระดับสูงในสำนักแสงสว่างรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง
ทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด “เด็กน้อยแซ่เยี่ยนนั่นจำเป็นต้องกำจัดทิ้ง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นภัยร้ายแรง”
มีคนพูดอย่างเย็นชา “เขากลายเป็นภัยร้ายแรงไปแล้ว ถึงแม้จะเพิ่งเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่การทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติ กับการหนีรอดจากเงื้อมมือของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า ความสามารถเช่นนี้ จะใช้จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับรวมรูประยะต้นทั่วไปมาวัดได้อย่างไร?”
“จะมีใครรู้ว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวที่อยู่เหนือความคาดหมายอีกหรือไม่?”
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “หอกระบี่ทะเลเหนือกับสำนักความมืดคุ้มครองเขาอยู่ เกาะมนุษย์สำริดคงจะไม่ลงมือช่วยเหลือพวกเราเช่นกัน ถ้าเขาไม่มาหาเอง พวกเราก็ไม่อาจจับตัวเขาได้”
คนก่อนหน้าพูดว่า “เราจับตัวเขาไม่ได้ พวกเราก็ไปโลกแปดพิภพ ทำลายเขากว่างเฉิงสำนักของเขา จากนั้นก็ถอนรากถอนโคนคนที่เกี่ยวข้องกับเขา”
“ราชวงศ์ต้าเวียนอ๋องลดธงรบ หยุดตีกลองศึกชั่วคราว ในเวลาสั้นๆ ยากจะมีการเคลื่อนไหว พวกเราไปถล่มโลกแปดพิภพก่อนค่อยว่ากล่าว”
ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเขาขมวดคิ้ว “ไม่มีความคุ้มค่าแม้แต่น้อย เด็กน้อยนั่นนำตราประทับตะวันมาโลกซ้อนโลกแล้ว พวกเราทำลายโลกแปดพิภพไป ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน”
อีกฝ่ายกล่าวอย่างแน่วแน่ “แก้แค้นก่อนค่อยว่ากล่าว! พวกเรารับสืบทอดมรรคาวิถีมากจากสำนักเดิม ต่อให้ตกต่ำมากกว่านี้ แต่ยอมให้เด็กน้อยจากโลกเบื้องล่างคนหนึ่งมาขี่ศีรษะแสดงบารมีตั้งแต่เมื่อไร?”
“ตอนแรกก็เป็นพวกเติ้งเซิน ต่อมาอวี่ซวนกับศิษย์น้องเฉิงก็ตายเพราะเด็กน้อยผู้นี้ พวกเรายังไม่เคยเสียท่าราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องมากขนาดนี้มาก่อน!”
ชายชราผู้นั้นรอจะพูดอะไรบางอย่าง ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างอีกคนที่อยู่ด้านข้างก็อธิบายเสียงเล็กเสียงน้อย “ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อาจจะเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้”
“โอ้?” ทุกคนงงงัน
ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างคนนั้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดกับจางเซียนเซิงที่ลอยขึ้นมาจากโลกแปดพิภพนั่น และสังเกตได้ถึงเรื่องหนึ่ง
“ที่โลกแปดพิภพ มีคนผู้หนึ่ง อยู่ที่นั่นถูกเรียกว่าปราชญ์ภาพวาดผู้อาวุโสโม่ เป็นคนรุ่นเดียวกันกับจางเชา เพียงแต่ค่อนข้างลี้ลับ จางเชาเองก็ไม่รู้จักคนผู้นี้เช่นกัน”
“แต่ตามคำพูดของจางเชา เขาเคยบังเอิญเห็นผู้อาวุโสโม่ผู้นี้ใช้วรยุทธ์อย่างปราณกระบี่ดับวิญญาณครั้งหนึ่ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คนผู้นี้มีวิชาค่อนข้างซับซ้อน ทำให้คนมองไม่เห็นตื้นลึกหนาบาง”
คนอื่นได้ยินดังนั้น ต่างก็จมลงสู่ห้วงความคิด
ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างพูดต่อ “จางเชาไม่รู้จักวรยุทธ์นี้ แต่เมื่อได้ยินคำบรรยายของเขา อย่างน้อยข้าก็แน่ใจอยู่แปดส่วนว่าเป็นปราณกระบี่ดับวิญญาณ”
ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างที่เหลือสีหน้าต่างเคร่งขรึมลง “ปราณกระบี่ดับวิญญาณ หรือจะเป็นเศษเดนที่หลุดรอดตาข่ายซึ่งพวกเราตามหามาหลายปี? หรือเขาจะอยู่ที่โลกแปดพิภพ?”
“เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะมีของวิเศษที่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิและสุสานจักรพรรดิประกายกาฬอยู่ในมือ! ครั้งนี้ย่ำรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน[1]จริงๆ”
ทุกคนพากันกล่าวว่า “ดูเหมือนโลกแปดพิภพนี้ จะต้องไปสักครั้งแล้ว”
ชายชราที่ก่อนหน้านี้มีความคิดตรงกันข้าม หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ
หลัวจื้อเทาในอาภรณ์สีดำนั่งมองทุกอย่างนี้บนที่นั่งประธานอยู่เงียบๆ เพิ่งคิดจะเอ่ยวาจา สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เขาดีดกายขึ้นทันที แล้วหายไปจากโถงใหญ่
ยอดฝีมือระดับสูงของสำนักแสงสว่างทั้งหมดมองหน้ากันเอง รู้สึกประหลาดใจเหลือแสน
แต่ว่าไม่ทันไร หลัวจื้อเทาก็ปรากฏตัวในโถงใหญ่อีกครั้ง สีหน้ากลับเคร่งขรึมมาก
“มีคนกำลังตามหาตำแหน่งของสุสานจักรพรรดิประกายกาศ” หลัวจื้อเทาพูดเสียงขรึม “ปฏิกิริยาของของวิเศษรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน อีกฝ่ายอยู่ใกล้ห่างจากการตามหาเส้นทางที่มุ่งไปสุสานจักรพรรดิแค่ก้าวเดียวเท่านั้น”
ครั้นกล่าวจบ โถงใหญ่พลันเงียบสงัดลง
ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างคนหนึ่งสูดหายใจลึก “จะต้องเป็นตัวทรยศสำนักความมืดนั่นแน่ นอกจากพวกเขาก็ไม่มีใครแล้ว”
มีคนสงสัย “พวกเขาไฉนก้าวหน้าถึงเพียงนี้?”
ทุกคนมองหน้ากันเอง อยู่ๆ ก็ตกใจขึ้นมา
เยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้ใกล้ชิดกับสำนักความมืด กอปรกับชายหนุ่มยังมาจากโลกแปดพิภพ รู้จักกับผู้อาวุโสโม่…
“บังเอิญนัก หรือว่า…” ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างคนหนึ่งเอ่ยอย่างลังเล
หลัวจื้อเทาตอนนี้ค่อยๆ พูดว่า “เกรงว่าจะไม่บังเอิญ!”
“อวี่ซวนตอนยังมีชีวิตเคยพูดว่า เมื่อครั้งพิธีอาทิตย์ดำจันทร์ยะเยือก เยี่ยนจ้าวเกอนั่นไม่ธรรมดามาก ด้วยพลังฝึกปรือของเขา เดิมทีไม่ควรหลอมพลังแห่งอาทิตย์ย้อนจันทร์ย้อนที่ยิ่งใหญ่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ไร้เหตุผลจริงๆ”
“ไม่เพียงแต่ตราประทับตะวันเท่านั้น ของที่เราตามหามาหลายปี เขาก็นำติดตัวมายังโลกซ้อนโลกด้วย!”
ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างทุกคนสีหน้าอึมครึม “เช่นนั้นตอนนี้…”
หลัวจื้อเทาส่ายหน้า “สุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ไม่ว่าจะกับพวกเราหรือกับสำนักความมืด ล้วนมีความสำคัญมากกว่าตราประทับตะวัน!
“จะเสียไปไม่ได้เป็นอันขาด”
ทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “มิผิด พวกเราจะทำให้ประกายแสงในอดีตของสำนักเดิมโผล่ขึ้นมาได้อีกหรือไม่ สุสานจักรพรรดิประกายกาฬสำคัญยิ่ง ที่นั่นไม่เพียงแต่เป็นที่บรรทมขององค์จักรพรรดิเท่านั้น ของวิเศษมากมายของสำนักเดิมก็น่าจะถูกเก็บไว้ในสุสานเช่นกัน หากได้มรดกเหล่านี้มา พวกเราจะสามารถทำลายพันธนาการได้ ไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในทะเลหวงเจียอีกต่อไป”
สำหรับสำนักความมืดก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายยิ่งไม่จำเป็นต้องพูด เพราะสิ่งหนึ่งหายสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้น
ความอัปยศอย่างการก้มหัวให้แก่สำนักความมืด แม้แต่ความคับแค้นที่เกิดจากเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังเทียบไม่ได้
หลัวจื้อเทาว่า “จับตาดูการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ของสำนักความมืดให้ดี…เยี่ยนจ้าวเกอนั่น บางทีอาจจะมีการเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน!”
………………..
[1] ย่ำรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน หมายถึง พยายามแทบตายแต่หาไม่เจอ ตอนถอดใจกลับโผล่มา