เยี่ยนจ้าวเกอหลับตา ในทะเลความคิดอันมืดมิดบังเกิดเงาแสงขึ้น
สตรีสวมอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งถือกาสุราใบเล็ก ทางหนึ่งดื่มสุรา ทางหนึ่งใช้นิ้วต่างกระบี่สะบัดใส่ความว่างเปล่า
การเคลื่อนไหวของนางดูสบายๆ เป็นธรรมชาติ แต่ว่ายามที่ออกกระบี่ จิตกระบี่กลับดุร้ายถึงขีดสุด
เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุกระบี่สังหารเซียน กระบี่ลวงเซียน และกระบี่ผนึกเซียน ทั้งหมดต่างดุร้ายที่สุดในใต้หล้า ทว่าตอนที่สตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นออกระบี่ ก็ยังคงให้ความรู้สึกสั่นสะท้านจิตใจยิ่งกว่า
นั่นเป็นความน่าพรั่งพรึงเหมือนกับมหามรรคาพังทลาย ฟ้าดินสูญสลาย
ทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นโลกใบนี้ พื้นฐานที่เกิดจากการประสานรวมกันเป็นหนึ่งของเวลา มิติ สสาร จิตใจ รวมถึงหลักการมากมาย ต่างสูญสลายไป
‘ช่วยสังหารเซียน ผนึกเซียน ลวงเซียน เกิดแสงสีชาดสี่ทิศ
สังหารเซียนเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด เหล่าเทพเซียนโลหิตย้อมอาภรณ์’
ลำนำนี้เผยให้เห็นความสามารถของสี่กระบี่รัตนาอย่างชัดเจนยิ่ง
สามารถลงทัณฑ์เซียน ทุกสิ่งไม่อาจต้านทาน หนึ่งกระบี่ทำลายสรรพวิชา
ในโลกนี้มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนบรรยายถึงหลักการมากมาย ด้านในนี้ย่อมมีวิชาซึ่งมีพลังป้องกันกล้าแข็ง
ความแข็งแกร่งในการป้องกันของมัน แม้จะใช้อีกสามกระบี่ในสี่กระบี่รัตนา ก็มีบางครั้งที่ทำอะไรไม่ได้ แต่วิชาเหล่านี้เมื่อต้องเผชิญกับกระบี่ลงทัณฑ์เซียน ต่างเหมือนกับของประดับที่ทำขึ้นจากกระดาษสา
ยามเผชิญกับกระบี่สังหารเซียน ลวงเซียน และผนึกเซียน กระบี่ลงทัณฑ์เซียนล้วนก่อให้เกิดผลกดข่ม
ตัวตนระดับสุดยอดในสี่กระบี่รัตนา เป็นรองเพียงการทำลายความโกลาหลในวรยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์ มีชื่อสมกับความเป็นจริง
พูดถึงความสามารถในด้านกานจู่โจม มันยังเป็นหนึ่งในวรยุทธ์ระดับสุดยอดของโลกทั้งหลาย
เมื่อสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นใช้วรยุทธ์ที่ดุร้ายเช่นนี้ออกมา มีอานุภาพล้ำเลิศยิ่ง เพียงแต่ตัวนางแสดงความผ่อนคลายออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งสองสิ่งดูขัดกันอย่างรุนแรง แต่ว่ามองไปกลับสอดคล้องกันเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนยากจะไม่เกิดความรู้สึกขัดแย้งกัน
‘ได้สามรส ในวิชากระบี่มาอย่างแท้จริง คนอื่นๆ ไม่อาจเอาอย่างได้ มิน่าจึงได้ฉายา ‘จักรพรรดิกระบี่’ มาครอง’ เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็พยักหน้าติดต่อกัน
เขาถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขนานแท้ แต่ก็ใช้กระบี่เช่นกัน ขณะเดียวกันยังฝึกฝนวรยุทธ์มรรคากระบี่สายเหนือพิสุทธิ์ และสร้างวิชากระบี่สังหารมังกรเขียวขึ้นมาด้วยตัวเอง
ทว่าตอนนี้พอได้เห็นสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นร่ายรำกระบี่ เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความรู้สึกไม่เสียดายที่ได้มา เพราะได้เห็นนางแล้วจิตใจก็ได้รับการจุดประกาย
ไม่ต้องกล่าวมากความ สตรีอาภรณ์ขาวผู้นี้ย่อมเป็นจักรพรรดิหลินจือม่วงแห่งมรกตท่องฟ้า มารดาของเยี่ยนตี๋ ย่าของเยี่ยนจ้าวเกอ จักรพรรดิกระบี่ตี๋ชิงเหลียน
ผู้ปกครองยอดเขาเมฆาสีชาด ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของมรกตท่องฟ้าต้องยอมศิโรราบ ยินยอมปลดกระบี่
หนึ่งในอัจฉริยะมรรคากระบี่ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักเต๋าหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
จนกระทั่งเทพกระบี่เยี่ยนซิงถาง ปู่ของเยี่ยนจ้าวเกอใช้กระบี่สะกดมรกตท่องฟ้า ตี๋ชิงเหลียนจึงนับว่าได้พบคู่ต่อสู้ที่มีมรรคากระบี่ในระดับเดียวกัน
แม้ว่านางจะยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ไปครึ่งกระบวนท่า แต่สำหรับเยี่ยนซิงถางแล้ว อีกฝ่ายเป็นคนเพียงคนเดียวในโลกที่มีมรรคากระบี่เทียบกับตนได้
อินสือหยางจากโถงเซียนมีพรสวรรค์น่าทึ่งเช่นกัน แต่ว่าสุดท้ายรากฐานก็ยังอ่อนแอไปเล็กน้อย ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้เยี่ยนซิงถางทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
คนเช่นนี้ถ้าไม่ได้เสียชีวิตไปเร็ว คาดว่าคงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งมรรคากระบี่ที่มีโอกาสกลายเป็นตำนานของสำนักเต๋าอีกคนหนึ่งเหมือนกับเยี่ยนซิงถาง เทียบเคียงได้กับเทวกษัตริย์วิเศษคณานับ หยกโปหยิน จักรพรรดิจื่อเวย จอมกระบี่แห่งสำนักเต๋าทั้งหลายในประวัติศาสตร์
อาจจะเป็นคลื่นลูกหลังไล่กลบคลื่นลูกหน้าก็ได้ ใครเล่าจะรู้ได้
เยี่ยนจ้าวเกอคิดถึงตรงนี้ก็ลอบถอนใจ ถึงจะไม่ได้มีความผูกพันล้ำลึก และไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนก็ตาม เพราะบุคคลที่มีความสามารถมากมายสองคนนี้กลับเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เยี่ยนจ้าวเกอในฐานะจอมยุทธ์สำนักเต๋าย่อมรู้สึกเสียดาย
วันเวลาต่อมา เขาอยู่ในที่อยู่ของตี๋ชิงเหลียนบนยอดเขาเมฆาสีชาด ศึกษาจิตกระบี่ที่เหลืออยู่ในตอนที่ตี๋ชิงเหลียนฝึกกระบี้นี้ยามที่มีชีวิต
โอกาสเช่นนี้หายากเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะแตกต่างจากสภาพการ์ณด้านในอารามบรรพกำเนิดที่ประสบวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ซึ่งล่มสลายอย่างนึกไม่ถึง ทำให้ทุกคนรับมือไม่ทัน ดังนั้นจึงเหลือเบาะแสไว้มากมาย
สาเหตุที่มีจิตกระบี่ของตี๋ชิงเหลียนเหลืออยู่ในยอดเขาเมฆาสีชาด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ากษัตริย์ลี้ลับและจักรพรรดิน้ำพุหลงสองสามีภรรยามีเจตนาเช่นนี้
รอให้ลูกหลานของเยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนมาถึงที่นี่ นับเป็นมรดกอย่างหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอย่อมทะนุถนอมโอกาสนี้ ตั้งใจฝึกฝนและศึกษา
พวกหลงเสวี่ยจี้และเกาเสวี่ยโพไม่ได้รบกวนเขา
พอเห็นการกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเขาก็ลอบพยักหน้า
“ศิษย์หลานของพวกเราผู้นี้แม้จะทำอะไรโฉ่งฉาง แต่ในตอนที่จำเป็นต้องสงบจิตใจ กลับสามารถสงบลงได้” เกาเสวี่ยโพพูดกับหลงเสวี่ยจี้ในที่ลับ
หลงเสวี่ยจี้เห็นด้วยกับความคิดของพี่ใหญ่ แต่ว่าเขาไม่ได้กล่าวอันใด เพียงวิจารณ์ว่า “มีความสำเร็จเช่นวันนี้ได้ ย่อมมีส่วนที่ไม่ธรรมดา”
“จริงด้วย คนผู้นั้นแห่งหุบเขานาวาสมัยได้รับข่าวแล้ว ส่งคนมาอย่างที่คิดไว้” เกาเสวี่ยโพพลันกล่าว
ทันใดนั้นหลงเสวี่ยจี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็คลายออกอย่างรวดเร็ว “มีคนปากมากเยอะเกินไป”
เกาเสวี่ยโพส่ายหน้า “ถึงอย่างไรคนอื่นๆ ก็ไม่เหมือนกับเรา มาตรแม้นจะเคยรู้จักกับอาจารย์อาเล็ก แต่ว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเกอก็เป็นคนของโลกซ้อนโลก ตอนคนอื่นเห็นเขาจึงมีอะไรต้องคำนึงถึงมากกว่า ไม่เหมือนกับเราที่มองเขาเป็นลูกเป็นหลาน”
หลงเสวี่ยจี้แค่นเสียง “ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเล็กๆ มัวแต่กังวลกับป่าหี่เล็กๆ เหล่านี้”
ฝ่ายเกาเสวี่ยโพโบกมือ “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปิดข่าวที่จ้าวเกอมายังมรกตท่องฟ้า และเจ้ายังส่งเขาไปยังยอดเขาเมฆาสีชาดอย่างโจ่งแจ้ง ย่อมต้องนึกออกอยู่แล้วว่าเรื่องในวันนี้จะต้องเกิด เรื่องราวแม้จะตึงมืออยู่บ้าง แต่สำหรับจ้าวเกอแล้วถือว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง”
“พี่ใหญ่ท่านตัดสินใจก็พอแล้ว” หลงเสวี่ยจี้สุดท้ายกล่าวว่า “ต้องส่งข้อความ และต้องรอจ้าวเกอลงมาจากยอดเขาเมฆาสีชาดก่อนค่อยว่ากัน”
“คิดว่าจะนานขนาดไหน” เกาเสวี่ยโพถาม
หลงเสวี่ยจี้ส่ายหน้า “ข้ามองไม่ออก”
เกาเสวี่ยโพประหลาดใจเล็กน้อย ความสามารถ พรสวรรค์ และความเข้าใจในมรรคากระบี่ของน้องชายผู้นี้ของตน เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าตี๋ชิงเหลียนอาจารย์ อาเล็กในอดีตเท่าไร
หากเขามีการบอกกล่าวและแยกแยะในเรื่องนี้ ยังน่าเชื่อถือมากกว่าเกาเสวี่ยโพไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่า หลงเสวี่ยจี้จะให้คำตอบคลุมเครือ
“พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของจ้าวเกอสูงส่งยิ่ง ความเข้าใจในด้านมรรคากระบี่ก็สูงส่งมากเช่นกัน” หลงเสวี่ยจี้กล่าวเสริม “ข้ามองตื้นลึกหนาบางในด้านนี้ของเขาไม่ออก ดังนั้นจึงยากจะตัดสิน ได้แต่บอกว่า…”
หลงเสวี่ยจี้ที่สวมอาภรณ์ขาวและมงกุฎอ๋อง มีหน้าตาเหมือนคนหนุ่ม บัดนี้ตาเป็นประกายเล็กน้อย “ถ้าหากว่าจ้าวเกอฝักใฝ่ในการฝึกกระบี่เพียงอย่างเดียว ความสำเร็จจะไม่มีทางต่ำกว่าอาจารย์อาเล็กสองสามีภรรยา”
“เจ้าน้อยครั้งจะชมเชยผู้คน และน้อยครั้งจะเห็นเจ้าแสดงออกเช่นนี้ อย่างไรก็เป็นอาจารย์ลุง อย่าไม่รู้จักหนักเบา ไปเปรียบกระบี่กับคน” เกาเสวี่ยโพเข้าใจน้องชายผู้นี้ดี
หลงเสวี่ยจี้ละสายตา พยักหน้า “ข้ารู้ดี ดังนั้นจึงเสียดายยิ่ง”
“สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งกว่าก็คือ ข้าดูออกว่าจ้าวเกอไม่ได้สนใจจะฝึกฝนมรรคากระบี่เพียงอย่างเดียว”
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน มีลูกศิษยคนหนึ่งในสำนักส่งข่าวมา “อาจารย์อาเยี่ยนจากโลกซ้อนโลกลงจากยอดเขาเมฆาสีชาดแล้ว!”
สองพี่น้องสบตากัน ไร้คำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ครู่ต่อมา สองยอดฝีมือแห่งมรกตท่องฟ้าก็ปรบมือชมเชยพร้อมกัน “ประเสริฐ! เซียนผู้ถูกเนรเทศที่ประเสริฐ!
………………..