ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงไม่มีบุญคุณความแค้นกับเยี่ยนจ้าวเกอหรือเขากว่างเฉิง ถ้าหากบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งกัน เช่นนั้นก็มาจากเรื่องสองประการ
ประการแรกคือกงจักรมหาประกายกาฬอยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอ
ประการที่สองคือเสวี่ยชูฉิง มารดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ภรรยาของเยี่ยนตี๋
ต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งสองน่าจะมาจากการที่จักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ย และจักรพรรดิเจิดจรัสหูเยว่ซินได้ทำอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งกษัตริย์ดินไม่เห็นด้วย และเป็นไปได้ว่ากษัตริย์เร้นลับยืนอยู่ฝั่งกษัตริย์ดินในเรื่องนี้
ถ้าหากเป็นเพราะกงจักรมหาประกายกาฬ ร่องรองของเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้หายากนัก เกรงว่าคนของผากิเลนอันเป็นสำนักของกษัตริย์ดินจะมาหาแต่แรก จึงอาจจะเหลือแต่เสวี่ยชูฉิงที่มีร่องรอยไม่แน่นอน
ตัวเสวี่ยชูฉิงไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือนางอาจครอบครองของวิเศษบางอย่าง หรือล่วงรู้ความลับบางประการ นี่เป็นสิ่งที่ประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงต้องการที่สุด
สำหรับผู้ปกครองเขตมหานภากลางและผู้ดูแลโลกซ้อนโลกทั้งใบท่านนี้ ในเมื่อเยี่ยนจ้าวเกอสองพ่อลูกมีกษัตริย์กระบี่หนุนหลัง เช่นนั้นพวกจักรพรรดิเอกภพและจวงเซินย่อมทำอะไรไม่ได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ บุญคุณความแค้นระหว่างสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาคอยระวังอีกแล้ว ความสนใจของเขาย่อมเปลี่ยนไปที่การวางแผนในเรื่องอื่นๆ
“มีความเป็นไปได้นี้หรือไม่ พวกเราใช้โอกาสในวันนี้สร้างชื่อขึ้นมา คนทั่วใต้หล้าทราบความสัมพันธ์ระหว่างเรากับอาจารย์ลุงเยว่ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับท่านแม่”
เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสเสียงให้แก่เยี่ยนตี๋ “ท่านแม่จึงเข้าใจผิดว่ากษัตริย์กระบี่ที่ก่อนหน้าไม่สนับสนุนและไม่คัดค้าน ตอนนี้คุ้มครองนาง ดังนั้นจึงมาหาพวกเรา ไม่หลบซ่อนอีกต่อไป”
เยี่ยนตี๋น้ำเสียงเย็นชา “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาวางแผนเช่นนี้ กลับคาดผิดไปแล้ว”
“เกรงว่าเขาจะไม่ต้องการปะทะกับเขานครหยกซึ่งเป็นสำนักของอาจารย์ลุงเยว่ตรงๆ เช่นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจออกยาวๆ “แต่คิดจะขัดขวางกลางทาง เดิมทีก็ไม่อยากให้พวกเรารู้ ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกเราไม่ทราบที่อยู่ เช่นนั้นก็ไม่มีทางทราบที่อยู่ตลอดกาล”
ดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยนตี๋สาดประกายเย็นเยียบ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “ต่อจากนี้พวกเขาจะจับตาดูพวกเรา พวกเราเองจะจับตาดูพวกเขาเช่นกัน”
“เป็นเช่นนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอผงกหัว
ยามนี้ประมุขอิสานหลิวเจิงกู่เอ่ยขึ้น “ในเมื่อกษัตริย์ดินกับกษัตริย์เร้นลับไม่มีทางก้าวก่าย เช่นนั้นต่อจากนี้เขากว่างเฉิงก็สามารถบุกเขตเพลิงทักษิณได้ไม่มีปัญหา อีกหนึ่งร้อยปีให้หลังถึงจะต้องวางค่ายกลสิบทิศสมปรารถนาอีกครั้ง หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย การตายของจวงทกษิณไม่ได้ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่ของโลกซ้อนโลก”
การตายของยอดฝีมือระดับสุดยอดหลายคนเช่นจวงเซิน เผิงเฮ่อ และจางซู่เหริน เนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงส์ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าเหมาหยวนเซิง ‘หงส์กู่ร้องแดนใต้’ คอยรักษาการณ์อยู่ แต่ก็ไม่มีทางปกครองเขตเพลิงทักษิณได้อีกต่อไป
เพื่อไม่ให้เขากว่างเฉิงและเขาโถงทองสร้างความลำบากให้ เนินต้นจักรพรรดิจะต้องหลบหนี หรือถึงขั้นที่ต้องอพยพ
“จวงทักษิณเป็นบุคคลผู้หนึ่ง หากเนินต้นจักรพรรดิไม่วางแผนร้าย สำนักเราก็ไม่คิดจะเก็บกวาดให้หมดสิ้น” เยี่ยนตี๋กล่าว “แต่ว่าถ้าพวกเขายังไม่ยอมตัดใจ พวกเราก็ยินดีทำลายการสืบทอดของพวกเขา”
ประมุขหรดีไป๋เทากล่าว “จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าบนโลกซ้อนโลกในตอนนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่ห่างจากระดับประมุขเพียงแค่ครึ่งก้าว พร้อมจะเลื่อนระดับทุกเวลา”
คนอื่นๆ ไม่ทราบ แต่ว่าคนระดับพวกเขากลับเคยได้ยินมา
“ทว่าอาจารย์อาเยี่ยนกับศิษย์น้องเยี่ยนมีพลังเหนือธรรมดา แม้จะอยู่ในขั้นสะพานเซียน แต่กลับเทียบได้กับประมุขแล้ว ถึงแม้จะยังขาดแคลนบารมีไปบ้าง แต่ว่าการใช้กำลังยึดครองทิศใต้ไม่ใช่เรื่องยาก”
ไป๋เทาว่าต่อ “เป็นไปตามที่เฒ่าหลิวแห่งอิสานว่า วันนี้ประมุขทั้งสิบขาดตำแหน่ง ยังส่งผลกระทบไม่มาก น่าจะมีคนมาเติมอย่างรวดเร็ว มาตรแม้นว่าไม่มี แต่ด้วยความสามารถและศักยภาพของพวกท่านสองคน ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องปีนสู่สะพานเซียนได้แน่ๆ”
เฉาเจี๋ยกับหลิวเจิงกู่ต่างพยักหน้า
ความจริงแล้วหากตอนนี้มีคนเลื่อนเป็นระดับประมุข มาแทนตำแหน่งของจวงเซิงก็จะกระอักกระอ่วนยิ่ง
เขากว่างเฉิงมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาโถงทอง ดังนั้นจึงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเขตตะวันอาคเนย์มากเกินไป ส่วนทิศทางอื่นพวกเขาไม่มีทางเกรงใจ
ถึงเวลานั้นประมุขทักษิณคนใหม่จะเผชิญกับจอมยุทธ์ขั้นสะพานเซียนที่อาจมีพลังแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไร
นอกจากนี้จอมยุทธ์สะพานเซียนสองคนนี้ยังเป็นพ่อลูกกันด้วย
อย่าว่าแต่เลื่อนเป็นระดับประมุข อีกเก้าคนซึ่งอยู่ในตำแหน่งประมุขทั้งสิบในปัจจุบัน นอกจากประมุขทิศบนเฉินเฉียนหัวและประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงแล้ว ไม่ว่าใครจะมาก็ล้วนทำอะไรไม่ได้
“แต่ก็ไม่ได้ไม่มีข้อยกเว้น…” เฉาเจี๋ยกับหลิวเจิงกู่จิตใจสั่นไหว สายตารวมอยู่ที่คนคนหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ความจริงตอนนี้ก็มองไปที่คนหนุ่มอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้างไป๋เทาเช่นกัน
“ศิษย์พี่เนี่ยเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พร้อมจะครอบครองร่างของมนุษย์เซียนกระมัง” เยี่ยนจ้าวเกอถาม
บนใบหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดของคนหนุ่มอาภรณ์ดำปรากฏรอยยิ้มอบอุ่น “ตอนนี้ข้าทำได้ แต่ข้ายังจะรอ ครั้งนี้มาที่นี่ก็เพื่อแสดงคามยินดีกับเขากว่างเฉิงของอาจารย์อาเยี่ยนและศิษย์น้องเยี่ยน ไม่ใช่เพราะเขานครหยกของข้าต้องการตำแหน่งประมุขอีกทิศหนึ่ง”
น้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับกำลังพูดถึงเรื่องที่ธรรมดาสุดแสนเรื่องหนึ่ง แต่หากคนอื่นได้ยินเข้า เกรงว่าคงเหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมา
กระนั้นคนที่อยู่รอบๆ รวมถึงคนในเขากว่างเฉิงเช่นพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ และหยวนเจิ้งเฟิงกลับไม่เกิดความรู้สึกเหนือความคาดหมาย
ตอนแรกความสนใจหลักของพวกจักรพรรดิเอกภพอยู่บนตัวจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคง แต่ว่าในตอนที่พวกไป๋เทาปรากฏตัว นอกจากจักรพรรดิเอกภพกำเนิดที่มีสีหน้าเป็นปรกติแล้ว พวกจวงเซินและหลางชิงล้วนแสดงให้เห็นถึงความกริ่งเกรงอย่างชัดเจน
ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเบื้องหลังการปรากฏตัวของเขานครหยก แต่ว่าเกรงกลัวในพลังของพวกเขา
ทว่าคนที่ทำให้พวกจวงเซินรู้สึกประหลาดใจเป็นพิเศษ ไม่ใช่ประมุขหรดีไป๋เทาซึ่งเป็นประมุขทั้งสิบเหมือนกัน กลับเป็นคนหนุ่มอาภรณ์ดำที่เงียบขรึมเย็นชาคนนั้น!
‘สองร้อยปีก่อนมีเทพกระบี่น้อย หนึ่งร้อยปีก่อนมีคุณชายฟ้า’
นี่เป็นคำกล่าวที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางบนโลกซ้อนโลก และนอกจากคำกล่าวนี้แล้ว ยังมีอีกคำกล่าวหนึ่งซึ่งโด่งดังพอกัน
‘คุนหลุนสะท้านเทพมังกร คนหนุ่มชี้แนะแปดสำนัก’
ประโยคหลังของคำพูดนี้หมายถึงคนผู้หนึ่ง นั่นก็คือคุณชายฟ้าในอดีต ประมุขทิศบนในปัจจุบัน เฉินเฉียนหัว
ก่อนที่เฉินเฉียนหัวจะเลื่อนสู่ระดับประมุขในหมู่คน เขาได้ออกเดินทางไปทั่วโลกซ้อนโลก ชี้แนะขุมกำลังใหญ่ทั้งแปด ช่วยปรับปรุงและเพิ่มระดับวรยุทธ์ให้แก่พวกเขา
แปดขุมกำลังนี้กระจายไปทั่วใต้หล้า บัดนี้กลายเป็นสำนักที่ทรงอำนาจ
เขาสามขาบนที่ราบสูงยอดขจีในเขตตะวันอาคเนย์เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนี้เท่านั้น
สำนักใหญ่ที่โด่งดังทั้งแปดมีความถนัดและวรยุทธ์ไม่เหมือนกัน ลักษณะของแต่ละสำนักแตกต่างกันสุดขั้ว ต่างมียอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ กอปรด้วยวรยุทธ์อันล้ำลึก แต่ว่าวรยุทธ์ของแปดสำนักใหญ่นี้ ล้วนได้รับประโยชน์จากการชี้แนะของเฉินเฉียนหัว จึงค่อยมีสภาพเช่นทุกวันนี้
เฉินเฉียนหัวในตอนนั้นแม้จะยังเยาว์ ยังไม่ได้ปีนสู่ระดับประมุข แต่ก็ถูกสำนักใหญ่ทั้งแปดยกย่องเป็นผู้นำ ถึงได้มีคำพูดสรรเสริญว่า ‘คนหนุ่มชี้แนะแปดสำนัก’
ส่วน ‘คุนหลุนสะท้านเทพมังกร’ ซึ่งเป็นประโยคแรกในคำพูด หมายถึงอีกคนหนึ่ง และชื่อของคนผู้นี้ก็คือเนี่ยจิงเสิน (เนี่ยสะท้านเทพ)
เขาอายุน้อยกว่าหลงเสวี่ยจี้และเฉินเฉียนหัว แต่โลกซ้อนโลกกลับยอมรับว่าเขาเป็นอัจฉริยะผู้ล้ำเลิศต่อจากเทพกระบี่น้อยและคุณชายฟ้า อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของกษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้นเป่ยแห่งเขานครหยก บนยอดเขาเป่ยเกาในเขาคุนหลุน
ว่ากันว่าเนี่ยจิงเสิน กระบี่สะท้านเทพเป็นเด็กกพร้าซึ่งถูกกษัตริย์กระบี่พบเจอโดยบังเอิญ ในตอนพบหน้ากัน กระบี่ของกษัตริย์กระบี่เกิดการสั่นไหวทั้งที่อยู่ในฝัก!
ความประหลาดนี้ทำให้กษัตริย์กระบี่อัศจรรย์ใจ พาเขากลับมาเลี้ยงดูที่เขานครหยก และตั้งชื่อให้ว่าเนี่ยจิงเสิน
ชื่อจิงเสิน ฉายาสะท้านกระบี่ วิชากระบี่เองก็สะเทือนฟ้าดินข่มขวัญเทพเช่นกัน
ในอดีตเขาเคยสู้เสมอกับเลี่ยนจู่หลินประมุขพายัพที่ยิ่งใหญ่ การต่อสู้ในครั้งนั้นทั้งสองฝ่ายเพียงแลกเปลี่ยนกระบวนท่า เลิกราเมื่อเสมอ
นอกจากพวกเขาเองแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ในตอนสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
มีเพียงแต่คำกล่าวของเลี่ยนจู่หลินที่แพร่หลายไปทั่วว่า ในหมู่ลูกศิษย์ของกษัตริย์กระบี่ จิงเสินคือที่หนึ่ง เพราะเนี่ยจิงเสินในตอนนั้นอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดแล้ว
………………..