เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งเคยเห็นและเคยสัมผัสเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
ทว่าเมื่อเห็นเตาโอสถนั้น เขาก็ทราบว่าไม่ผิดแน่ นี่คือเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ หนึ่งในของวิเศษของวังเทพเมื่อครั้งอดีต
กระนั้นเขาก็ไม่ได้รีบร้อนโถมเข้าไป
เขามองรอบๆ อย่างเงียบงัน
ชายหนุ่มสำรวจเตาวิเศษชิ้นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจยาวๆ สะกดความละโมบในใจ ร่างพุ่งถอยหลัง กลับเข้าไปในเมฆหมอกสีม่วงหนาหนัก
“เป็นอะไรไป มีปัญหาหรือ” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ยังยืนยันไม่ได้ แต่รอบๆ ดูพิกลอยู่บ้าง ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า”
เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายมองเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับอย่างสนอกสนใจ
ถึงแม้ในตอนนี้จะอยู่ในทะเลเมฆสีม่วง ทว่าทุกคนมองดูเตาโอสถจากบริเวณชายขอบก็ยังคงเห็นได้ชัดเจน กลับกัน หากอยู่ตรงเตาโอสถแล้วมองไปด้านนอก กลับยากจะพบตำแหน่งของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง อาหู่ก็เกาศีรษะ “คุณชาย เป็นเพราะว่าโอสถที่หลอมใหม่เหล่านั้น ท่านจึงกังวลว่าจะมีคนอื่นอยู่ที่นี่หรือขอรับ”
แต่ว่ามองไปมองมา ก็ยังไม่พบการดำรงอยู่ของคนอื่นๆ ต่อให้เคยมีคนมาถึงก่อน แต่ก็น่าจะจากไปแล้ว ส่วนเตาวิเศษกลับยังคงอยู่ที่เดิม
เตาโอสถมีควันลอยขึ้นรอบๆ การสั่นไหวของพลังอันแข็งแกร่งและถูกเก็บงำคงอยู่มาตั้งแต่ต้น
ต่อให้เป็นคนที่มีพลังฝึกปรือสูงส่งถึงขีดสุด ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ยากจะซ้อนเร้น
ถ้าหากว่าสามารถซ่อนร่างในสถานการณ์เช่นนี้ได้จริงๆ เช่นนั้นพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะต้องสูงส่งจนถึงขั้นที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ไม่อาจรับมือได้ ต่อให้ระวังตัวขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์
“นั่นเป็นแค่ด้านหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอพยัหน้าช้าๆ สายตามองเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ
มีของบางอย่างที่มีแค่เขาที่มองออก
ตรงหน้าไม่มีการซุ่มโจมตีของศัตรู ไม่มีการสะกดป้องกันพิเศษใดๆ จริงๆ คุณสมบัติวิญญาณของเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับถูกเก็บงำเหมือนกับหลับลึก ไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีได้
แต่ว่าเตาโอสถตรงหน้ากลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความรู้สึกพิลึกถึงขีดสุด
เหมือนกับเตานี้ยังอยู่ในตำหนักโอสถของวังเทพ ไม่เคยถูกย้ายไปไหน
ทว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ ไม่ใช่ตำหนักโอสถ ไม่เช่นนั้นเยี่ยนจ้าวเกอย่อมต้องจำได้
ตอนแรกเยี่ยนจ้าวเกอนึกว่าตนรู้สึกไปเอง
แต่ว่าหลังจากยืนยันหลายครั้ง ความรู้สึกนั้นก็ยังคงสลัดออกไปไม่หลุด คอยเตือนเยี่ยนจ้าวเกออย่างต่อเนื่อง
ในเมื่อไม่ใช่ความรู้สึกไปเอง เช่นนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงคิดวิธีค้นหาสาเหตุ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร
นี่ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสงสัยถึงการวินิจฉัยก่อนหน้านี้เท่านั้น ยังทำให้เขาเพิ่มความระวังขึ้นด้วย
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจใช้แผนการเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ต่อให้ความได้เปรียบที่ตนนำพวกฟู่ถิงอยู่จะถูกลบทิ้งไปหมดก็ตาม
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ปัญหาว่าใครมาก่อนมาหลังอีกแล้ว
แม้จะยังไม่ทราบ แต่ว่าคนอื่นๆ ก็ยังเลือกเชื่อการตัดสินของเยี่ยนจ้าวเกอ รอคอยอย่างอดทน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทะเลหมอกสีม่วงอีกด้านหนึ่งก็พลันแปรปรวน หงส์เพลิงสีทองตัวหนึ่งสยายปีกบินออกมาจากด้านใน บรรลุถึงด้านหน้าเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ
เงาแสงหงส์เพลิงสลาย เผยให้เห็นร่างของพวกฟู่ถิง
ฟู่ถิงครั้นมองเห็นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ ใบหน้าก็ฉายแววยินดีและสั่นสะท้าน
ทว่าไม่ทันไร สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสับสน จากนั้นก็กวาดมองดูรอบๆ
จอมยุทธ์เขาอัศจรรย์คนอื่นต่างมีสีหน้างงงันเช่นกัน
ตามเหตุผลแล้ว เมื่อครู่น่าจะมีคนมาถึงที่นี่เร็วกว่าพวกเขา และเป็นไปได้ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอผู้แปลกประหลาดคนนั้น
ตอนนี้เหตุใดกลับไม่พบร่องรอย
พวกเยี่ยนจ้าวเกออยู่ในทะเลเมฆสีม่วง วังฝูงมังกรเก็บแสงสีเจ็ด ทุกอย่างดูเป็นปกติ พวกฟู่ถิงจึงยากจะหาร่องรอยของพวกเขาเจอ
จากมุมมองของพวกฟู่ถิง รอบๆ ตัวนางมีแค่ทะเลเมฆสีม่วงกว้างใหญ่ มองไม่เห็นเงาคนแม้สักสายเดียว
ในความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ตรงหน้า เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับตั้งตระหง่านอย่างสงบ บนผิวเตามีควันลอยอวล
พวกนางไม่พบว่ามีผู้ใดซุ่มอยู่ และไม่เห็นอุปสรรคและการสะกดป้องกันใดๆ ที่ต้องทำลาย
ไม่มีสถานการณ์ที่ต้องให้ใครฝ่าไปรับกระสุนก่อน
เตาวิเศษเตานั้นไม่เหมือนกับของที่มีเจ้าของ และไม่มีความตั้งใจจะกีดกันคนนอกอย่างพวกนาง
ตามเหตุผลแล้ว ไม่น่าจะเกิดสถานการณ์ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง
ฟู่ถิงรู้สึกลังเลอยู่ชั่วขณะ
ถ้าหากว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอระหว่างทาง จนพวกเขาถูกขังอยู่ในทะเลเมฆสีม่วง เช่นนั้นพวกตนก็เท่ากับอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย อยู่ในตำแหน่งนำหน้าอีกครั้ง
ครั้งนี้หากลังเลละล้าละลัง จะเท่ากับใช้เวลากับโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์
คู่แข่งของพวกนางไม่ใช่มีแค่พวกเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น
ทว่าหากก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว แต่ถอยกลับไปเพราะเหตุผลปริศนา เช่นนั้นพวกตนเข้าใกล้เตาโอสถด้วยตัวเอง ก็เป็นไปได้ว่าจะเดินเข้าไปเหยียบกับดัก
‘หรือเขาจะกลัวว่าถ้าได้เตาโอสถไปแล้ว จะไม่อาจออกไปได้อีก จึงคิดจะจัดการศัตรูที่ตามมาด้านหลังอย่างพวกข้า แล้วค่อยชิงเอาของวิเศษไป’ ฟู่ถิงขมวดคิ้ว สายตาสอดส่ายไปรอบๆ
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงคนหนึ่งด้านข้างนางยามนี้พูดขึ้นว่า “เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าจะลองไปหยิบของวิเศษนั่นดู ศิษย์น้องฟู่เจ้าเตรียมตัวอยู่ที่นี่ ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ จะได้รับมือได้ทัน”
เขามีเจตนาดี แต่ฟู่ถิงไม่ต้องการให้เขาไปเสี่ยง “ถ้าหากมีอันตรายจริงๆ ตัวข้ายังมีโอกาสมากกว่า ให้ข้าไปเองแล้วกัน พวกศิษย์พี่คอยคุมเชิงให้กับข้า”
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ฟู่ถิงก็ไม่ลังเลอีก เข้าใกล้เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับทันที
ทว่าในตอนนั้นเอง ด้านในทะเลเมฆสีม่วงรอบๆ ก็พลันเกิดความปรวนแปร
ฟู่ถิงหยุดการเคลื่อนไหว หันกลับไปมอง เห็นประกายกระบี่ที่แทบจะโปร่งแสงใกล้เคียงกับความว่างเปล่า พุ่งออกมาจากด้านในทะเลเมฆสีม่วง
เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอพอเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
หลังจากประกายกระบี่หยุดลง ก็ปรากฏเงาร่างของคนหลายคน
คนที่นำหน้ากลับเป็นดรุณีที่อายุน้อยยิ่งกว่าฟู่ถิงนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์สีเขียว คิ้วตาดุจภาพวาด ไม่ได้โดดเด่นเท่าฟู่ถิง แต่ก็มีความงามเป็นเอกลักษณ์
“ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้กลับไล่ตามมาถึงแล้ว ไม่ใช่เพราะมีแค่ท่าร่างรวดเร็วเท่านั้น เป็นคัมภีร์นภาความว่างเปล่าหรือว่าคัมภีร์กระบี่ลวงเซียนกัน” ฟู่ถิงสายตาเคร่งขรึมลง “เหมือนจะเป็นกระบี่ลวงเซียนมากกว่า พวกท่านเป็นผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์หรือ”
ดรุณีอาภรณ์เขียวนางนั้นมองเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถอนใจ “ยังดีที่ตามมาทัน”
นางมองเตาวิเศษอย่างสนใจ “นี่คือเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับหรือ”
ครู่ต่อมา ดรุณีในชุดสีเขียวค่อยหันไปทางฟู่ถิง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นผู้สืบทอดของบรมครูเหนือพิสุทธิ์จริงๆ แล้วท่านเป็นใครกัน”
ฟู่ถิงตอบ “ฟู่ถิง บัวแดงแห่งเขาอัศจรรย์จากเขาคุนหลุนในโลกซ้อนโลก”
สตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นเข้าใจ “จริงด้วย ท่านพ่อเคยบอกข้าว่า หากเจอผู้สืบทอดสายหยกพิสุทธิ์กับสายเอกพิสุทธิ์ จำต้องแจ้งชื่อ”
นางกระแอม ทำสีหน้าจริงจัง กล่าวด้วยสายตาแข็งกระด้างว่า “ข้าเกาฉิง จากถ้ำใบวิญญาณในยอดเขาขาวเรือง บนเขาแหนเขียวแห่งมรกตท่องฟ้า”
หลังจากแนะนำตัวเองแล้ว นางก็กะพริบตาอีกรอบ “ฟู่ถิง ชื่อนี้…”
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในทะเลเมฆสีม่วงได้ยิน ก็เอ่ยในใจว่า ‘มรกตท่องฟ้า น่าจะเป็นโลกที่ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ใช้ชีวิตอยู่และสืบทอดวิชากระมัง’
ตำหนักมรกตบนผาเห็ดหลินจือ คือสถานที่พำนักของเทวกษัตริย์รัตนะ บรมครูสายเหนือพิสุทธิ์เมื่อครั้งอดีต
ถึงแม้จะมีการถกเถียงกันมาโดยตลอดว่าตำแหน่งที่จะไปถึงได้อยู่บนเกาะเต่าทอง หรือเกาะสุขาวดี หรือเกาะเซียนเกาะอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น แต่เมื่อได้ยินชื่อ ‘มรกตท่องฟ้า’ จะต้องเป็นการสืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนชื่อ ‘เขาแหนเขียว’ น่าจะเป็นคนรุ่นหลังเรียกตามกระบี่แหนเขียวซึ่งเป็นกระบี่ของเทวกษัตริย์รัตนะ
ฟู่ถิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ‘เขาแหนเขียว แซ่เกา?’