ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 832 เสียงคำรามจากเขาเบญจคีรี!

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของซุนจ้งต๋าไม่น่าเชื่อ

จากสถานการณ์ที่เขารู้ก่อนหน้านี้ พระศรีอาริย์กับศาสนาพุทธไม่มีทางสลัดหลุดจากความข้องเกี่ยวไปได้จากเรื่องราวในตอนนั้น

แต่ว่าในนี้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกันแน่ การสรุปในตอนนี้ยังเร็วเกินไป

ทว่าท่าทีของซุนจ้งต๋าก็ได้บอกเยี่ยนจ้าวเกอเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์กับโลกซ้อนโลก มีความคิดต่อเรื่องศาสนาพุทธต่างกันอย่างชัดเจน

ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์ดูจะมีท่าทีแข็งกร้าวและดุเดือดกว่า

นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มรกตท่องฟ้าขัดแย้งกับโลกซ้อนโลกหรือไม่ ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอยังยืนยันไม่ได้

ท่าทีในปัจจุบันของซุนจ้งต๋า ด้านหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาโกรธจริงๆ อีกด้านหนึ่งอาจจะเป็นการลองเชิงเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้

ตอนนี้เขาค่อยๆ มีความรู้สึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้านี้ แตกต่างกับคนจำนวนมากที่อยู่บนโลกซ้อนโลกจริงๆ

แตกต่างกันมาก

ความคิดของซุนจ้งต๋า เยี่ยนจ้าวเกอเพียงมองปราดเดียวก็เข้าใจ แต่ว่าก็ไม่ได้วิจารณ์อะไรมากนัก หลังจากขังอีกฝ่ายอีกครั้ง เขาก็ออกจากวังฝูงมังกร

ขณะที่เดินทางอยู่ในแดนขวางกั้นไปเรื่อยๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ่งคุ้นเคยและยิ่งมั่นใจต่อการเคลื่อนไหวปราณวิญญาณของที่นี่มากขึ้น

เขาเริ่มลองเสาะหาเส้นทางกลับโลกซ้อนโลกแล้ว

แต่หลังจากที่ค่อยๆ คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวปราณวิญญาณที่นี่ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกถึงความผิดปกติอยู่รางๆ

‘เหตุใดจึงดูเหมือนว่าสถานที่บางแห่งในโลกใบนี้ว่างเปล่า’

เยี่ยนจ้าวเกอประหลาดใจเล็กน้อย จึงไล่ตามหาไปตามเส้นสายของปราณวิญญาณ

แดนขวางกั้นมีขนาดเท่ากับโลกแปดพิภพ พื้นที่จึงไม่ถือว่าใหญ่มากสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ

เขาเจอสถานที่ที่ตนเองต้องการตามหาอย่างรวดเร็ว

เมื่อไปถึงที่นั่น เยี่ยนจ้าวเกอมองทิวทัศน์ตรงหน้า รู้สึกประหลาดใจกว่าเดิมไม่ได้

เพราะมันเหมือนกับม้วนภาพวาดม้วนหนึ่ง ถูกเจาะออกมาจากตรงกลาง จากนั้นส่วนที่ถูกเจาะออกมาก็ถูกรักษาอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่กลับถอยห่างออกไปด้านหลังหลายส่วน

ครั้นทอดตามองไปไกล ภาพวาดบนม้วนภาพราวถูกรักษาอยู่ในสภาพเดิม

ทว่าเมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ กลับมีความรู้สึกขัดกันอยู่ประการหนึ่ง

ถ้าหากว่าเปลี่ยนแปลงมุมมองของตัวเอง จะค้นพบปัญหาที่ชัดเจน ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเหมือนโลกสองใบซ้อนทับกันอยู่ ส่วนตรงขอบเกิดเป็นชั้นที่ขาดออกไปอย่างเด่นชัด

ตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ในตอนนี้ หรือตำแหน่งที่แดนขวางกั้นอยู่ในตอนนี้คือ ‘ม้วนภาพ’ ที่อยู่รอบนอก

ส่วนโลกอีกใบหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ซ้อนทับกับแดนขวางกั้น แต่ไม่ได้รวมกัน

นั่นเป็นภูเขาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แต่ว่าปรากฏรัศมีแสงรางๆ จิตแห่งความสงบนิ่งเป็นธรรมชาติรั่วไหลออกมา

‘มิน่าถึงได้รู้สึกว่าสถานที่บางแห่งของโลกใบนี้เหมือนกับมีรูขนาดยักษ์ ที่แท้มีปัญหาจริงๆ’

เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจภูเขาซึ่งดูเหมือนอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งเบื้องหน้า แต่เขากลับไม่รู้ว่าเป็นที่ใดกันแน่

เพียงแต่มองไปมองมา ชายหนุ่มก็พลันรู้สึกว่าข้างหูมีคล้ายมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

เสียงนั้นเหมือนมีเหมือนไม่มี ราวกับอยู่ไกลแสนไกล ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจเนื้อหาที่แท้จริง

แต่ว่าข้างในกลับแฝงอารมณ์ที่ซับซ้อนยิ่งยวดมากมาย

เหลือเชื่อ สงสัย ตกตะลึง โกรธแค้น โศกเศร้า ผิดหวัง บ้าคลั่ง ไม่พอใจ…

อารมณ์มากมายรวมกันเป็นหนึ่ง เหมือนกับสลักอยู่กลางท้องฟ้าในจักรวาล คงอยู่ชั่วนิรันดร์

ต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นกำลังพูดอะไร เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ที่รวมอยู่ด้านในเสียงถูกสลักไว้ลึกยิ่ง

นี่ต้องเป็นความเคียดแค้นและความสิ้นหวังแบบใด ถึงกลั่นตัวออกมาเป็นอารมณ์เช่นนี้ได้

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เดินเข้าไปหาภูเขาแห่งนั้น

กระนั้นไม่ทันไร เขาก็พบว่าหลังจากตนเดินไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ตนเองกลับยืนอยู่ที่เดิม ไม่ว่าจะพยายามเพียงไรก็ไม่อาจอาจเข้าใกล้ภูเขาได้

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฝึกฝนคัมภีร์นภาความว่างเปล่าและกระบี่ลวงเซียน ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ก็เชี่ยวชาญต่อความน่าอัศจรรย์ในด้านการเปลี่ยนแปลงของมิติเวลาเช่นกัน โดยไม่อาจนำระดับความสามารถก่อนหน้านี้มาวัดได้อีกแล้ว

แต่เขากลับไม่อาจเข้าใกล้ภูเขาแห่งนั้นได้เลย

สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ เขาไม่รู้สึกถึงการสะกด ค่ายกล หรือจิตที่คนอื่นวางเอาไว้ และไม่รู้สึกถึงความปรวนแปรของปราณวิญญาณเช่นกัน

ทุกอย่างเหมือนอยู่ในสภาพปกติ แต่ภูเขาที่เหมือนอยู่ใกล้ด้านหน้า กลับเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้าเช่นกัน

‘ไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่มีการสะกด แต่เป็นคนที่วางการสะกดเอาไว้มีพลังฝึกปรือสูงเกินไป’ เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว

สามารถทำให้เขาในตอนนี้สัมผัสร่องรอยไม่ออกโดยสิ้นเชิง พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายสูงจนไร้ขอบเขตแล้ว

เกรงว่าจะเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน

เป็นใครกัน

ขณะที่ครุ่นคิด ข้างหูของเขาก็พลันมีเสียงดังขึ้นอีก

อารมณ์ที่รุนแรงนั้นกระแทกเยี่ยนจ้าวเกอจนจิตใจกระสับกระส่าย เกือบจะคลุ้มคลั่ง

แต่ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเนื้อหาชัดแล้ว

เป็นคำคำหนึ่ง

“ท่านอาจารย์?!”

เสียงคำรามเหมือนดังขึ้นบนทุกที่กลางกระแสเวลา จากในอดีตที่ผ่านไปแล้ว รวมถึงปัจจุบันและอนาคต

เยี่ยนจ้าวเกอมองภูเขา ใคร่ครวญในใจ ‘ดังมาจากโลกทางนั้นหรือ? มาจากภูเขาลูกนั้น…’

เขาเข้าไปในวังฝูงมังกร ถามว่า “พวกเจ้าได้ยินเสียงเมื่อครู่หรือไม่”

อาหู่กับเสี่ยวอ้ายมีใบหน้าสับสน

เฟิงอวิ๋นเซิงถามอย่างสงสัย “เดี๋ยวหายไปเดี๋ยวปรากฏ เหมือนได้ยิน แต่อีกเดี๋ยวก็สัมผัสไม่ได้ ข้านึกว่าข้าหูฝาดไปเองเสียอีก”

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “ได้ยินเนื้อหาชัดหรือไม่?”

เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้า หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอคิดครู่หนึ่ง เขาก็ถามซุนจ้งต๋าอีกรอบ

คำตอบของซุนจ้งต๋าคล้ายกับเฟิงอวิ๋นเซิง

‘อย่างน้อยต้องมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะได้ยินเสียงเมื่อครู่หรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอไตร่ตรองเงียบๆ ‘ยิ่งพลังฝึกปรือสูง ก็ยิ่งได้ยินเนื้อหา’

เฟิงอวิ๋นเซิงมีดาบเพทอาทิตย์ยะเยือก วิญญาณสอดประสานกับดาบในระดับสูง จึงได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้อยู่บ้าง ไม่เหมือนกับอาหู่กับเสี่ยวอ้ายที่สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย

เยี่ยนจ้าวเกอลองเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้นอีกรอบ แต่ยังคงไม่สำเร็จ

เขากลับแดนขวางกั้น เจอสถานที่ที่มีคนบางตาซึ่งอยู่ใกล้ๆ จึงสอบถามถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภูเขาลูกนั้นจากปากผู้คน

กลับคาดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชื่อ

เพียงแต่ชื่อเรียกของที่นี่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอตกใจจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นานทีเดียว

“ยอดเขาพุทธะเทวะเป็นสถานที่บริสุทธิ์ คนธรรมดาย่างพวกเราย่อมเข้าไปไม่ได้ มีเพียงแต่ผู้เลื่อมใสในพุทธเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปในสถานที่เช่นนั้นได้ นั่นเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียร ไร้ความขุ่นมัว ไร้ความเคียดแค้น ไร้ชะตากรรมที่ถูกกำหนด ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง

“ยอดเขาพุทธะเทวะ…พุทธะเทวะในที่นี้หมายถึง…”

“ย่อมเป็นยุทธวิชัยพุทธะ[1]ว่ากันว่า ยอดเขาพุทธะเทวะเคยชื่อว่าเขาสองแดน แรกสุดชื่อเขาเบญจคีรี…”

ส่วนเรื่องราวร่ำไรต่อจากนั้น เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ตั้งใจฟังต่อ

เขาพลันหันไปมองตรงเส้นขอบฟ้า ภูเขาที่เหมือนไม่อยู่ในโลกใบนี้ รู้สึกเหลวไหลยิ่ง

‘เขาเบญจคีรี…เขาสองแดน…ยอดเขาพุทธะเทวะ…ยุทธวิชัยพุทธะ…เช่นนั้นก็หมายถึง…’ เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าแปลกพิกล ‘ก็รู้อยู่ว่าโลกใบนี้มีตำนานไซอิ๋วเช่นกัน แต่ว่าวานรตัวนั้นสมควรไปอัญเชิญพระไตรปิฏก หลังจากออกจากเขาเบญจคีรี จากนั้นจึงได้ตำแหน่งยุทธวิชัยพุทธะกระมัง’

‘หรือว่าไม่เพียงแต่มิติบิดเบี้ยว เวลาของที่นี่ก็บิดเบี้ยวเช่นกัน จึงเหมือนกับย้อนเวลากลับไปหมื่นปีก่อนหน้านี้’

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าในตอนนี้ตนเองมีสมองไม่พอใช้แล้ว ‘รอประเดี๋ยว ข้าดูเหมือนยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเสียงนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ หรือว่าหลังจากวานรตัวนั้นเข้าสู่นิพพานแล้ว จะมีคนอื่นยึดครองที่นี่’

‘แต่ในเมื่อคนที่อยู่ในแดนขวางกั้นซึ่งอยู่ใกล้ที่แห่งนี้เรียกที่นี่เป็นยอดเขาพุทธะเทวะ นอกจากคนผู้นั้นแล้วจะยังมีใครอีก’

………………..

[1] ยุทธวิชัยพุทธะ ชื่อของซุนหงอคงที่ได้รับการตั้งจากพระยูไลหลังจากอัญเชิญพระไตรปิฎกสำเร็จ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset