เฉวียนฮ่าวหลงมองหยางชง ใบหน้าปรากฏแววขัดขืน
เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน ที่แล้วมาในหมู่สหายร่วมสำนัก อาจารย์อาผู้นี้ดูแลเขาดียิ่ง คนทั้งสองสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร
ตอนที่ประมือกันเมื่อครู่ เขาออมมือมากไป สุดท้ายคนที่ร่วมทางเห็น จึงนำภัยร้ายมา
“อาจารย์ลุงเผิง ข้า…” เฉวียนฮ่าวหลงอ้ำอึ้ง
คนที่เป็นผู้นำในกลุ่มไล่ตามกวาดสายตามาอย่างเย็นชา “หือ?”
เฉวียนฮ่าวหลงเดินไปหาหยางชงอย่างยากลำบาก หยางชงมองเขาพร้อมกับถอนหายใจคำหนึ่ง “ได้เจ้ามาส่งข้า นับว่าสมความปรารถนาแล้ว”
ขณะมองสีหน้าที่ซับซ้อนของเฉวียนฮ่าวหลง เยี่ยนจ้าวเกอก็ลูบคางของตัวเอง ‘อืม เหมือนกับการสืบทอดเปลวเพลิงแห่งอารยธรรมและเปลวเพลิงแห่งการปฏิวัติ’
‘เป็นเพราะการตายของผู้อาวุโสผู้นี้ จะเกิดการฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในในใจของคนรุ่นหลัง สุดท้ายมีวันที่แตกหน่อ สืบทอดเจตนารมณ์ของคนรุ่นก่อนหรือไม่’
‘เขาจะตายไปก่อน และทิ้งเมล็ดพันธุ์สืบทอดไว้เหมือนกับผู้อาวุโสผู้นี้ หรือจะกลายเป็นผู้นำในกระแสคลื่นแห่งยุคสมัยนั้นหรือไม่’
‘หรือจะขัดคำสั่งไม่ยอมทำตาม จนถูกสหายร่วมสำนักฆ่าตายทิ้งที่นี่เหมือนกับหยางชงนั่น’
แค่ชั่วพริบตาเดียว ในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความคิดมากมายแวบขึ้น
แต่ความคิดไร้สาระนี้ก็หายไปอยางรวดเร็ว เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำว่า “‘เส้นทางนอกรีต’ ที่พวกเขาพูด หมายถึงจอมยุทธ์เช่นพวกเราหรือ”
ฟู่ถิงปั้นสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าหากว่าโถงเซียนนี้ปกครองโลก แล้วมีความคิดต่อเส้นทางนอกรีตเหมือนกับศาสนาพุทธ เช่นนั้นที่หมายถึงก็คือลูกศิษย์บรมครูสามพิสุทธิ์สายหลักเช่นพวกเรา”
โถงเซียนและศาสนาพุทธมักจจะต่อว่ากันและกันว่าเป็นมารร้าย
มารนอกรีต ไม่ใช่คำดีอะไร
ฟู่ถิงเอ่ยว่า “จับพวกเขาแล้วไต่ถามว่าเป็นเรื่องอะไร จะได้เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่มากขึ้น”
เยี่ยนจ้าวเกอว่า “คนหนึ่งลงมือ คนหนึ่งคุมเชิง ที่นี่อยู่ใกล้สถานที่ที่โถงเซียนกับศาสนาพุทธสู้กัน โถงเซียนอาจจะมียอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างสูงคอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ”
ฟู่ถิงพยักหน้า “ให้ข้าลงมือแล้วกัน”
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน ไม่เก็บกลิ่นอายอีก ยามนี้พวกเฉวียนฮ่าวหลงและหยางชนค่อยแตกตื่นตะลึงลาน
เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
บุรุษองอาจไม่ธรรมดา สวมอาภรณ์สีขาว เสื้อคลุมสีน้ำเงิน ที่ขอบเสื้อคลุมขลิบขอบดำ
สตรีร่างสูงชะลูด อาภรณ์สีแดงกระโปรงสีขาว คลุมจิ้งจอกเงินไว้บนไหล่ โฉมสะคราญจนโดดเด่นเป็นพิเศษ
เพียงแต่แม้สตรีจะดึงดูดสายตา ทว่าความสนใจของพวกเฉวียนฮ่าวหลงและหยางชง กลับไปอยู่ที่ตัวบุรุษหนุ่มผู้นั้น
เพราะเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัว เขาก็คล้ายกับเป็นศูนย์กลางของฟ้าดินแห่งนี้ทันที
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพร้อมกับโบกมือให้แก่พวกเฉวียนฮ่าวหลง ฟู่ถิงวูบไหวร่าง พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
อาภรณ์แดงกระโปรงขาวปักลวดลายงดงาม ภายใต้หนึ่งฝ่ามือ หยินหยางกลับคืนสู่ต้นกำเนิด
แม้จะเป็นจอมยุทธ์ที่มาจากเต๋าหลักสายสามพิสุทธิ์บนโลกซ้อนโลก ในระดับเดียวกันก็มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รับฝ่ามือของฟู่ถิงได้
ยิ่งอย่าว่าแต่คนที่อาศัยในโลกใต้การปกครองของโถงเซียน และมีพลังฝึกปรือต่ำกว่าฟู่ถิง
เยี่ยนจ้าวเกอคอยสังเกตดูว่า คนที่มาจากเต๋าสายโถงเซียนมีความสามารถพิเศษอะไรหรือไม่
ในขณะเดียวกันก็เฝ้าระวังรอบๆ ให้แก่ฟู่ถิง เพื่อป้องกันไม่ให้มียอดฝีมือระดับสุดยอดที่มีพลังฝึกปรือสูงส่งกว่าโผล่มาอย่างกะทันหัน
ฟู่ถิงลงมือ จับพวกเฉวียนฮ่าวหลงและหยางชงไว้ด้วยกันทันที
ทุกคนคิดดิ้นรน ทว่าฟู่ถิงหยิบแหสีดำขลับขนาดยักษ์ออกมาปากหนึ่ง
เมื่อประสานกับพลังของฟู่ถิง หลังจากอีกฝ่ายติดอยู่ในแห พวกเฉวียนฮ่าวหลงมาตรแม้ว่าจะมีพลังฝึกปรือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็กระดิกกระเดี้ยร่างไม่ได้
“อย่าเพิ่งฆ่าพวกเขา” ฟู่ถิงเอ่ยขึ้น “แสงในร่างของพวกเขาอาจจะมีความสามารถเหมือนกับแสงพุทธของศาสนาพุทธ คนเกิดถูกสังหาร บางทีอาจจะมียอดฝีมือระดับสูงสุดสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังรู้ว่าเป็นพวกเราลงมือ แล้วรีบลงมายังที่แห่งนี้”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างไม่นำพา “แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจ ข้ารู้สึกสนใจคนผู้นี้ยิ่งกว่า”
สายตาของเขาตกลงบนตัวหยางชง
หยางชงรอดชีวิตจากความตาย ทว่าในดวงตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอและฟู่ถิง กลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “พวกท่าน…เป็นคนในเส้นทางนอกรีตหรือ”
ฟู่ถิงยกแหขึ้น ผละจากที่เดิมพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอ
ขณะเดินทางอยู่ นางก็กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เหมือนกับที่พวกท่านกับศาสนาพุทธต่อว่ากันว่าเป็นมารร้าย แม้พวกเราจะไม่ได้มีความคิดรุนแรงเพียงนั้น แต่หากว่ากันตามจริง ในสายตาผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์อย่างพวกเรา พวกท่านจต่างหากที่อยู่ในเส้นทางนอกรีต”
หยางชงอ้าปาก คู่ต่อมาค่อยหัวเราะอย่างขื่นขม “เป็นข้าแซ่หยางเสียมารยาทแล้ว ขอพวกท่านโปรดให้อภัย”
คนอื่นๆ ที่ถูกจบ ยามนี้พากันส่งเสียงด่าทอ “หยางชง เจ้าติดต่อกับลูกศิษย์นอกรีตจริงๆ ด้วย!”
เฉวียนฮ่าวหลงบัดนี้มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าระแวดระวัง เหมือนกับพยายามหลบเลี่ยงสัตว์มีพิษ
อาจารย์ลุงเผิงที่เป็นผู้นำกล่าวอย่างเย็นชา “มารนอกรีต โลกสูงเลิศใบนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าทำตัวโอหังได้”
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ขยับร่าง คางของอาจารย์ลุงเผิงผู้นั้นพลันหลุดออก พูดอะไรไม่ได้อีก
เส้นชีพจรทั่วทั้งร่างของเขาบิดเบี้ยวไม่หยุด นำความเจ็บปวดสุดทนทานมาให้แก่เขา
ร่างกายของเขาชักอย่างรุนแรง เหงื่อกาฬหลั่งไหล แต่กลับส่งเสียงใดๆ ไม่ออก
ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “แสงพุทธในร่างของจอมยุทธ์ศาสนาพุทธสามารถบังคับให้มอดดับเองได้ เพื่อให้เกิดผลฆ่าตัวตาย พวกท่านเล่า”
คนทั้งกลุ่มยามนี้เมื่อมองเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง ใบหน้ากลับฉายแววพรั่นพรึง
หยางชงถอนใจคำหนึ่ง “ศาสนาพุทธสามารถมอดดับได้ พวกเราเองก็สามารถกลายเป็นรุ้งได้ ท่านถ้าหากอยากใช้ทัณฑ์ทรมาน เกรงว่าจะไม่ได้ผล”
เขามองอาจารย์ลุงเผิงผู้นั้นเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เผิงที่จริงกล่าวถูกต้อง โลกสูงเลิศที่พวกเราอยู่นี้ เป็นหนึ่งในโลกทั้งหกที่อยู่ใต้การปกครองของแดนเซียนปลดปลง เป็นดินแดนที่อยู่ติดกับพุทธเกษตรอันโสมม ปัจจุบันอยู่ในช่วงที่สงครามทำลายมารพุทธตึงเครียดพอดี ทางแดนเซียนจึงมียอดฝีมือระดับสุดยอดไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนมาเฝ้า”
“พวกท่านทั้งสองไม่ได้อยู่ในเส้นทางหลักของพวกเรา ทั้งยังมีพลังไม่ธรรมดา หากลงมือก่อกวนการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณบนโลกใบนี้ จะดึงดูดความสนใจมาง่ายยิ่ง”
หยางชงกล่าวเตือนว่า “ท่านทั้งสองปล่อยพวกศิษย์พี่เผิง แล้วรีบออกไปเถอะ”
เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างสนใจ “แล้วท่านเล่า”
หยางชงส่ายหน้า “ข้าบาดเจ็บหนัก มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน บางทีที่นี่อาจะเป็นที่หมายของข้าแล้ว”
เขามองพวกเฉวียนฮ่าวหลงแวบหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ข้าไม่ใช่ผู้ทรยศ แต่พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
“ข้าเกิดที่นี่ เติบโตขึ้นที่นี่ สุดท้ายไม่อาจออกจากที่นี่ ทุกอย่างเป็นลิขิตของฟ้า” หยางชงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างดิ้นรน “นี่เป็นความตั้งใจของฟ้า เป็นความตั้งใจขององค์เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ บางทีอาจเป็นข้าที่ผิดไป ดังนั้นจึงตกต่ำมาอยู่ในขั้นนี้ เป็นโทษที่สมควรได้รับแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “พวกข้าเป็นอย่างไร ท่านไม่ต้องกังวล กลับเป็นพวกข้าต่างหากที่มีคำถามจะถามท่าน”
หยางชงส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่ผู้ทรยศ หากท่านคิดทรมานข้า แสงในร่างข้าแม้จะไม่มั่นคง แต่ก็ยังคงกลายเป็นรุ้งได้”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ท่านจะกลายเป็นรุ้งหรือไม่ ข้าไม่สนใจ และข้าไม่คิดสอบถามเรื่องโลกสูงเลิศใบนี้ หรือความลับในแดนเซียนปลดลงที่อยู่สูงกว่ากับพวกท่าน”
“เช่นนั้นจะถามอะไร” หยางชงงงงัน
เยี่ยนจ้าวเกอชี้เขา จากนั้นก็ชี้พวกเฉวียนฮ่าวหลง “ข้าอยากรู้ว่าไฉนท่านจึงต่างจากพวกเขา”
………………..