เงาแสงในม่านตาทั้งสองข้างของเยี่ยนจ้าวเกอสลาย กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
เขาผุดกายขึ้นจากพื้น
การเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอราบเรียบยิ่ง ไม่มีการแผ่กลิ่นอายของพลังแม้แต่น้อย
แต่ว่าหลังจากเขาลุกขึ้น วังฝูงมังกรก็สั่นไหวเล็กน้อย
ความว่างเปล่าอันไพศาลนอกตัววังคล้ายกับสั่นไหวตามไปด้วย
การเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอแม้ดูเหมือนปกติ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนหวนคืนสู่ความเป็นจริงอยู่รางๆ
เขาสั่งความคิด บนผิวรอบตัวพลันปรากฏลวดลายแสงอันลี้ลับหลายสาย
กลิ่นอายพลังที่กล้าแข็งร้อนเร่าทำให้ผู้คนรู้สึกขลาดเขลา ทะลักออกมาจากในจุดลมปราณทุกจุดของเยี่ยนจ้าวเกอ
ประกายแสงเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับอยู่บนร่างของชายหนุ่ม เหมือนกับการกะพริบของหมู่ดวงดาราบนท้องฟ้ายามราตรี
ด้านในวังฝูงมังกร พวกเฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และเสี่ยวอ้ายในตอนนี้หยุดการฝึกของตัวเอง มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางจุ๊ปากชมเชย
เสี่ยวอ้ายใช้สองมือรองคางของตัวเอง อ้าปากกว้าง ครู่ต่อมาค่อยถอนใจชมเชย เอ่ยว่า “นายน้อย ท่านยังไม่ได้ทลายนภาเห็นเทวะแท้ๆ ไฉนจึงให้ความรู้สึกเหมือนหลอมจักรวาลในร่างของตัวเองสำเร็จแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นจักรวาลในร่างที่เป็นมายายังไม่เป็นความจริง”
มีกระบวนท่าวรยุทธ์ระดับสุดยอด มีโอสถปริมาณมหาศาลที่ได้จากเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับ มีของวิเศษจำนวนมากที่สั่งสมไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเงื่อนไขทุกด้านครบถ้วน ตัวเยี่ยนจ้าวเกอในวันนี้จึงก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
ลมปราณ เลือดเนื้อ ร่างกาย วิญญาณ จิตใจ จิตวรยุทธ์ รวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อาจแยกแยะจากกัน
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย!
เส้นทางสามพิสุทธิ์รวมเป็นหนึ่ง ยากเย็นกว่าเส้นทางของวรยุทธ์สายอื่น
แต่ถ้าเกิดก้าวหน้าก้าวหนึ่ง พลังของเยี่ยนจ้าวเกอจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน
เขาถอนใจยาว แสงสว่างที่กะพริบอยู่บนร่างหายไป กลิ่นอายที่ทั้งแข็งกร้าวทั้งน่าทึ่งนั้นก็ถูกเก็บไปด้วยเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอบิดขี้เกียจเล็กน้อย “เอาล่ะ”
เขากวักมือครั้งหนึ่ง เตาผลึกหินชั้นในลอยมาถึงด้านหน้า
ชายหนุ่มตบฝ่ามือหนึ่งใส่เตาผลึกหินชั้นใน ครั้นฝาเตาเปิดออก แสงสีม่วงสายหนึ่งก็พุ่งออกมา
กระบองไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้ายาวหกปล้องนอนแน่นิ่งอยู่ในเตาผลึกหินชั้นใน นอกจากแสงสีม่วงแวววาวบนผิวแล้ว ก็ไม่มีจุดไหนผิดปกติ
เยี่ยนจ้าวเกอพิจารณากระบองไม้ไผ่เล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้น จากนั้นก็ปิดฝาเตาตามเดิม
เขาเดินออกจากวังใหญ่ นั่งลงบนศีรษะพ่านพ่าน มองความว่างเปล่าที่สับสนด้านหน้า บันทึกการเปลี่ยนแปลงของมัน ทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง
“พวกเกาฉิงมีวิธีกลับมรกตท่องฟ้าได้อย่างรวดเร็ว น่าจะไม่ใช่แค่เพราะได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสก่อนจะออกเดินทางเท่านั้น แต่เพราะรู้ว่าหากเจอสถานการณ์คล้ายกันจะต้องทำอย่างไรด้วย”
ชายหนุ่มใคร่ครวญ “มรกตท่องฟ้าน่าจะมีความพิเศษโดยตัวมันเองอยู่แล้ว”
“พวกเกาฉิงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากเข้าไปในมรกตท่องฟ้าแล้ว การสะกดรอยของศาสนาพุทธจะไร้ประโยชน์ หรือต่อให้พาคนเข้าไปฆ่าทิ้งในมรกตท่องฟ้า คนในศาสนาพุทธก็ไม่อาจค้นพบ นี่เป็นเพราะความพิเศษของมรกตท่องฟ้า ไม่ใช่เพราะกษัตริย์ลี้ลับหรือจักรพรรดิน้ำพุหลง”
นี่อาจจะเป็นจุดที่มรกตท่องฟ้ามีความพิเศษ และอาจเป็นเพราะปกติแล้วมรกตท่องฟ้าเก็บของวิเศษบางอย่างเอาไว้
เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญไปพลาง ศึกษาการปลี่ยนแปลงของมิติด้านหน้าไปพลาง เพื่อค้นหาวิธีกลับไปยังอีกด้านของ ‘กำแพง’
เวลาต่อจากนั้น ชีวิตของเยี่ยนจ้าวเกอ วนเวียนอยู่ระหว่างการฝึกฝนและการหาเส้นทาง
พวกเฟิงอวิ๋นเซิงอยู่ด้านในวังฝูงมังกร มีโอสถเซียนยาวิเศษจำนวนมากและของทรัพยากรของวิเศษคอยสนับสนุน ตั้งใจฝึกปรือฝีมือ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ภายใต้การไหลผ่านของกาลเวลา ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกครึ่งปี
อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากเยี่ยนจ้าวเกออนุมานสิ่งต่างๆ เรื่อยมา ในใจก็เริ่มมีแผนการแล้ว
ดวงตาของเขายิ่งมายิ่งเป็นประกาย ก่อนที่จะกระโดดปราดขึ้นโดยพลัน ยื่นนิ้วเขียนใส่อากาศ
พ่านพ่านหยุดเดิน ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกออกมาจากวังฝูงมังกร ประสานพลังกับเยี่ยนจ้าวเกอ ขีดเขียนอักขระอาคมสายแล้วสายเล่าในมิติอันมืดมิด
ผ่านไปพักใหญ่ๆ ในตอนที่ลวดลายอาคมที่ส่องแสงสว่างกระจายทั่วมิติ ล้อมรอบพวกเยี่ยนจ้าวเกอไว้ เขาถึงจะหยุดมือ
อักขระอาคมแสงสว่างที่ถี่ยิบหมุนเวียนและรวมตัวกันในมิติ ค่อยๆ กลายเป็นน้ำวนขนาดยักษ์
มิติที่ก้นน้ำวนบิดเบี้ยว ไม่ได้มืดมิดอีก แต่ว่าสาดแสงสว่างที่ละลานตาอย่างยากบรรยายออกมา เกือบส่องสว่างมิติทั้งหมด
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง ‘อืม เพิ่งใช้วิธีนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่ดีพอ การเคลื่อนไหวจึงรุนแรงไปบ้าง’
‘ยังมีจุดที่ต้องเพิ่ม ซึ่งสามารถปรับปรุงได้อีกขั้น
ขณะที่คิด เยี่ยนจ้าวเกอก็กลับไปอยู่บนศีรษะของพ่านพ่าน จากนั้นก็ตบเจ้าตัวใหญ่ที่อยู่ด้านล่างเบาๆ “ไปเถอะ”
พ่านพ่านคำรามเสียงต่ำ มันควบทั้งสี่เท้า แบกวังฝูงมังกรกับเยี่ยนจ้าวเกอ พุ่งเข้าไปในแสงสว่างไร้สิ้นสุดที่ก้นน้ำวนนั้น
เมื่อแสงสว่างสลายไป ตรงหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏมิติที่มืดมิดอีกผืนหนึ่ง
ดูเหมือนไม่มีใดแตกต่างกับทิวทัศน์เมื่อครู่ ทำให้คนสงสัยว่าตนยังอยู่ในโลกของพระธรรมหรือไม่
กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ทราบว่า ตนได้กลับมาอีกด้านหนึ่งของ ‘กำแพง’ กลับมายังที่ที่ตนเคยอยู่ กลับมายังโลกของสำนักเต๋าซึ่งเป็นที่อยู่ของโลกซ้อนโลกและโลกแปดพิภพสำเร็จ
เมื่อกลับมาถึงด้านนี้แล้ว คิดกลับโลกซ้อนโลกก็จะง่ายกว่าเดิม
แต่ว่าการผลัก ‘กำแพง’ ก็มีผลกระทบอยู่บ้าง
แม้จะกลับมาถึงด้านนี้ แต่มิติที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่กลับทับซ้อนพลิกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดเป็นเกลียวคลื่นมากมาย ทำให้เขายากจะกลับไปยังเขตหยางเทียนจะวันออกเฉียงใต้ผ่านเครื่องหมายที่ทิ้งไว้ในโลกซ้อนโลกได้โดยตรง
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่หวั่นวิตก ไหลไปตามคลื่น หลังจากเจอบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์แห่งหนึ่ง เขาก็เข้าไปด้านใน
ในตอนที่ชายหนุ่มข้ามบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ แล้วเห็นท้องฟ้าสีเขียวของโลกซ้อนโลก เขาก็รู้สึกพึงพอใจ
เขาสัมผัสการไหลของเวลาในโลกซ้อนโลก จากนั้นก็เทียบกับการไหลของเวลาในตอนที่ตนลอยคออยู่ในมิติก่อนหน้านี้ แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ ‘ไม่ต่างกับที่เราคำนวณไว้ก่อนหน้านัก’
เวลายังมีเหลือเฟือ เยี่ยนจ้าวเกอจึงตรวจสอบว่าครั้งนี้ตนมาโผล่ ณ ที่ตรงไหน
ไม่ทันไรก็เจอสถานที่ที่มีผู้คนบางตาซึ่งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มจึงเข้าไปสอบถามทันที
โลกซ้อนโลกใหญ่เกินไปจริงๆ แม้ว่าจะมีภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เป็นเพราะความแตกต่างของสถานที่ จึงมีสำเนียงท้องถิ่นและภาษาท้องถิ่นมากมาย
เยี่ยนจ้าวเกอต้องใช้เวลาไปไม่น้อยจึงค่อยทราบว่า ตำแหน่งที่ตนอยู่ในตอนนี้ คือจุดตัดระหว่างเขตสารทอิสานและเขตสุราลัยบูรพา
มีระยะห่างไกลจากเขตตะวันอาคเนย์ไม่น้อย จำเป็นต้องมุ่งหน้าลงใต้ ข้ามเขตสุราลัยบูรพา
ชายหนุ่มกลับไม่สนใจ และออกเดินทางทันที
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะขยับ ฝีเท้ากลับเชื่องช้าลง
สายตาของเขาอดมองไปยังคนผู้หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ได้
นั่นเป็นบุรุษหนุ่มร่างผอมสูง โฉมหน้างดงามถึงขีดสุด บุคลิกล้ำเลิศ ทำให้ผู้ที่เห็นยากจะลืมเลือน
แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้จงใจปิดบังไว้ พลังฝึกปรือของเขาค่อนข้างโดดเด่น เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย
ด้วยสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ คนผู้นี้ห่างจากระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่แค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอหยุดเคลื่อนไหว
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือ นอกจากลักษณะท่าทางที่ไม่เหมือนกันแล้ว ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ เหมือนกับซือคงจิงทุกอย่าง
เป็น ‘ซือคงจิง’ อีกคนหนึ่ง