สภาพแวดล้อมในตอนนี้กลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงในตอนที่สำนักตนหาวิธีบีบบังคับหวงกวงเลี่ย ที่เข้าฌานฝึกฝนอยู่ในสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกฌานมาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกแปดพิภพ
เพื่อรับประกันว่าหวงกวงเลี่ยจะประสบความสำเร็จ สยบแปดพิภพเข่นฆ่าไปทั่วสี่ทิศหลังออกฌาน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงต้องอดทนอดกลั้นไม่น้อย
น่าเสียดายสุดท้ายแม้นว่าหวงกวงเลี่ยจะออกฌานสำเร็จ มีพลังเพิ่มขึ้นอีกขั้น ก็ยังมาเอาศีรษะกระแทกเลือดไหลอาบอยู่ใต้ตีนเขากว่างเฉิงในโลกแปดพิภพอยู่ดี
หวงกวงเลี่ยกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ได้กลายเป็นประวัตศาสตร์ไปแล้ว
แต่ว่าเหมือนเรื่องราวในอดีตฉายซ้ำ เพียงแต่ครั้งนี้ฝ่ายป้องกันกลับกลายเป็นเขากว่างเฉิงเสียเอง
ใบหน้าบนท้องฟ้ามองเขากว่างเฉิงกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอย่างเรียบเฉย “เยี่ยนจ้าวเกอ ถ้าหากเจ้าเป็นผู้สืบทอดของราชันพระอาทิตย์จริงๆ เช่นนั้นก็มีแต่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้ที่ช่วยเหลือเจ้าได้”
“ถ้าหากไม่ใช่ วันนี้เขากว่างเฉิงของเจ้าจะกลายเป็นสำนักที่ก่อตั้งอยู่บนโลกซ้อนโลกสั้นที่สุด”
บนร่างของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกในตอนนี้ไม่ปรากฏสภาวะของคุนเผิงและปราณของมังกรแท้แม้แต่น้อย
มันถูกเงาแสงของเทาเที่ยครอบคลุมอยู่ เหมือนกับกลายเป็นจอมปีศาจเทาเที่ยตัวจริงเสียงจริง
ถึงแม้จะเป็นเพราะพลังฝึกปรือไม่ถึง จึงไม่อาจแสดงพลังของกระบี่ปีศาจเทาเที่ยอันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงออกมาถึงขีดสุดได้ แต่ก็อันตรายสุดประมาณอยู่วันยันค่ำ
ในฐานะที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง กระบี่ปีศาจเทาเที่ยเป็นอาวุธที่อยู่เหนือกว่าหอกราชาลี้ลับ
ทว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ากกลับน่ากลัวยิ่งกว่า
แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่าต่อให้เขาต้องเผชิญกับยอดฝีมือเก่งกาจระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า เขาก็ไม่ตกเป็นรอง
ตัวเขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศอยู่แล้ว อีกทั้งยังฝึกฝนวรยุทธ์สะท้านโลกอย่างคัมภีร์นภากาลเวลา พลังของผู้วิเศษเซิงจึงไม่ธรรมดา
ระดับพลังฝึกปรือยิ่งสูง ยอดฝีมือในระดับเดียวกันยิ่งมีน้อย ระหว่างกันมีระยะห่างสั้นยิ่ง
สามารถกลายเป็นยอดฝีมือระดับนี้ได้ ในตอนยังอายุน้อยมีใครที่ไม่ใช่อัจฉริยะที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน และข้ามระดับเอาชนะคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเติบโตและอาศัยอยู่ได้บ้าง
เมื่อมาอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด โดยเฉพาะในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดขั้นเก้า การต่อสู้ข้ามระดับก็กลายเป็นเรื่องที่หาเจอได้ยาก มีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ
แค่ห่างกันเพียงระดับเดียว พลังเฉลี่ยก็มีช่องว่างมหาศาล
ยอดฝีมือระดับนี้ พรสวรรค์ส่วนตัว วาสนาทีได้พบเจอ วรยุทธ์ที่ฝึกฝน ต่างเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับสูงสุดทั้งสิ้น
ทว่าเมื่อผู้วิเศษเซิงมาอยู่ในระดับนี้ ก็ยังคงเป็นผู้โดดเด่นอยู่ดี
เหมือนกับหลินฮั่นหัวและคังผิง
เยี่ยนจ้าวเกอเชื่อว่า ถ้าหากหลินฮั่นหัวเพื่อปกปิดชาติกำเนิดของตัวเอง จึงไม่ใช้พลังทั้งหมด ยังไม่อาจจะเอาชนะผู้วิเศษเซิงได้
และสิ่งที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ อีกฝ่ายอาจจะมีความสามารถอื่นๆ ที่ซ่อนไว้ด้วย
ไม่เช่นนั้นกู้หงคงไม่ถูกจับเป็น
ตอนนี้ชายชราผู้นี้ได้ใช้กระบวนท่ากระบี่กาลเคลื่อนคล้อยที่พวกคังผิงไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้
เพียงหนึ่งกระบี่ มิติเวลากลับสับสน แยกกันออกเป็นมิติที่มีเวลาช้าเร็วไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างฝ่ายต่างฉีกกระชากและบิดเบี้ยวกันและกัน
อย่าว่าแต่จะเป็นคู่ต่ออยู่ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าขั้นสะพานเซียน
ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ ก็มีแต่ต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้สถานเดียว!
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกระตุ้นกระบี่ปีศาจเทาเที่ย หยวนเจิ้งเฟิงควบคุมค่ายกลเอกพิสุทธิ์ แม้จะร่วมมือกัน ทว่าครั้นเผชิญหน้ากับการโจมตีอันเด็ดขาดนี้ ก็ยังรู้สึกกินแรง
มิน่าถึงได้ตีเกาะมนุษย์สำริดที่มียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดสามคนคอยคุ้มครองแตก
มิน่าถึงได้ตีข่ายกระบี่บนดินแดนเพิงหินโม่ที่สั่งสมปราณกระบี่มานับร้อยนับพันปีของหอกระบี่ทะเลเหนือแตก
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ท่านอาจารย์ปู่ มอบสิทธิ์ควบคุมค่ายกลให้แก่ข้า”
ร่างจริงเข้าฌานปิดตาย ทำให้ความคิดของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไม่ปราดเปรียวนัก ไม่อาจทำเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ความละเอียดละอ่อนอย่างการควบคุมค่ายกลได้ดีเท่าไร
ทว่าในตอนนี้จำเป็นต้องลงมือแล้ว
หยวนเจิ้งเฟิงไม่กล่าวพิรี้พิไร ในม่านตาสองข้างมีลวดลายอาคมกะพริบขึ้น แสงสว่างสลายไป
ในม่านตาทั้งสองข้างของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกมีประกายแสงสว่างขึ้นแทน
ลวดลายค่ายกลสองสายหมุนวนพร้อมกัน ปราณบริสุทธิ์มากมายจากค่ายกลเอกพิสุทธิ์เพิ่มพลังให้แก่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
สืบเนื่องจากการกระตุ้นของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ค่ายกลทั้งค่ายพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น
ปราณบริสุทธิ์ที่กลายเป็นท้องฟ้าด้านบนเริ่มร่วงหล่นลงด้นล่างเร็วขึ้น ฟ้าดินที่เกิดจากการรวมตัวกันของจุดแสงสีเหลืองสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นด้านบนเร็วกว่าเดิม
ลวดลายค่ายกลหลายสายกลางค่ายกลเริ่มพังทลาย แสงสว่างด้านบนยอดเขาทั้งแปดเหนือเขากว่างเฉิงดับลง
ของวิเศษสำหรับการวางค่ายกลถึงกับเริ่มแหลกสลาย เพราะการควบคุมอย่างบ้าคลั่งของเยี่ยนจ้าวเกอ
ทว่าการหมุนวนของค่ายกลกลับรวดเร็วขึ้น แสดงให้เห็นถึงสภาวะคลุ้มคลั่ง
ฟ้าดินคล้ายกำลังจะปิดสนิท มิติเวลาอันปั่นป่วนระหว่างฟ้าดินมีแนวโน้มที่กำลังจะถูกหยุดไว้อีกครั้งสืบเนื่องจากการบีบอัดจากพลังนี้
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกได้รับการเสริมพลังจากพลังแห่งค่ายกลเอกพิสุทธิ์ ควบคุมกระบี่ปีศาจเทาเที่ยได้ทรงอานุภาพกว่าเดิม
หลุมอันขมุกขมัวสีดำปรากฏขึ้นมาใหม่ กลืนกินประกายกระบี่ของกระบี่กาลเคลื่อนคล้อยของผู้วิเศษเซิงเป็นจำนวนมาก
ใบหน้าคนที่อยู่กลางอากาศหายไป ประกายกระบี่ที่เหมือนกับกระแสน้ำกลายเป็นคลื่นน้ำราบเรียบอีกครั้ง
ยามนี้ ประกายน้ำแยกออกเป็นสองทาง
เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าเหมือนกับใบหน้าคนที่อยู่กลางอากาศเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน
ใบหน้าอ่อนเยาว์ ทว่าบุคลิกแก่ชรา
เป็นผู้วิเศษเซิงที่ในอดีตเคยสยบทะเลหวงเจีย และในปัจจุบันมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
“มีความสามารถอยู่สองสามท่า กระบี่ที่ยอดเยี่ยม” เขาก้มมองร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกับเขากว่างเฉิง พร้อมกับเอ่ยอย่าแช่มช้า “น่าเสียดายที่พวกเจ้าแม้แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนคนเดียวยังไม่มี มีแค่อาวุธวิเศษเท่านั้น แล้วจะมีประโยชน์อะไร เหมือนกับไก่ได้พลอย มีแต่จะทำให้ของดีเสียหาย”
ผู้วิเศษเซิงค่อยๆ ยกมือขึ้น “อานุภาพเช่นนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงควรมี”
หลังจากเขายกมือขึ้น ตราประทับโบราณที่แปลกประหลาดอันหนึ่งก็โผล่ออกมา
ตราประทับนั้นมีรูปร่างเรียวยาว เหมือนกับกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง แต่ไม่มีด้านคมและปลายกระบี่
กลิ่นอายอันเก่าแก่โบราณที่ลอยออกมาจากด้านในตราประทับรูปร่างกระบี่เหมือนกับข้ามผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
ผู้วิเศษเซิงกำตรากระบี่ชิ้นนี้ไว้ จากนั้นก็สะบัดมือทีหนึ่ง ประกายกระบี่ที่เหมือนกระแสน้ำพลันปกคลุมดินแดนจิตคุณธรรม
ทั่วทั้งเขากว่างเฉิงเหมือนกับแมลงที่ถูกแช่อยู่ในอำพัน ขยับเขยื้อนไม่ได้
ฟ้าดินที่เหมือนกับกำลังสมานตัวเนื่องจากการทำงานของค่ายกลเอกพิสุทธิ์ หยุดชะงักลงในทันที
หลุมอันขมุกขมัวสีดำที่เกิดจากประกายกระบี่ของกระบี่ปีศาจเทาเที่ยเริ่มแผ่พุ่งแหลกสลาย
เยี่ยนจ้าวเกอตาเป็นประกาย ‘มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอยู่จริงๆ ด้วย!’
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกพลันเงยหน้าส่งเสียงกู่ร้อง บนศีรษะปรากฏแสงสว่างหลายสาย ก่อนจะพุ่งปราดขึ้นบนท้องฟ้า กลายเป็นลวดลายอาคมสายแล้วสายเล่า กอปรกันเป็นค่ายกลวิญญาณขนาดยักษ์ค่ายหนึ่ง
บนยอดเขานภากาศ หยวนเจิ้งเฟิงได้ออกมาจากในวิหารใหญ่แล้ว บนศีรษะเองก็ปรากฏแสงวิญญาณพุ่งสู่ฟากฟ้า กลายเป็นลวดลายอาคมเช่นกัน
หยวนเจิ้งเฟิงกระโจนสู่ท้องฟ้า มีค่ายกลวิญญาณค่ายหนึ่งประกอบกันขึ้นมาเช่นกัน โครงสร้างไม่เหมือนกับค่ายกลวิญญาณบนศีรษะของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก แต่ว่าต่างเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกตอนนี้พลันละทิ้งกระบี่ปีศาจเทาเที่ยในมือ โยนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงลงไปยังเขากว่างเฉิงที่อยู่เบื้องล่าง
ขณะเดียวกัน ในมือเขาก็ปรากฏหอกยาวเล่มหนึ่ง กลับเป็นหอกราชาลี้ลับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอีกชิ้น
เพลิงผลาญหลายสายพัดโหมขึ้น ล้อมรอบร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก
เงาแสงเทาเที่ยหายไป เงาแสงคุนเผิงปรากฏ ผงาดขึ้นพร้อมสภาวะพลิกพุ่งสู่ฟากฟ้า
กระบี่ปีศาจเทาเที่ยพุ่งปราดไปอยู่บนยอดเขาพ้นอัคคีซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเขาทั้งแปดของเขากว่างเฉิง ณ ที่แห่งนั้นก็มีแสงสว่างจับตัวกันเป็นลวดลายอาคม ก่อตัวกันเป็นค่ายกลอาคมเช่นกัน
บนยอดเขาพายุสะท้านอีกด้านหนึ่ง ค่ายกลวิญญาณค่ายที่สี่ประกอบกันขึ้นมาสำเร็จ
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยกมือขึ้น อาวุธที่เปล่งแสงวิญญาณระยิบระยับ ปล่อยกลิ่นอายไม่ธรรมดาหลายชิ้นลอยออกมา
อาวุธเหล่านี้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ รวมกันเป็นสภาวะทัพ
อาวุธสำหรับวางค่ายกลที่เกิดจากแกนศิลาวิญญาณชั้นยอด!
ค่ายกลวิญญาณสี่ค่ายที่แยกกันอยู่สี่ด้านของเขากว่างเฉิงลอยขึ้นพร้อมกัน ขยายออกและผสมผสาน กลายเป็นค่ายกลวิญญาณที่ใหญ่กว่าเดิมค่ายหนึ่ง!
ค่ายกลเทพไท่อี้ถล่มททลาย!