เฮยจู่ก็คือยอดฝีมือคนที่สังหารจอมปีศาจเทาเที่ย สร้างฝักกระบี่กลืนฟ้าและเตากลืนกิน รวมถึงหลอมกระบี่ปีศาจเทาเที่ยผู้นั้น
กระดูกหงส์เพลิงที่จวงเจาฮุยต้องการ ก็เป็นสมบัติที่เฮยจู่ทิ้งไว้เช่นกัน
หากคำนวณดูแล้ว เฮยจู่คงจะเกิดมาก่อนเฉาเจี๋ย
ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ทราบว่าเฮยจู่ได้ทิ้งรังสัตว์ร้ายไว้ในเขตตะวันอาคเนย์ นับว่ายังพอแก้ตัวได้
ทว่าตอนนี้ในเมื่อทราบแล้ว ย่อมทำเป็นไม่สนใจไม่ได้อีก
ถึงอย่างไรเฮยจู่ในอดีตก็ไม่ได้มีพลังฝึกปรือด้อยกว่าเขาเฉาเจี๋ย
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “หากคาดไว้ไม่ผิด เฮยจู่สมควรเสียชีวิตไปแล้ว เพียงแต่ว่ารายละเอียดและสถานที่อย่างเป็นรูปธรรม ข้าเองก็ไม่ทราบ”
“แต่หากดูจากปฏิกิริยาในตอนที่ข้าหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เจ้าของคนเดิมไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้ว”
เฉาเจี๋ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดผ่านพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ และเฟิงอวิ๋นเซิง “จื้อเหลียงเคยบอกว่า ท่านแม้จะมีตราประทับตะวัน แต่ไม่ทราบถึงข่าวคราวของราชันพระอาทิตย์”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบอย่างตรงไปตรงมา “ขอไม่ปิดบัง หลังจากข้ามาถึงโลกซ้อนโลก ก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อของราชันพระอาทิตย์เป็นครั้งแรก”
“ตอนที่ได้ตราประทับตะวันในโลกแปดพิภพเมื่อก่อนหน้านี้ ของวิเศษชิ้นนี้เดิมทีใช้สะกดร่องแยกนพยมโลกแห่งหนึ่ง เจ้าของคนเดิมไม่ได้ทิ้งข่าวสารอะไรเอาไว้”
“ที่กระตุ้นเคล็ดวิชาของของวิเศษชิ้นนี้ได้ เป็นเพราะข้าค่อยๆ ศึกษามันด้วยตัวเอง”
เฉาเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดว่าเชื่อหรือพูดว่าไม่เชื่อ “เช่นนั้นพวกท่านเคยเจอราชันพระจันทร์มาก่อนหรือไม่?”
พวกเยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า
เยี่ยนตี๋กล่าวว่า “มงกุฎจันทราของวิเศษชิ้นนี้เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่ในโลกแปดพิภพ ซึ่งค้นพบโดยบังเอิญ และไม่ได้เจอกับเจ้าของคนเดิม”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดเสริม “หลังจากมายังโลกซ้อนโลก และได้ยินเรื่องเก้านพเคราะห์แห่งคุนหลุนใหม่ พวกเราจึงค่อยอนุมานว่าของวิเศษชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับราชันพระจันทร์โดยอิงตามตราประทับตะวัน ต่อมาจึงได้ข้อพิสูจน์จากราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องและจากปากของท่านเฉินลูกศิษย์ของท่าน”
เฉาเจี๋ยพยักหน้าช้าๆ สายตาอยู่บนตัวเฟิงอวิ๋นเซิง “ดาบของสหายน้อย ให้ข้าดูได้หรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นเซิงปลดดาบเทพอาทิตย์ยะเยือก ส่งให้ประมุขอาคเนย์พร้อมกับฝักดาบ
‘พลังแห่งการกัดกร่อน ไม่ใช่พระเกตุ แต่เป็นพลังของพระราหู…’ เฉาเจี๋ยดึงดาบยาวสีดำออกมาครึ่งหนึ่ง จ้องมองอยู่สักพัก ‘ต่อมาค่อยหลอมผสมพลังอาทิตย์ย้อน สองรวมเป็นหนึ่ง ความสำเร็จน่าจะอยู่บนดาบราหูในอดีต’
เขาดันดาบกลับไปในฝัก แล้วมองเฟิงอวิ๋นเซิงอีกครั้ง ‘ไม่ใช่ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่กลับชาติมาเกิด แต่เข้ากับดาบเล่มนี้ได้ อีกทั้งยังไม่ใช่วิญญาณดาบด้วย หายาก ช่างหายากนัก…’
เฉาเจี๋ยส่ายหน้า ก่อนจะคืนดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกให้เฟิงอวิ๋นเซิง
เขาเหมือนไม่มีสิ่งที่จะถามต่อแล้ว เพียงแต่สุดท้ายก็ใช้สายตาสำรวจพวกเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด
ในดวงตาฉายแววชมเชย แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เฉาเจี๋ยโบกมือเบาๆ “แม้เขตตะวันอาคเนย์จะกว้างใหญ่ พวกท่านสามารถไปที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ทางเนินต้นจักรพรรดิในเขตเพลิงทักษิณ เรื่องราวมีเพียงหัวหางไม่มีปม บางทีอาจเกิดปัญหาตามมา”
เมื่อรับรู้ถึงเจตนาส่งแขกในคำพูด พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็ประสานมือ จากนั้นก็บอกลาและผละมา
หลังจากออกจากตำหนักใหญ่ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ถามอย่างสงสัย “รู้สึกว่าประมุขอาคเนย์ผู้นี้ยังตั้งใจจะบอกอะไรอีกสักอย่างกระมัง?”
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “น่าจะเกี่ยวกับคัมภีร์กระบี่สังหารเซียนที่ข้าฝึกฝน”
เยี่ยนตี๋ว่า “การอนุมานต่อหลินฮั่นหัวของเจ้าน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเจอเฉินจื้อเหลียง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายที่รออยู่ด้านนอก
เมื่อทราบว่าประมุขอาคเนย์อนุญาตให้เขากว่างเฉิงสร้างสำนักรับลูกศิษย์บนทะเลหวงเจีย เฉินจื้อเหลียงก็ยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอยินดีกับทุกท่านแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ ญาณจริงแท้รวมตัวกันกลายเป็นเงาแสงของสตรีนางหนึ่งที่กลางฝ่ามือ “ยังมีอีกเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านเฉินรู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”
สตรีนางนั้นมีท่าทางอ่อนหวาน ดวงตากระจ่างดูปราดเปรียวเจ้าเล่ห์และอ่อนโยนอยู่หลายส่วน เหมือนกับกวางน้อยตัวหนึ่ง
เป็นลักษณะของเมิ่งหวานนั่นเอง
เฉินจื้อเหลียงมองสักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นไร เป็นคนคุ้นเคยของสหายน้อยเยี่ยนหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าพลัดหลงกัน กำลังตามหาอยู่”
เฉินจื้อเหลียงเอ่ยขึ้นหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน สหายน้อยเยี่ยนตามข้าไปเจอศิษย์พี่มู่ เขารู้จักคนมากมาย คนที่อยู่นอกเขตตะวันอาคเนย์ เขาก็รู้จักไม่น้อยเช่นกัน”
“รบกวนแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าให้เฟิงอวิ๋นเซิง ก่อนจะตามเฉินจื้อเหลียงไปพบมู่จวิน
มู่จวินพาถังหย่งฮ่าวกลับมาก่อน ตอนนี้ยังอยู่บนเขาโถงทอง ไม่ได้จากไปไหน
เห็นเฉินจื้อเหลียงพาเยี่ยนจ้าวเกอมา มู่จวินบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม “สหายน้อยเยี่ยนมาพบท่านอาจารย์แล้วหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รบกวนอาจารย์ของท่านนานไปหน่อย”
มู่จวินยิ้มแฉ่ง “ดูจากที่ท่านอารมณ์ดี ท่านอาจารย์คงจะเห็นด้วยกับการเปิดสำนักบนทะเลหวงเจียของสำนักท่านแล้ว”
“ต้องขอบคุณท่านมู่ที่ช่วยพูดกับอาจารย์ของท่าน” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้างเช่นกัน
อีกฝ่ายยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านอาจารย์จะตัดสินอย่างไร คำพูดของข้าไม่มีผลแม้แต่น้อย”
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ พูดเหมือนมีอะไรชี้แนะ “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่สหายน้อยเยี่ยนอาจยังไม่ทราบ คนรู้จักของท่านตอนนี้ได้เข้าเป็นศิษย์ของเขาโถงทองอย่างเป็นทางการแล้ว”
“ท่านอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง ตอนนี้เขาจึงถือเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า”
คำพูดของมู่จวินเป็นการเตือนด้วยความปรารถนาดี
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ถังหย่งฮ่าวมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ มีนิสัยเอาจริงเอาจัง เขาโชคดีเช่นนี้ นับว่าฟ้ามีตาจริงๆ”
มู่จวินพยักหน้ายิ้ม “นี่กลับไม่ผิด”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อ “ที่มาครั้งนี้ ความจริงแล้วอยากสอบถามเรื่องคนผู้หนึ่งจากท่านมู่”
หลังจากแสดงเงาแสงของเมิ่งหวานให้มู่จวินดูแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็มองการเปลี่ยนแปลงทางใบหน้าของมู่จวิน
หลังจากมู่จวินดูเสร็จ เขาก็จมอยู่ในภวังค์
เขาไม่ได้รีบร้อนตอบ แต่ค่อยๆ เอ่ยว่า “ศิษย์น้องถังเคยพูดถึงสตรีนางนี้เช่นกัน บอกว่าเป็นสหายร่วมสำนักในโลกแปดพิภพ ถูกจวงเจาฮุยแห่งเขตเพลิงทักษิณลักพาตัวไปจากวังศิลาก้นทะเลในดินแดนสุทธทัศน์”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบตรงๆ “มิผิด”
มู่จวินจมลงสู่ความคิดอีกครั้ง
ครู่ต่อมา เขาก็ตอบอย่างจริงใจว่า “ข้าไม่เคยพบหน้านางมาก่อน นอกจากนั้นตัวข้ายังไม่เคยไปยังโลกเบื้องล่างที่พวกท่านเกิดมา ทว่า…”
“ตอนข้ามองนาง ข้ามีความรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก”
เยี่ยนจ้าวเกอฮึกเหิม เฉินจื้อเหลียงที่อยู่ด้านข้างใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
มู่จวินสบสายตาที่เป็นประกายของเยี่ยนจ้าวเกอ พร้อมกับเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “หน้าตาของสตรีนางนี้ คล้ายกับคนที่ข้าเคยเจอในอดีตอยู่หลายส่วน”
แม้ภายนอกของมู่จวินดูเหมือนจะยังอายุน้อย ความจริงมีอายุหลายปีแล้ว คนที่เขาเคยพบเจอในชีวิตมีมากมายดุจทะเลหมอก ไม่อาจนับได้
แต่ว่าเมิ่งหวานมีหน้าตาโดดเด่น คนที่คล้ายกับนาง ลักษณะภายนอกไม่สมควรขี้เหร่ ไม่เคยเจอยังพอว่า ขอแค่เคยเจอ ก็ต้องเหลือภาพทรงจำไว้ให้มู่จวินบ้าง
ด้วยพลังฝึกปรือ ด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยไหวพริบปฏิภาณ ด้วยความจำอันน่าทึ่งของมู่จวิน คนที่เคยพบหน้าครั้งหนึ่ง สามารถพลิกหาจากในส่วนลึกของความทรงจำได้
“แต่ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
มู่จวนพูดพลางครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้น ใช้นิ้ววาดใส่อากาศ
เงาแสงเหลือร่องรอย เกิดเป็นภาพวาดภาพหนึ่งด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ
ในภาพวาด เป็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่ง ใบหน้าคล้ายกับเมิ่งหวานเจ็ดส่วนเป็นอย่างน้อย
‘มีจริงๆ หรือนี่?’ เฉินจื้อเหลียงรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอมองดูภาพนั้นครู่หนึ่ง ก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านมู่ ท่านทราบประวัติความเป็นมาของนางหรือไม่?”
มู่จวินตอบ “ลูกศิษย์ของประมุขทักษิณ ศิษย์แห่งเนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์ หลิวเซี่ยนถิง”
………………..