เยี่ยนจ้าวเกอหุบนิ้วชี้และนิ้วกลางที่ตั้งขึ้น “สองปราณรวมเป็นหนึ่ง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่เปลี่ยนจาก ‘หนึ่ง’ เป็น ‘มาก’ ดังนั้นจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
เมื่อได้ผ่านการชำระล้างจากการเปลี่ยนปราณเซียนเป็นวายุเซียน ก็เหมือนการชำระล้างจากการเปลี่ยนญาณจริงแท้เป็นปราณเซียน
หากผ่านด่านนี้ได้ เซียนจริงแท้ที่ฝึกฝนควบคุมปราณเซียนได้เพียงหนึ่ง จะไม่อาจทำอันตรายเซียนลี้ลับที่รวมสองปราณเป็นหนึ่ง ฝึกฝนวายุเซียนสำเร็จได้อีก
สถานการณ์นี้คล้ายกับที่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยากจะทำร้ายเซียนจริงแท้
ปราณเซียนหนุนเสริม มนุษย์ยากทำร้าย
วายุเซียนหนุนเสริม มนุษย์ไม่อาจรบกวน
วายุเซียนของเซียนลี้ลับสามารถทำลายญาณจริงแท้ของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน
ดังนั้นเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ เซียนลี้ลับจึงสงบนิ่ง
หรือพูดในอีกมุมหนึ่งก็คือ เซียนลี้ลับมาถึงโลกมนุษย์ แต่ความจริงไม่ได้ลงสู่โลกมนุษย์อย่างแท้จริง จึงไม่ได้แปดเปื้อนฝุ่นผงในโลกมนุษย์
“คุณชาย เป็นเปลี่ยนจาก ‘หนึ่ง’ เป็น ‘มาก’ ไม่ใช่เปลี่ยนจาก ‘หนึ่ง’ เป็น ‘สอง’ ใช่หรือไม่” อาหู่ทำใคร่ครวญคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ พบถึงความน่าอัศจรรย์หลายส่วนได้โดยสัญชาตญาณ
เยี่ยนจ้าวเกอกับหวังผู่ยิ้มขึ้น
“ไม่ผิด เป็นเปลี่ยน จาก‘หนึ่ง’ เป็น ‘มาก’ ไม่ใช่เปลี่ยนจาก ‘หนึ่ง’ เป็น ‘สอง’’ หวังผู่ชมเชย
“ความแตกต่างระหว่างเซียนจริงแท้และเซียนลี้ลับ จุดสำคัญอยู่ที่การรวมปราณเซียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งชนิดให้กลายเป็นวายุเซียน ไม่ใช่การหลอมเปลี่ยนปราณเซียนสองชนิดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นต่อจากนี้ เซียนลี้ลับเมื่อหลอมเปลี่ยนปราณเซียนชนิดที่สามหรือชนิดที่สี่ได้ จะทำให้พลังเพิ่มพูน แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตการฝึกฝนวายุเซียนอยู่”
หวังผู่พูดพลางชูนิ้วขึ้นมาเลียนแบบเยี่ยนจ้าวเกอ
ครั้งนี้เขากางนิ้วทั้งห้าออกในคราวเดียว “แต่ถ้าหากว่าเซียนลี้ลับสามารถหลอมเปลี่ยนตัวเองด้วยปราณเซียนชนิดที่ห้า หลังจากหลอมเปลี่ยนปราณเซียนได้สี่ชนิดได้แล้ว ก็จะผ่านภัยพิบัติได้”
“เมื่อผ่านภัยพิบัติสำเร็จ ย่อมเป็นโลกใบใหม่ที่แตกต่างกับเซียนลี้ลับ” เยี่ยนจาวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประสานปราณเซียนห้าอย่างเป็นหนึ่ง สำเร็จห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด เป็นการแบ่งกันตั้งแต่ ‘ไม่เต็ม’ เป็น ‘เติมเต็ม’ ในการดูดกลืนปราณเซียนเพื่อฝึกฝน ดังนั้นจึงเป็นร่องน้ำธรรมชาติใหม่ โลกแห่งใหม่”
อาหู่แตะนิ้วกับริมฝีกปาก “พอจะเข้าใจแล้ว”
“เซียนจริงแท้ยากจะทำลายผนึกป้องกันสำนักที่กษัตริย์เซียนลี้ลับทิ้งไว้ แต่ถ้ามีพลังมากพอ เพียงเปลืองเวลาส่วนหนึ่งก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่การเผชิญกับเซียนลี้ลับอย่างแท้จริง” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “แต่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แม้จะมีอาวุธเซียนระดับไร้ช่องโหว่อยู่ในมือก็ทำไม่ได้ เป็นเพราะถึงที่สุดแล้ว เขาก็ยังคงฝึกฝนญาณจริงแท้ ไม่ใช่ปราณเซียน ส่วนอาวุธเซียนระดับสงบนิ่ง จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็กระตุ้นไม่ได้ ต่อให้มีอยู่ในมือก็ไม่ต้องคิดมาก”
อาหู่เกาศีรษะ พลันถามว่า “คุณชาย ดูเหมือนห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดจะเป็นคำพูดของสำนักเต๋าเรา เช่นนั้นถ้าเป็นมารร้ายนพยมโลกและจอมยุทธ์ศาสนาพุทธเล่า”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางพยักหน้า “คำถามที่ดี”
เขาอธิบาย “ในด้านรายละเอียด หรือโดยเปลือกนอกแล้วมีความแตกต่าง แต่วัตถุที่เป็นพื้นฐานที่สุดเป็นอย่างเดียวกัน อย่างน้อยก็มีความคล้ายคลึง ครั้งกระโน้นศาสนาพุทธสร้างวิธีการฝึกฝนที่แตกต่างกับสำนักเต๋า ก็เพื่อจะเข้าใกล้สัจธรรม แสวงหามหามรรคาที่แท้จริง เพียงแต่ว่าเดินบนเส้นทางที่พวกเขาคิดว่าถูกต้องเท่านั้น แตกต่างกับการบำเพ็ญของสำนักเต๋าตรงที่ เมื่อยืนยันตำแหน่งของตัวเอง ย่อมมีปัจจัยด้านนี้ แต่ว่าโดยแก่นแล้วไม่ใช่เพราะต้องการสร้างความแตกต่างหรือเพื่อต่อต้าน มหามรรคามากมายเมื่อเดินสู่จุดสูงสุด มักรวมเป็นเส้นทางเดียวกัน เพราะต่างคนร่างแสวงหาสัจธรรมและหลักการ”
เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “ดังนั้นถ้าหากเคยศึกษาการเพิ่มระดับของยอดฝีมือของศาสนาพุทธ เจ้าจะพบว่า แม้จะแตกต่างกับสำนักเต๋า แต่โดยพื้นฐานยังคงมีส่วนคล้ายกัน วิถีมารแห่งนพยมโลกก็เป็นกรณีเดียวกัน ถึงขั้นที่ถ้าเทียบกับศาสนาพุทธแล้ว พวกมันยังมีส่วนคล้ายกับสำนักเต๋าของพวกเรามากกว่า โดยเฉพาะในด้านการแบ่งระดับ ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าถึงได้พูดว่า มีกฎเกณฑ์และแบบแผนบางประการ ไม่เกี่ยวกับว่าจอมยุทธ์จะฝึกฝนวรยุทธ์อะไร ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์และสติปัญญาของจอมยุทธ์ แต่ว่าเป็นกฎเกณฑ์ในธรรมาติและจักรวาล เมื่อหลุดพ้นไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องทำตาม”
เมื่อไม่ต้องการทำตามกฎของผู้อื่น เช่นนั้นนอกจากการบัญญัติกฎขึ้นมาเอง ยังต้องให้คนอื่นทำตามกฎของตัวเองด้วย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น กลับไม่ใช่อำนาจที่แค่เพียงพูดก็ต้องปฏิบัติตามแล้ว แต่เป็นการเปล่งวาจาสำเร็จมรรคา ย่อมหลุดพ้นจากมหามรรคาดั้งเดิม
เช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เซียนจริงแท้กับเซียนลี้ลับปรารถาจะไปถึงได้ เป็นเพียงสมมติฐานที่ไร้ความหมาย
อาหู่ได้ฟังก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วคุณชาย”
เขาเกาศีรษะขนาดใหญ่ของตัวเอง พลันเหมือนนึกอะไรได้ ถามว่า “คุณชาย จักรพรรดินีถูกยกย่องเป็นอันดับหนึ่งในห้าจักรพรรดิของโลกซ้อนโลก แสดงว่านางอยู่ใกล้ระดับเซียนลี้ลับมาก เหลือก้าวเข้าประตูเป็นครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่”
“ประเมินแล้วไม่ใช่…”
“ตอนที่เห็นจักรพรรดินีบนทะเลหวงเจียในครั้งนั้น รู้สึกว่านางไม่ได้เตรียมตัวข้ามผ่านภัยพิบัติสัจพิศวง” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพลางมองหวังผู่ “สาเหตุที่แข็งแกร่ง อาจะเป็นเพราะว่านางมีความโดดเด่นเหนือกว่าคนระดับเดียวกันกระมัง”
หวังผู่ตอบ “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ท่านอาจารย์สมควรรู้มากกว่า”
เขาทอดถอนใจ “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร คิดจะเลื่อนจากเซียนจริงแท้เป็นเซียนลี้ลับไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ท่านอาจารย์เคยบอกว่า ตอนที่ท่านสำเร็จเป็นเซียนลี้ลับ ก็ลำบากเช่นกัน ผ่านภัยพิบัติสัจพิศวงไม่ง่าย”
“ไม่ง่ายจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า
ยอดฝีมือระดับเซียนจริงแท้ทั้งห้าบนโลกซ้อนโลกในตอนนี้ บางคนเยี่ยนจ้าวเกอก็คุ้นเคยดี บางคนก็ไม่คุ้นเคย
ในนี้จักรพรรดิเอกภพกำเนิดกับจักรพรรดิแพรงามนับว่าได้สัมผัสด้วยบ่อยๆ ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงพอจะเข้าใจเส้นทางการเลื่อนระดับของพวกเขาคร่าวๆ
จักรพรรดิแพรย่อมไม่ต้องกล่าวมากความ ระหว่างอาภรณ์ดำกับอาภรณ์ขาวจะต้องมีผลแพ้ชนะเสียก่อน
ถ้าหากจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำที่เดินบนเส้นทางไร้รักชนะ เช่นนันก็จำเป็นต้องกำจัดฟู่ถิงกับเมิ่งหว่านทิ้ง จากนั้นค่อยชิงเมฆแปลงกำเนิดกับหมัดแปลงกำเนิด
เช่นนี้จึงจะมีโอกาสดูดกลืนปราณเซียนชนิดที่สามารถหลอมร่าง ผ่านภัยพิบัติสัจพิศวง เปลี่ยนปราณเซียนในร่างเป็นวายุเซียนได้
ไม่อย่างนั้นถ้าหากวู่วามไปเสี่ยงเผชิญกับภัยพิบัติสัจพิศวง นอกจากความตายก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่สองอีก
จักรพรรดิอาภรณ์ขาวที่เดินบนเส้นทางมากรักหรือว่าเส้นทางมีรักยิ่งกระอักกระอ่วนแล้ว
ในปัจจุบันต่อให้เขากำจัดจักรพรรดิแพรอาภรณ์ดำ เส้นทางต่อจากนี้เขาจะเดินอย่างไร ยังไม่อาจทราบได้
จักรพรรดิเอกภพกำเนิดยังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้เดิน แต่ว่าลายมือแห่งแผ่นดินมีความสำคัญกับเขาจริงๆ
เมื่อมีลายมือแห่งแผ่นดิน แม้ไม่แน่ว่าจะข้ามภัยพิบัติสัจพิศวง สำเร็จระดับเซียนลี้ลับได้อย่างปลอดภัย ทว่าอย่างน้อยก็มีความหวังแล้ว
“ระดับความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกระบี่มักโดดเด่น แต่ก็เติบโตลำบาก” เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจชมเชย “อาจารย์ลุงเยว่คิดจะไล่ให้ทันกษัตริย์ดินและกษัตริย์ลี้ลับด้วยสถานะที่ออกทีหลัง ลำบากกว่าเดิมแล้ว”
หวังผู่ยิ้มหนักใจ เอ่ยว่า “ตอนนี้ขอแค่ให้ท่านอาจารย์กลับโลกซ้อนโลกให้เร็วที่สุดก็พอ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็คงต้องลากันตรงนี้แล้ว ศิษย์พี่หวังโปรดรักษาตัว อาหู่เจ้าก็อย่าเสียเวลาระหว่างทาง ให้ไปยังเขตสุราลัยบูรพาทันที” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือ
หวังผู่พยักหน้า “ครั้งนี้ศิษย์น้องเยี่ยนไปก็ต้องระวังตัวมากๆ เช่นกัน”
“คุณชายไม่ต้องห่วง ข้าจะนำของไปให้ประมุขตระกูลโดยเร็วที่สุด” อาหู่กล่าวพลางพยักหน้า “หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ข้าจะไปรอฟังคำสั่งในเขตราตรีอุดร”
เยี่ยนจ้าวเกอบอกลาคนทั้งสอง จากนั้นก็กลายร่างเป็นลำแสง พุ่งไปยังทิศเหนือ
หลังจากการตามหาเฟิงอวิ๋นเซิงในครั้งแรก เขาก็มาถึงเขตราตรีอุดรอีกครั้ง
………………..