ในการเผชิญกับน้ำวนที่กลืนกินสรรพสิ่ง เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่ไม่หลบหลีก กลับเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าไปด้านใน
ตรงหน้าพลันมืดสนิท โลกแห่งจิตใจของเขาตกอยู่ในความดำมืดอีกครั้ง ต่อมาด้านหน้าจึงค่อยสว่างขึ้น
กระบี่สำริดเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ส่องแสงจางๆ แวววาว
แม้มันจะดูอ่อนโยน แต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับสัมผัสได้ถึงความดุร้ายที่แฝงอยู่ด้านใน
กลิ่นคาวเลือดในบึงเลือดด้านนอกหล่อเลี้ยงกระบี่เล่มนี้อย่างต่อเนื่อง
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสถึงกลิ่นอายพลังด้านใน เลิกคิ้วขึ้น ‘…อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง’
หากจะพูดให้ถูกต้อง คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่อยู่ในระหว่างเซ่นสรวง และใกล้จะเสร็จแล้ว
ไม่เหมือนกับกงจักรมหาประกายกาฬที่เป็นแค่ตัวอ่อน กระบี่สำริดตรงหน้าห่างจากความสำเร็จแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
ถ้าหากใช้การสร้างอาวุธมาเปรียบ แม้แต่การชุบไฟและการเจียระไนก็จบไปแล้ว เหลือเพียงการเปิดคมเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะยังสร้างไม่เสร็จ แต่กลิ่นอายพลังและความดุร้ายที่อยู่ข้างในกลับน่าตระหนกยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอแทบจะแน่ใจว่า กระบี่นี้หากสร้างเสร็จ ในฐานะอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง มันจะเหนือกว่าหอกราชาลี้ลับและกระบี่ประกายฟ้าเมฆาเคลื่อนเสียอีก ทั้งยังมีคุณสมบัติโดดเด่นยิ่ง
‘หือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจสั่นสะท้าน ด้านในห้วงสติของเขาปรากฏดวงตาคู่หนึ่ง
ลูกตาสีดำขลับคู่นั้นสบตากับเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบงันและสงบนิ่ง
ดวงตาคู่นี้คล้ายกับดวงตาสีดำขลับที่เขาเห็นในเตากลืนดินก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง
แต่ว่ามันดูมีชีวิตชีวามากกว่า
ดวงตาสีดำด้านในเตากลืนดิน เหมือนกับวิญญาณของเตากลืนดิน เหนือกว่ารูปญาณวรยุทธ์ของเจ้าของคนเดิม
เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญหน้ากับดวงตาคู่นี้ มันช่างเหมือนกับดวงตาของคนจริงๆ
ด้านในความว่างเปล่าอันมืดมิด เงาคนจางๆ สายหนึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมา โดยมีดวงตาคู่นั้นเป็นฐาน
เขาพินิจพิจารณาอีกฝ่าย กลับเป็นชายชราผมดำสวมเสื้อแพรคนหนึ่ง
ดวงตาของอีกฝ่ายสงบนิ่งล้ำลึก สายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอ เหมือนกับข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนาน
หลังจากร่างของชายชราผู้นี้ปรากฏขึ้น กระบี่สำริดที่ลอยกลางอากาศก็วางขวางอยู่บนหัวเข่าของเขา
เยี่ยนจ้าวเกอมองแวบหนึ่งก็ทราบว่า ชายชราผู้นี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ได้ตายลงไปแล้ว เงาแสงที่อยู่ในมิติแห่งจิตนี้ยังคงเป็นมรดกจากรูปญาณวรยุทธ์ของเขา
ถ้าหากว่าอีกฝ่ายยังคงมีชีวิตอยู่ ด้วยพลังฝึกปรือที่มีความสามารถสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงได้ของเขา รูปญาณวรยุทธ์ที่อยู่ในนี้เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ก็เหมือนกับตัวจริงได้เห็นชายหนุ่มด้วยตัวเอง
แต่ดูจากท่าทางในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของคนเดิมของฝักกระบี่กลืนฟ้าและเตากลืนดิน น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกแห่งนี้แล้ว
“ผู้อาวุโส รบกวนท่านแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือให้อีกฝ่าย
ชายชราผมดำไม่มีปฏิกิริยา แต่ว่าสายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกออ่อนโยนกว่าเดิมมาก
เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเท้าไปด้านหน้า เข้าใกล้กระบี่โบราณของชายชรา จู่ๆ จิตใจของเขาก็เกิดความเย็นเยียบขึ้น
เพราะเหมือนกับมีดวงตาอีกคู่หนึ่งกำลังมองเขา มันน่ากลัวเหลือแสน ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง
ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่เขาเพิ่งเหยียบประตูของวังก้นทะเล
ชายหนุ่มสงบจิตใจ สายตาตกบนกระบี่สำริดที่วางพาดบนเข่าชายชรา
ในตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอแน่ใจอย่างสมบูรณ์แล้ว ว่าสายตาอันดุร้ายที่เต็มไปด้วยความเย็นเยียบและความคิดชั่วร้ายนั้น มาจากกระบี่สำริดที่ดูปลอดภัยไร้อันตรายเล่มนั้น
ในนาทีนี้ ตอนที่สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกลงบนกระบี่สำริดเล่มนี้ ภาพตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลง
บนผิวกระบี่สำริดปรากฏภาพกลับด้าน
อสูรร้ายตัวหนึ่ง ตัวเป็นแกะหน้าเป็นคน ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ ฟันเป็นเสือ มือเป็นคน
ด้านข้างหูของเยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นที่มีเสียงซึ่งเหมือนกับเสียงร้องไห้ของทารกดังมา
ขณะฟังเสียนั้น และมองดูลักษณะของอสูรร้ายตัวนี้อีกรอบ เยี่ยนจ้าวเกอก็พ่นลมหายใจยาว ‘ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…เทาเที่ย!’
อสูรร้ายตัวนี้ เป็นเทาเที่ย มหาปีศาจร้ายกาจที่มีชื่อเสียง เทียบได้กับคุนเผิงและหงส์เพลิง
มิน่าถึงได้มีจิตพลังที่ละโมบโลภมากชนิดกลืนฟ้ากินดินแบบนั้น
เขานึกถึงสถานที่ที่ดูเหมือนท้องของสัตว์ยักษ์ และบ่อเลือดขนาดมหึมาด้านล่างวังก้นทะเลในโลกความจริงที่อยู่ด้านนอก เกิดความเข้าใจโดยสมบูรณ์
ชายชราผมดำสวมเสื้อแพรผู้นั้นสร้างฝักกระบี่กลืนฟ้าและเตากลืนดินขึ้นมา เพื่อหลอมกระบี่วิเศษที่อยู่ในระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเล่มหนึ่ง
วัตถุดิบหลักที่เขาใช้หลอมกระบี่ กลับเป็นวิญญาณปีศาจของเทาเที่ย ที่เขาได้มาหลังจากฆ่ามหาปีศาจที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดทิ้ง จากนั้นก็ผนึกไปในตัวกระบี่
ทุกสิ่งที่อยู่ในโลกความเป็นจริงด้านนอก ความจริงเป็นซากของเทาเที่ยหลังจากตายไปแล้ว
บ่อเลือดที่ฝักกระบี่กลืนฟ้าอยู่ คือหัวใจของเทาเที่ย
วิชาลับของเจ้าของคนเดิม คือการนำเลือดของเทาเที่ยมาเซ่นสรวงกระบี่วิเศษเล่มนี้อย่างต่อเนื่อง
เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก ‘ไม่มีสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย วิญญาณของเทาเที่ยตัวนี้น่าจะมีพลังชีวิตอยู่ คงจะอึดอัดคับข้องใจถึงขีดสุด โกรธจนอยากตายแต่ก็ไม่คิดตาย’
หลังจากถูกฆ่าแล้ว วิญญาณปีศาจยังถูกผนึกเข้ามาในกระบี่ แล้วยังต้องมองดูร่างกายของตัวเองถูกใช้หลอมกระบี่อีก สิ่งที่ใช้หลอมก็คือวิญญาณของตัวเอง
หากว่าเป็นคนอื่น เกรงว่าจะโมโหแทบคลั่ง โกรธจนควันออกหูแน่
แต่น่าสียดายที่ชายชราผู้นั้นต้องการให้วิญญาณหลงเหลือของเทาเที่ยตัวนี้เกิดอารมณ์เช่นนั้น แล้วสั่งสมหมักบ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้มีอานุภาพในตอนที่กระบี่วิเศษเล่มนี้หลอมเสร็จเพิ่มมากขึ้น
ตายไปแล้วก็อย่าหวังจะสบายโดยแท้
ชายชราผู้นี้แม้จะดูอ่อนโยน มีหน้าตาใจดี แต่ความอำมหิตเลือดเย็นเห็นได้จากสิ่งนี้นี่เอง
‘แต่ว่าคนที่หลอมกระบี่เสียชีวิตที่อื่นไปแล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า ‘ผลแพ้ชนะในเรื่องนี้ยากจะบอกจริงๆ’
ชายชราสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ว่าพิธีของที่นี่ก็ยังคงแสดงผลอย่างเชื่องช้า มาถึงตอนนี้ กระบี่สำริดตรงหน้าก็เกือบจะเซ่นสรวงสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว
คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ให้คนรุ่นหลังหลบในร่ม เยี่ยนจ้าเกอยิ้มเล็กน้อย สลัดความคิดจากมิติแห่งจิตของตัวเอง
หลังจากเห็นรูปญาณวรยุทธ์ที่ชายชราทิ้งไว้ เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ครั้นสัมผัสกับกับฝักกระบี่กลืนฟ้าอีกครั้ง มันก็พลันเสถียรขึ้นมา
คิดจะหลอมมัน เป็นปัญหาด้านเวลาเท่านั้น
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมือประคองเตากลืนดิน อีกมือหนึ่งกดลงบนฝักกระบี่กลืนฟ้า ใช้ญาณจริงแท้ของตัวเองเชื่อมกับของวิเศษทั้งสอง เพื่อทดลองหลอมเปลี่ยน
ขั้นตอนนี้ไม่ส่งผลต่อการสร้างกระบี่สำริดของฝักกระบี่กลืนฟ้า
ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอนั่งลงบนปลายฝักกระบี่กลืนฟ้า
ลำแสงหลายสายในบ่อเลือดเริ่มลามมาถึงร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ
ลำแสงลอยวนรอบตัว พลังวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์หลายชนิดต่างพุ่งเข้ามาในร่างเยี่ยนจ้าวเกอ
บ้างร้อนเร่า บ้างเย็นเยียบ บ้าคมกล้า บ้างซึมเซา…ความรู้สึกมากมายปรากฏขึ้นมาไม่หยุด
การทะลักเข้าไปในร่างของจอมยุทธ์คนหนึ่งพร้อมกันของปราณวิญญาณที่สับสนเช่นนี้ มากพอจะทำให้เส้นชีพจรของจอมยุทธ์ผู้นั้นบิดเบี้ยวสับสน แล้วฉีกออกทีละน้อย
ต่อให้จะเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับพลังฝึกปรือเหนือกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ไม่กล้าเสี่ยงทำเช่นนี้
แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต การเปลี่ยนสรรพสิ่งเป็นความว่างเปล่าของมัน กลับไม่อาจให้คำนิยามได้
ตรงกันข้าม ปราณวิญญาณที่สับสนเช่นนี้แม้ว่าจะไม่บริสุทธิ์ แต่การแยกแยะหลอมเปลี่ยนพวกมันอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการสั่งสมญาณจริงแท้ของตัวเอง ยังมีการคาดคะเนต่อการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งด้วย
ในด้านนี้ มันเหนือกว่าลมปราณมังกรที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์เสียอีก
เยี่ยนจ้าวเกอขณะโคจรคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต ก็ศึกษาคัมภีร์นภาหยินหยางไปด้วย
พลังหยางโชติช่วงและพลังหยินอ่อนในร่าง ถูกเปลี่ยนกลายเป็นพลังหยินโชติช่วงและพลังหยางอ่อนอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าวิญญาณของตัวเองกำลังสั่นไหวตามการก่อกำเนิดอย่างไม่หยุดยั้งของหยินหยางสี่ลักษณ์
รูปญาณวรยุทธ์ของตนเริ่มกลายเป็นลวดลายอาคม สลักลงบนวิญญาณของตัวเอง