ศพของเหลียนอิ๋ง จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้สนใจ
ก่อนหน้านี้ในพายุนิมิตทมิฬ เยี่ยนจ้าวเกอช่วยเหลือเขาเอาไว้พร้อมกับจวินลั่วและเหลียนเฉิง ผลคือในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อเรื่องอันตราย เจ้าเด็กที่ไม่อยู่ในสายตาผู้นี้กลับเนรคุณ หวิดแทงทุกคนด้วยดาบหนึ่ง
หากไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอมีวิธีจัดการได้ทันเวลา ทุกคนคงจะต้องเตรียมป้องกันมังกรทมิฬพิฆาตที่อยู่ด้านบนไปด้วย และต้องระมัดระวังมังกรขาวพิฆาตใต้เท้าที่เหลียนอิ๋งสร้างขึ้นไปด้วย
เนื่องจากผู้อาวุโสหลี่ถูกสังหารเป็นเหตุ บรรดาจอมยุทธ์กว่างเฉิงทั้งหลายที่เพลิงโทสะกำลังสุมอก ไม่ได้ฆ่าศพระบายความแค้น มีท่าทีสงบเงียบเช่นนี้ได้ก็นับเป็นการแสดงออกที่ใจเย็นอย่างมากแล้ว
เหลียนเฉิงมองดูศพของเหลียนอิ๋ง ก่อนจะถอนใจคราหนึ่ง รุดขึ้นหน้าเก็บโครงกระดูกให้เขา
หลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ เขากับพี่ชายท่านนี้ต่างก็มีหัวอกเดียวกัน ชะตากรรมคล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกนึกคิดกลมเกลียวอย่างยิ่ง
ทั้งสองล้วนเป็นบุตรอนุภรรยา บิดามารดาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร อุปนิสัยล้วนยังค่อนข้างอ่อนนุ่มอรชรอีก จึงมักถูกข่มเหงรังแกอยูในตระกูลเสมอ
พวกเขาเติบใหญ่มาด้วยกันอย่างทุลักทุเล ระหว่างกันและกัน กลับนับว่าเป็นญาติมิตรที่มีอยู่น้อยนิดของแต่ละคน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ที่เหลียนอิ๋งค่อยๆ เหินห่างกับเขา นี่ทำให้เหลียนเฉิงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินวาจาของเหลียนอิ๋งเมื่อครู่ และยังเห็นการแสดงออกของเขาอีก ในที่สุดเหลียนเฉิงถึงนึกขึ้นได้ เหมือนกับว่าตั้งแต่ชั่วขณะที่รู้จักจวินลั่วนั้นเอง ที่ท่าทีของเหลียนอิ๋งที่มีต่อเขาเริ่มบังเกิดความพลิกผันแปรเปลี่ยน
ถึงนิสัยเหลียนเฉิงจะนิ่มนวลอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้โง่เขลาแต่อย่างใด เมื่อเข้าใจชัดถึงสาเหตุที่เหลียนอิ๋งเปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหนักใจยิ่งกว่าเดิม
อันที่จริงสำหรับเหลียนเฉิงแล้ว ไหนเลยจวินลั่วไม่ใช่แสงสว่างที่น้อยนักจะปรากฏในชีวิตตน?
เพียงแต่เหลียนเฉิงไม่ได้มีความคิดสุดขั้วเฉกเช่นเหลียนอิ๋ง ขณะเดียวกัน ยังมองโลกในแง่ร้ายมากกว่าด้วยเช่นกัน เขาก็รู้สึกตั้งนานนักแล้วว่าจวินลั่วก็เหมือนดั่งการเงยหน้าขึ้นฟ้ามองส่วนในของเมฆอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าเหลียนอิ๋งจะร้ายกับตนเอง มังกรขาวพิฆาตที่สร้างขึ้นก็หวิดกลืนตนเองให้จมลงไปเช่นกัน กระนั้นเหลียนเฉิงก็ยังคงใจอ่อน ทนฝังร่างพี่ชายในทะเลทรายกว้างใหญ่เช่นนี้ไม่ไหว
แม้ว่าตัวจะสิ้นใจไปแล้ว ทว่าอย่างน้อยให้เขาได้เป็นใบไม้ร่วงกลับสู่โคนต้น จะได้หรือไม่?
จวินลั่วมองเหลียนเฉิงกับเหลียนอิ๋ง พลางกัดเม้มริมฝีปาก สองจิตสองใจอยู่บ้าง
สายตาของนางที่ตกอยู่บนร่างเหลียนอิ๋งแลดูซับซ้อนอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อมองไปยังเหลียนฉิง แววตาของนางกลับอ่อนโยนลงกว่าอยู่บ้าง
ครู่ใหญ่ จวินลั่วเองก็ถอนใจเช่นกัน ก่อนจะรุดหน้าไปช่วยเหลียนเฉิงเก็บศพของเหลียนอิ๋ง เตรียมนำออกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตก
จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงกลุ่มหนึ่งมองดูภาพฉากนี้ แม้ไม่ได้ช่วยเหลือ ทว่าก็ไม่ได้ขัดขวางด้วยเช่นกัน หลังจากพวกเขาเก็บศพของผู้อาวุโสหลี่แล้ว ก็ยืนนิ่งเงียบข้างๆ รอคอยการชี้แนะจากเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอมองจวินลั่วอย่างสงบเงียบขณะหนึ่ง “ลั่วลั่ว นี่ถึงจะใช่การพเนจรในโลกภายนอก หรือควรกล่าวว่า แท้จริงแล้วนี่ไม่เท่าไรเลยต่างหาก ยังคงเป็นด้านหนึ่งที่สว่างไสวสวยสดอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรความเป็นจริงยังมีเรื่องที่คาวเลือดดำมืดยิ่งกว่านี้เสียอีก”
การแก้แค้นด้วยความพยาบาทระหว่างขุมกำลังใหญ่ทั้งสองฝ่าย หลังรู้แจ้งเห็นจริงจุดอ่อนในใจคนแล้วใช้ประโยชน์วางแผน ลอบสังหารกะทันหันทารุณเลือดเย็น ด้วยเหตุนี้คนอื่นจึงเป็นปลาติดหลังแหไปด้วย
สำนักเขานิมิตทมิฬดับสูญไปนานแล้ว ทว่าปัจจุบันบุตรหลานที่เหลือรอดอยู่จำนวนหนึ่งปรารถนาการแก้แค้น ผู้ถูกพุ่งเป้าหมายก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ระดับสูงของสำนักเขากว่างเฉิงแต่อย่างใด แต่เป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่ถึงแม้ปัจจุบันจะมีตำแหน่งในสำนักสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ทว่าท้ายที่สุดแล้วพลังฝึกปรือล้วนยังไม่เข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์
การปะทะกันของทั้งสองฝ่าย เทียบไม่ได้เลยกับมรสุมพายุการเปิดฉากสงครามของขุมกำลังระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองแห่งที่อาจพัดกระพือขึ้นได้
ทว่าคลื่นใหญ่เช่นนี้ระลอกหนึ่ง เพียงพอให้ทำลายผู้คนเฉกเช่นจวินลั่ว เหลียนเฉิง และเหลียนอิ๋งพวกเหล่านี้ให้พินาศย่อยยับได้แล้ว
ไม่พลิกม้วนพัดเข้ามาก็แล้วไป แต่หากพัดเข้ามาล่ะก็ ย่อมไม่อาจทำได้ดั่งใจโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้อย่างยิ่งกระทั่งว่าจะตายอย่างไรล้วนไม่รู้ได้
เหลียนอิ๋ง เกรงว่าถึงชั่วขณะสิ้นใจนั้นแล้วจะยังไม่เข้าใจเลยทั้งสิ้น เขาเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในมือของเหยาซาน เป็นเพียงห่วงโซ่หนึ่งในแผนลอบสังหารของเหยาซานเท่านั้น
ถึงขนาดที่ยังไม่ใช่ห่วงโซ่หัวใจสำคัญ เป็นเพียงแค่ห่วงโซ่เสริมห่วงหนึ่งก็เท่านั้น
หลังจากเก็บศพของเหลียนอิ๋งแล้ว เหลียนเฉิงก็นำติดไว้กับตัว จวินลั่วผุดยืนขึ้น เม้มกัดริมฝีปากล่างพลางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอรำพึงรำพันขึ้นเงียบๆ ว่า “บุญคุณและความแค้นของสำนักเรากับผู้เหลือรอดสำนักเขานิมิตทมิฬ สำหรับพวกเจ้าแล้ว พลังความสามารถยังไม่อาจตามทันได้จริงๆ พลิกม้วนพัดเข้าสู่ภายในไม่อาจกระทำได้ดั่งใจ ทั้งยังไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าระดับฝีมือสู้รบพวกเราใช้ไม่ได้”
เพียงแต่ว่า สำหรับขุมกำลังฐานะเดิมของพวกเขาจวินลั่วและเหลียนเฉิงแล้ว ยากยิ่งจะเตรียมป้องกันมรสุมพายุเหล่านี้ที่พัดจากระดับบนลงมา
เอ่ยว่าถูกพัดเข้าใส่ก็คือพัดเข้าใส่ หลายครั้งหลายครานัก ไร้ซึ่งลางเตือนโดยสิ้นเชิง
“ซึ่งพรรคกระบี่วายุคำรามอันเป็นฐานะเดิมของเจ้า แท้จริงแล้วขุมกำลังระดับเดียวกันก็มีไม่น้อย ถ้าหากมีการต่อสู้ระหว่างกันอยู่ ย่อมมีกลอุบายแต่ละแบบออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นเดียวกัน”
หลังจวินลั่วเงียบงันครู่หนึ่ง นางค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่เยี่ยน ข้าเข้าใจความหมายของท่าน”
นางเชิดหน้าด้วยความดื้อรั้นอยู่บ้าง “แต่ข้ายังคงเชื่อว่าโลกภายนอก ไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่านี้เท่านั้น”
“สิ่งเหล่านี้ ข้าต้องเข้าใจ ไม่อย่างนั้นไม่รู้เมื่อใดจะให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์ถึงตัวบ้าง แต่ก็จะไม่ทำให้ข้าลังเลไม่กล้ารุดหน้าด้วยเช่นกัน”
แววตาของเด็กสาวทอประกายแวววาวเช่นเคย เยี่ยนจ้าวเกอเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ได้หมายความว่าจะตัดสินใจแทนเจ้า เพียงแค่เตือนสติเจ้าเล็กน้อยก็เท่านั้น ก่อนจะกระทำเรื่องอะไร จงคิดถึงพวกท่านอาจวิน หากเจ้าเกิดเรื่อง พวกเขาก็ยากจะเลี่ยงความเสียใจ”
จวินลั่วผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ ศิษย์พี่”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยวาจา “เอาล่ะ พวกเราเดินทาง เรื่องอื่นๆ ออกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกก่อนค่อยว่ากัน”
ทุกคนรับปากอึกทึก แล้วสืบเท้ากลับไปยังเส้นทางกลับเมืองซู่โจวต่อไป ตามฝีเท้าของเยี่ยนจ้าวเกอ
เฟิงอวิ๋นเซิงเดินไปบนเส้นทาง มองจวินลั่วแวบหนึ่ง แล้วค่อยอมยิ้มพลางใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตกบเยี่ยนจ้าวเกอ ‘แม่นางน้อยผู้นี้ไม่เลวยิ่ง’
มือขวาของเยี่ยนจ้าวเกอรองยกเสาหินเอาไว้ เขาเดินไปพลาง ยิ้มกล่าวไปพลางเช่นกัน ‘ตอนนั้นเจ้าผ่านทุกอย่างมาเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?’
หญิงสาวระบายยิ้ม ‘ประมาณนั้นกระมัง ตอนนั้นข้างเกือบจะถูกพ่อค้าเร่ทำให้มึนงง ขายเป็นทาสให้แก่ผู้อื่น’
เยี่ยนจ้าวเกอหันไปมองนางวูบหนึ่ง
สีหน้าท่าทางเฟิงอวิ๋นเซิงกลับผ่อนคลายอย่างมาก ‘ตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะออกฝึกประสบการณ์ข้างนอกอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน แต่โดยส่วนมากล้วนแล้วแต่เพิ่มพูนประสบการณ์วรยุทธ์ในด้านการไล่สังหาร อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสสำนักคอยตามติด ต่อให้ประสบอันตราย ถึงแม้จะยากลำบาก ก็รักษาชีวิตไว้ได้ไม่มากก็น้อย’
‘หลังจากนั้นตอนที่เพิ่งหนีออกมาจากสำนัก ไร้ญาติขาดมิตร หลบหนีซ่อนตัวตามรายทางตัวคนเดียว หลีกหนีการไล่สังหาร วิ่งหนีจนเกือบจะครึ่งหนึ่งของอัคคีพิภพ’
‘ในระหว่างลี้ภัย ประสบเจอผู้คนและเรื่องราวไม่น้อย ผูกมิตรกับสหายบ้างเช่นกัน หากแต่…’ เฟิงอวิ๋นเซิงหัวเราะเหอะๆ ‘สหายคนแรกที่ผูกมิตรบนเส้นทางลี้ภัย มองเผินๆ สัตย์ซื่อคุณธรรมเทียมฟ้า ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความมีน้ำใจ ตอนที่เพิ่งรู้จักกัน ทำให้ข้าซาบซึ้งอย่างมากจริงๆ’
‘เวลานั้นข้าเพิ่งจะหลีกหนีการไล่สังหารของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไปหนหนึ่ง แม้จะฝ่าวงล้อมได้สำเร็จ แต่ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากคบค้าสมาคมกับคนผู้นั้นแล้ว เขาต้องการช่วยเหลือข้าหาสถานที่พักฟื้นอาการบาดเจ็บอย่างกระตือรือร้นยิ่ง’
เฟิงอวิ๋นเซิงอมยิ้ม ‘ผู้ใดจะรู้ได้ ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือพ่อค้าเร่คนหนึ่ง คิดอยากจะมอมเมาข้าขายให้แก่คนอื่น แม้กระทั่งผู้ซื้อก็ล้วนติดต่อเสียดิบดีแล้ว หากไม่ใช่ข้าค้นพบได้ทันเวลา หลายปีก่อน ข้าคงจะเป็นนกในกรงของบ้านส่วนตัวตระกูลผู้รากมากดีใดก็ได้แล้วกระมัง’
เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘อย่างนั้นข้าจะไม่ถามเจ้าเกี่ยวกับจุดจบของพ่อค้าเร่ผู้นั้นแล้วกัน’
หญิงสาวหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้เอ่ยต่อไปเช่นกัน
หลังจากออกจากอาณาเขตมหาทะเลทรายแดนตะวันตกแล้ว แม้ว่าเบื้องหน้ายังคงเป็นทรายสีเหลืองผืนหนึ่งอยู่ก็ตาม กระนั้นในที่สุดภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงของพายุนิมิตทมิฬปกคลุมทั่วท้องฟ้านั่นก็มลายหายไป ถูกฝูงชนทิ้งไว้เบื้องหลัง
ยังไม่ทันถึงเมืองซู่โจว การไต่สวนทางอาหู่นั้น ก็ปรากฏผลออกมาแล้วเช่นกัน
—————————