สำหรับการชมเชยของฟางจุ่น เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ท่านอาจารย์ลุงสองกล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ ชมจนข้าแทบจะประหม่าแล้ว”
ฟางจุ่นส่ายศีรษะ “เจ้าทนไหวน่า”
ครั้นรวมตัวกับจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงคนอื่นๆ แล้ว ฝูงชนก็เคลื่อนกายออกจากบึงพิภพทันที เดินทางกลับนภาพิภพ
ถึงแม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงในการรับมือปัญหาของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ในการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภาก็ถือว่าเป็นการร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูด้วยเช่นกัน
ทว่าปัจจุบันสงครามทะเลสาบปิดนภายุติลงแล้ว การประลองฝีมือกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตสิ้นสุดลงชั่วคราว สำนักเขากว่างเฉิงก็ยังเป็นสำนักเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอและฟางจุ่นเดินทางจากบึงพิภพกลับไปยังนภาพิภพด้วยกัน ยังคงใช้เส้นทางเส้นที่ต้องเดินทางผ่านปฐพีพิภพ
ถึงแม้จะเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ารังเก่าของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจะอยู่ที่นี่ กระนั้นผ่านสงครามดุเดือดก่อนหน้านี้ และดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งยังร่วมมือกันปราบปรามปฐพีพิภพอีกครั้งด้วย สำหรับตอนนี้นับว่ายังปลอดภัยอยู่
ในอีกด้านหนึ่ง หากจากบึงพิภพกลับนภาพิภพ ทว่าไม่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ ก็ต้องเดินทางทะลุผ่านจากเขตพื้นที่อัคคีพิภพ
หวงกวงเลี่ยยังไม่ออกจากฌาน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พ่ายแพ้สูญเสียยับเยินในสงครามถังตะวันออก หากในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สาม เมิ่งหว่านไม่ได้ชนะจนได้มงกุฎจันทราไป เช่นนั้นกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอและฟางจุ่นก็คงสามารถย่ำก้าวผ่านจากอัคคีพิภพไปได้โดยตรงโดยไม่เป็นไรเช่นกัน
เพียงแต่บัดนี้อาวุธศักดิ์สิทธิ์สองชิ้นอยู่ในมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่ได้โจมตีตอบโต้ กระนั้นสถานการณ์ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอและฟางจุ่นจึงคิดทบทวนที่จะเดินทางทะลุผ่านอัคคีพิภพ ซึ่งจะต้องเผชิญกับการรุกโจมตีของอีกฝ่ายอีกครั้ง
ไม่เพียงแค่เขากว่างเฉิงเท่านั้น ซานสือเวิงยังพากลุ่มคนของเขาไร้พรมแดนกลับไปยังภูผาพิภพอีกด้วย โดยที่เดินทางผ่านปฐพีพิภพเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้กล้ำกรายไปทางฝั่งอัคคีพิภพนั้น
ส่วนอีกด้านหนึ่ง กำลังคนของตำหนักอัสนีสวรรค์เดินทางกลับอัสนีพิภพ ก็เดินทางผ่านปฐพีพิภพเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องอาศัยเส้นทางทางฝั่งวารีพิภพ
แน่นอนว่าด้านตำหนักอัสนีสวรรค์ จะไม่ร่วมเดินทางกับเขากว่างเฉิงและเขาไร้พรมแดน
เยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย และซือคงจิงมองดูทางด้านเขาไร้พรมแดนครู่หนึ่ง แล้วก็มองมาทางฝั่งตนเองนี้อีก ภายในใจก็เกิดความรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างชั่วขณะหนึ่ง
คนที่เร่งตามไปบึงพิภพทีหลัง ล้อมปราบภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตไม่นับ ฝ่ายตนเข้าร่วมการประชุมฝ่านภา ยามไปรุ่นเยาว์มีสามคน ยามกลับก็ยังมีสามคนเช่นกัน
ทางด้านเขาไร้พรมแดนนั้นก็เปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง หลิวเซิ่งเฟิงและจ้าวฮ่าว ทั้งสองคนถูกผู้สืบทอดหลักหักกระดูกอย่างต่อเนื่อง เซียวอวี่และจี้ฮั่นหรู่ต่างก็บาดเจ็บหนัก
เปรียบเทียบความสูญเสียของจอมยุทธ์ระดับสูงแล้ว ครานี้หอคลื่นโหมหนักหนามากที่สุด
ส่วนศิษย์รุ่นเยาว์ ครั้งนี้เขาไร้พรมแดนถูกโจมตีจิตใจที่หยิ่งทระนงโดยตรงจนพังทลายไปครึ่งแถบ
เทียบกันแล้ว ทางฝั่งตำหนักอัสนีสวรรค์แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์อัสนีพิภพ ก็มีบรรยากาศหดหู่อัดอั้นตันใจเช่นกัน
เสียจื่ออี้ที่อายุมากที่สุด ระยะห่างกั้นจากขั้นฝ่านภาเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นตกลงจากท้องฟ้า เฉินหลินที่พลังความสามารถทั่วร่างโดยส่วนมากตกอยู่ที่สุนัขป่าปีศาจทมิฬทั้งสองตัว ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดชื่อว่าเจวี๋ยหาน ก็ถูกพ่านพ่านของเยี่ยนจ้าวเกอนั่งทับจนกลายเป็นเบาะหนังรองนั่งไปเสียแล้ว
ผนวกกับก่อนหน้าที่หลินโจวจะบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือของเยี่ยนจ้าวเกอ แขนขวาที่ถนัดใช้กระบี่ของเยี่ยนส่านถูกชายหนุ่มฟันขาด คนรุ่นเยาว์ของตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ประสบเจอกับอุปสรรคที่พบได้ยากเช่นกัน
ตลอดเส้นทางทะลุผ่านปฐพีพิภพ จนมาถึงยังภูผาพิภพ นภาพิภพ บริเวณเขตแดนติดกันทั้งสามทิศของปฐพีพิภพ กองกำลังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสองดินแดนกล่าวลาซึ่งกันและกัน กลับไปยังแต่ละประตูสำนักของตนเอง
กลุ่มคนของฟางจุ่นพาพวกเยี่ยนจ้าวเกอกลับมาถึงยังเขากว่างเฉิง โดยส่วนมากคนอื่นแยกย้ายกระจายกันไป เยี่ยนจ้าวเกอกลับตามฟางจุ่นไป ทั้งสองรุดหน้าไปพบหยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบัน
ภายในตำหนักใหญ่ของสำนัก หยวนเจิ้งเฟิงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประมุข คอยท่าอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
ขนาบเขาทั้งสองข้าง แบ่งออกเป็นเยี่ยนตี๋ สือเถี่ย และผู้อาวุโสเก่าแก่ทั้งสองท่านของสำนัก
ฟางจุ่นและเยี่ยนจ้าวเกอแสดงการคำนับต่อกลุ่มของหยวนเจิ้งเฟิง ไม่เหมือนเช่นคราวก่อนที่ชายหนุ่มมาพบเจ้าสำนัก ครานี้ ฟางจุ่นไม่ได้นั่งลงแต่อย่างใด แต่กลับยืนอยู่ที่เดิม อันดับแรกเขารายงานเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภาให้แก่หยวนเจิ้งเฟิงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
กลุ่มหยวนเจิ้งเฟิงได้เห็นรายงานของฟางจุ่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่ถึงอย่างไรเวลานี้ก็ยังคงตั้งใจฟังฟางจุ่นเองบรรยายด้วยคำพูด
ฟางจุ่นพูดจาเป็นระเบียบแบบแผนชัดเจน ภววิสัยเที่ยงธรรม ตรงที่ยังไม่แน่ใจนักสำหรับตนเอง ก็ไม่เพิ่มการตัดสินด้วยอัตวิสัยใดๆ เพียงแค่ยกข่าวคราวที่ตนรู้ เล่าออกมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่มีความรู้สึกส่วนตัว
หลังจากฟางจุ่นกล่าวจบ หยวนเจิ้งเฟิงก็ผงกศีรษะช้าๆ ไม่ได้รีบเอ่ยอันใดขึ้น แต่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “จ้าวเกอก็ลองพูดบ้างเถิด”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เหมือนเช่นฟางจุ่น หลังเล่าเรื่องราวหลังจากที่ตนเองเข้าสู่มหากลแดนมารออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นอกจากปิดบังจุดสำคัญเล็กน้อยบางส่วนแล้ว ก็รวบรวมข้อมูลรายงานไปตามความเป็นจริงจนหมดสิ้น
รวมถึงความเข้าใจตระหนักของตนก่อนหน้านี้ที่มีต่อท่วงทำนองพลัของงดวงตาราชันสายฟ้า ดูดซับจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงเลื่อนขึ้นจากขึ้นเคียงนภาระยะต้นไปเป็นขั้นเคียงนภาระยะกลาง
และรวมไปถึงว่าตนเองศึกษามหาค่ายกลแดนมารอย่างละเอียดอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยอานุภาพของดวงตาราชันสายฟ้าทำลายค่ายกลได้
หลังจากหยวนเจิ้งเฟิงฟังจนจบแล้ว จึงกล่าวว่า “จ้าวเกอ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ดีเป็นอย่างยิ่ง”
“ยังออกจะโชคดีโดยไม่คาดคิดอยู่บ้างขอรับ หากสามารถศึกษามหาค่ายกลแดนมารนั่นได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ อาจจะง่ายยิ่งกว่านี้พอควร” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยตอบ
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องมองดูพวกศิษย์พี่เยี่ยแห่งเมืองทะเลมรกต และศิษย์น้องจางแห่งหอคลื่นโหมถูกเจ้าเศษสวะหลิวเซิ่งเฟิงนั่นทรมาน”
ใบหน้าสือเถี่ยเคร่งขรึมจริงจัง สีหน้าอารมณ์เจือความนุ่มนวลอันพบได้ยากอยู่หลายส่วน “เจ้าทำได้ดียิ่งแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถ ด้วยระดับขั้นปรมาจารย์ถลันดิ่งสู่ใจกลางแดนมาร ลองขัดขวางการเยื้องกรายของนพยมโลก เพียงแค่ความเด็ดเดี่ยวและใจกล้ารอบรู้ส่วนนี้ ก็หาได้ยากมากแล้ว”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ายังไม่ใช่แค่อวดความกล้าชั่ววูบเท่านั้น แต่มีรอบรู้อย่างแท้จริง”
ที่ฝั่งตรงข้ามสือเถี่ยและเยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสเก่าแก่สองท่าน ผงกศีรษะเบาๆ เช่นเดียวกัน “ไม่เลว ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
ในเวลานี้เยี่ยนตี๋กลับไม่กล่าวอะไรเลยเสียด้วยซ้ำไป เพียงแค่ยิ้มมองเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอมองเห็นรอยยิ้มอันพบได้ยากยิ่งยวด จากบนใบหน้าบิดาของตนออกอย่างเด่นชัดอยู่หลายส่วน
นั่นชัดเจนว่าเป็นรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจและอวดดีอยู่บ้าง คล้ายกับว่ากำลังโอ้อวดบุตรชายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ของตนโดยไร้สุ้มเสียง
ด้วยอายุและฐานะของเยี่ยนตี๋ในปัจจุบันแล้ว อยากจะเห็นเขาเผยสีหน้าท่าทางเช่นนี้ออกมาต่อหน้าคนอื่นๆ ยากเสียกว่าขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง
หยวนเจิ้งเฟิงที่อยู่บนบัลลังก์ เห็นได้ชัดว่าเก็บอารมณ์อย่างยิ่งยวดเช่นกัน แต่จู่ๆ ชายชราก็คล้ายกับเด็กซนก็ไม่ปาน เอียงศีรษะมองเยี่ยนจ้าวเกอวูบหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอถูกเขามองอย่างแปลกประหลาดยากจะเข้าใจ ก่อนจะได้ยินเขากล่าวว่า “จ้าวเกอ ตอนนี้ข้าปวดหัวไปหมดแล้ว เจ้าสร้างคุณูปการเร็วเกินไป อีกทั้งความดีความชอบก็ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สำนักล้วนไม่รู้ว่าควรจะบำเหน็จเจ้าด้วยอะไรแล้ว”
“บำเหน็จเบาเกินไปน่ะหรือ ไม่เหมาะสม ไม่ยุติธรรมกับเจ้า แล้วก็ขัดต่อหลักการในการบำเหน็จและลงโทษอย่างเป็นธรรมของสำนักอีกด้วย”
“แต่ในทางกลับกัน ทรัพย์สินสะสมที่ไม่เพียงพอของสำนักนี้ ไม่นานนักก็จะถูกเจ้าควักไปหมดเกลี้ยง จนหมดรางวัลที่จะบำเหน็จแล้ว”
หยวนเจิ้งเฟิงไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยเคร่งขรึมจริงจังแต่อย่างใด ชายชรากลับจะอบอุ่นใจกว้างเสียด้วยซ้ำไป ในตอนที่อารมณ์ดี ก็จะหยอกล้อผู้อ่อนอาวุโสเหมือนเช่นตอนนี้
กระนั้น นี่ไม่ได้ทำลายลักษณะอันน่าเกรงขามของเขาแต่อย่างใด ความน่าเกรงขามของเจ้าสำนักกว่างเฉิงรุ่นปัจจุบัน แต่ไหนแต่ไรไม่ได้อาศัยใบหน้าสร้างขึ้น
เมื่อมีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่จริงๆ หยวนเจิ้งเฟิงก็จะทำให้พวกเขารู้ว่าเหตุใดตนถึงได้ถูกขนานนามว่าฝีมือสูงเทียมนภา
เยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างจะเข้าใจหยวนเจิ้งเฟิงเช่นกัน ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเสียแล้วยิ้มกล่าว “ท่านอาจารย์ปู่ให้ตามแต่ท่านเห็นสมควรก็พอแล้วขอรับ ท่านใจกว้างเสมอมา ย่อมไม่เอาเปรียบข้าเป็นแน่แท้”
หยวนเจิ้งเฟิงหัวร่อพลางชี้นิ้วไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้านี่”
สายตาเขามองไปยังสือเถี่ย อีกฝ่ายพยักหน้า จากนั้นจึงมองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าวว่า “บำเหน็จที่จะให้เจ้า ก็คืออภิสิทธิ์ข้อหนึ่ง”
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อเจ้าประสบพบเหตุการณ์ใด ล้วนตัดสินใจกระทำจัดการเฉพาะหน้า ระดมทระพยากรสำนักเพื่อช่วยเหลือได้เองโดยไม่ต้องรายงาน เพียงแค่หลังจากเหตุการณ์ยุติลงค่อยรายงานก็พอ”
หลังสือเถี่ยเว้นวรรคเล็กน้อยครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม”
เยี่ยนจ้าวเกอผ่อนลมหายใจยาวคำหนึ่ง
อำนาจข้อนี้ ในประวัติศาสตร์ทั้งเขากว่างเฉิง ตั้งแต่สถาปนาเปิดสำนักจวบจนปัจจุบัน ยังไม่เคยมีจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนใดได้รับมาก่อน!
………