เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าเปลี่ยนรูปเป็นมุกวิเศษสีม่วง สาดแสงสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินวิบวับจ้าตา
เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ตรงขอบประตู มือหนึ่งเก็บกระบองหินสั้นกลับ มืออีกข้างหนึ่งทำท่าลั่นไกปืนไปทางหัวหน้าค่ายชื่อหลิง
นิ้วหัวแม่มือขวาที่ตั้งขึ้น กดต่ำลงทันใด นิ้วชี้ยกขึ้นแผ่วเบาประหนึ่งปากกระบอกปืน คล้ายกับรับแรงดีดจากการลั่นไกก็ไม่ปาน
ดวงตาราชันสายฟ้าที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะ ก็ทอแสงสายหนึ่งฉับพลัน ตามท่าทางนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นประดุจราชาจักรพรรดิบงการสายฟ้า กะพริบตาเบาๆ ครู่หนึ่ง
จากนั้นภายในมิติต่างแดนที่แต่ไรมีทัศนียภาพราวกับวันสิ้นโลก ก็พลันเปล่งแสงอสนีบาตที่เปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายของความพินาศย่อยยับสายหนึ่งขึ้นมา
แสงสายฟ้าตรงดิ่งทะลุผ่านอากาศเปล่าอย่างขวักไขว่ โจมตีถึงตรงหน้าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงในชั่วพริบตา
มิติต่างแดนกำลังจะพังทลายสูญสิ้น บัดนี้หัวหน้าค่ายชื่อหลิงไม่สนใจสิ่งอื่นใด จดจ่อพุ่งพรวดมาทางประตูแสง
เขาไม่มีเวลาจะสนใจเยี่ยนจ้าวเกอเป็นการชั่วคราวแล้วเช่นกัน ขอเพียงปลีกกายออกจากมิติต่างแดนแห่งนี้ผ่านประตูลอยฟ้าให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาวิธีกำจัดชายหนุ่มก็ได้
ต่อให้หนนี้ไม่ได้ ก็ยังมีครั้งต่อไป และครั้งต่อๆ ไปอีก
เขาเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้หนึ่ง อยากจะสังหารจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์คนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องหาโอกาสได้ในที่สุด
กระนั้นตอนที่หัวหน้าค่ายชื่อหลิงพุ่งถลายังประตูแสงอย่างว่องไวอยู่นั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ขับเคลื่อนเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า สายฟ้าผ่าแสกหน้าในหนเดียวพอดิบพอดี!
พลังที่ฟาดเข้าใส่ชั่วพริบตาลุกไหม้พลังของตนทั้งหมด การโจมตีครั้งนี้นำพามาซึ่งความบ้าระห่ำถึงที่สุด แม้กระทั่งเป็นพลังที่เหนือกว่าขีดสูงสุด!
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเบิกตาโพลง ท่ามกลางเสียงตะโกนบ้าคลั่ง ปราณดั้งเดิมพรั่งพรู สองหมัดต่อยออกไปพร้อมกัน
แสงอัสนีและเพลิงคุโชนชนปะทะตัดสลับกันอยู่ระหว่างฟ้าดิน พริบตาเดียวเปิดฉากโครมครามขึ้นฉากหนึ่ง!
หากเป็นเวลาอื่น สายฟ้าชั่วพริบตาหนเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอนี้จะทำอะไรหัวหน้าค่ายชื่อหลิงได้หรือไม่ นั่นต้องดูกันอีกครั้ง
ทว่าจุดหัวเลี้ยวหัวตัวสำคัญปัจจุบันนี้ ไม่ว่าพลังความสามารถหัวหน้าค่ายชื่อหลิงจะแบกรับไว้ได้หรือไม่ ชั่วครู่นี้ล้วนหมายชีวิตอันแก่เฒ่าของเขาแล้ว!
การพุ่งพรวดไปยังประตูแสงถูกตัดขาดโดยพลัน ทั้งร่างยังกระเด็นกลับหัวกลับออกไปเสียอีก!
ฟ้าดินที่แต่ไรแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว บัดนี้สั่นสะเทือนโครมคราว แตกกระจุยออกมาโดยสิ้นเชิง ตัวมิติต่างแดนเอง รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายในนั้น ล้วนหายสาบสูญไปในอากาศเปล่า!
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงแผดเสียงกราดเกรี้ยวที่ทั้งสิ้นหวังอีกทั้งไม่ยินยอมออกมา
บัดนี้เขาทำได้เพียงเบิกตาค้างมองดูเรือนกายเลือดเนื้อของตนแหลกสลายไปทีละนิดๆ แม้จะดูเหมือนเชื่องช้า แท้จริงกลับรวดเร็ว!
หมดกำลังดิ้นรน ยากจะย้อนคืน!
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงจดจ้องบริเวณไกลออกไปราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ที่นั่น บานประตูลอยฟ้าที่เปล่งแสงระยิบระยับก็กำลังมลายหายไปอย่างแช่มช้าเช่นกัน
ในประตูแสง เยี่ยนจ้าวเกอเก็บเศษชิ้นส่วนเนตรแห่งอัสนีไว้ที่เสาทางเดินวังเทพ เสื้อคลุมขนกระเรียนเองก็โอนอ่อนผ่อนตามลู่ลงจากไหล่มาเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจิตใจจะเซื่องซึมอยู่บ้าง ทว่าขณะนี้ทรงผมเยี่ยนจ้าวเกอไม่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย ราวกับคุณชายผู้มีอิริยาบถสง่างดงามคล่องแคล่วอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูหัวหน้าค่ายชื่อหลิงดับสูญไปพร้อมกับมิติต่างแดน พลางอมยิ้มและโบกมือให้กับเขาเบาๆ ด้วยท่าทีเอ้อระเหย “แก้คำสักหน่อย ควรเป็นไม่พบพานกันอีกถึงจะถูก ลาขาดกันชั่วนิรันดร์แล้ว”
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงอยากจะแผดเสียงร้อง แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออกเสียแล้ว
เขาจนถึงชั่วขณะสิ้นชีพนี้ล้วนยากจะปักใจเชื่อ เขาเป็นถึงยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณระยะต้น สง่างามน่าเกรงขาม ทว่าบัดนี้ต้องตายในเงื้อมมือจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ!
ถึงแม้ว่าจะถูกเสาทางเดินวังเทพปรามปราบ กระนั้นขอเพียงเวลาสักนิดให้แก่เขา แรงสะท้อนกลับของเยี่ยนจ้าวเกอเองจะใช้การไม่ได้ ถูกเขาพุ่งทำลายการปรามปราบเป็นแน่
แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะมีเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าในครอบครอง หากแต่ที่จะสามารถสร้างพลังคุกคามมหาศาลกับเขาได้ มีเพียงพลังการโจมตีเดียวเท่านั้น ซึ่งหากเขาโต้ตอบอย่างระมัดระวัง ไม่แน่นักว่าจะถูกโจมตีตรงเป้า
และถึงแม้เยี่ยนจ้าวเกอจะมีปีกเซียนกระเรียน ทว่าต่อหน้าเขา ก็ทำได้เพียงใช้เพื่อเหินบินหลบหนีเพียงแค่นั้นเช่นกัน หากยืดเวลาให้แก่เขาอีกนิดหน่อย เขายังคงสามารถขวางกั้นทางไปของชยหนุ่มได้ ทำให้อีกฝ่ายหมดหนทางหนี
เห็นชัดว่าระดับพลังความสามารถตนนั้นแกร่งกว่ามากมายเพียงนั้น
เห็นชัดว่าต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอมีของวิเศษมากมาย ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาส
เห็นชัดว่าเขายึดกุมตำแหน่งบานประตูลอยฟ้าได้ก่อน
เห็นชัดว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่มีพลังและของล้ำค่าที่จะสังหารเขาได้แน่…
ทว่าผลสุดท้าย กลับเป็นเขาที่สิ้นชีพอยู่ภายในมิติต่างแดนที่ดับสูบนี้ มลายสิ้นไปพร้อมกับโลกหล้าใบนี้!
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเพ่งมองประตูว่างเปล่าและเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ หายไป ในใจเปี่ยมไปด้วยความไม่ยินยอม
รู้เราไม่รู้เขา…
ถึงแม้เยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้แทบจะเลื่องชื่อไปทั่วหล้าแล้วก็ตาม ทว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงปรากฏตัวฉับพลันยามนี้ ความเข้าใจที่มีต่อผู้เยาว์คนนี้ ยังคงจำกัดอย่างยิ่ง
เสี่ยงอันตรายเข้าสู่มิติต่างแดนที่กำลังจะสูญสิ้นแห่งนี้ไล่สังหารเยี่ยนจ้าวเกอ ถือเป็นความผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นเชียวหรือ?
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงพาความคิดสุดท้ายในสมอง มลายสิ้นไปในความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้หนึ่ง ตายไปอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว!
เยี่ยนจ้าวเกอทะลุผ่านประตูแสง สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดราวกับร่างกายฉีกเป็นชิ้นก็ไม่ปาน หากเทียบกับหนแรกก่อนหน้านี้ ความรู้สึกในเวลานี้กระจ่างชัดยิ่งกว่า
ครั้นออกจากประตูแสง กลับสู่โลกแปดพิภพอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอหันศีรษะกลับไปมองประตูแสงที่ค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนจะเบะปากเล็กน้อย “การเดินทางหนนี้ช่าง…”
การขับเคลื่อนเสาทางเดินวังเทพกับเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ทำให้เยี่ยนจ้าวเกออ่อนแรงอย่างยิ่งยวด อ่อนเพลียเสียยิ่งกว่าการต่อสู่ที่ก้นทะเลสาบปิดนภาคราวก่อนอีก
หากแต่จิตใจของเขายังคงดีเยี่ยม เพราะเข้าไปยังมิติต่างแดนที่ชาวกระเรียนล่องลอยทิ้งไว้ กลับออกมามีของเต็มไม้เต็มมืออย่างมาก
ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสพื้นดิน ก็แลเห็นเครื่องหยกที่ปลุกค่ายกลวิญญาณขึ้นแตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นผุยผงหมดสิ้น
อาหู่คอยท่าอยู่ด้านข้าง นอกจากนั้นแล้วยังมีสวีเฟยที่เฝ้ารักษาค่ายกลวิญญาณจากเครื่องหยกรออยู่ทางโลกแปดพิภพ ทั้งคู่ล้วนรุดหน้าเข้ามา “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ยิ้มพลางเอ่ย “หลังจากวันนี้ไป พวกเราน่าจะไม่พบบุคคลฉายานามว่าหัวหน้าค่ายชื่อหลิงผู้นี้อีกแล้ว”
อาหู่กลับสูดหายใจคำหนึ่ง ก่อนจะอ้าปากกว้างหัวเราะแหยๆ กลับไม่รู้ควรเอ่ยเช่นไรดี
สวีเฟยเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างหาได้ยากเช่นกัน เขาหลุดออกจากภวังค์มาก่อน “จริงสิ ข้าเร่งตามศิษย์น้องเฟิงกลับมาก่อน”
หลังอาหู่กลับมายังโลกแปดพิภพผ่านทางประตูแสง และอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังแล้ว สวีเฟยก็ส่งเฟิงอวิ๋นเซิงไปตามมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณสำนักเขากว่างเฉิงที่อยู่ใกล้กับเมืองซู่โจวมากที่สุดมาหนุนหลัง
เขาเองหยุดอยู่ที่ประตูแสงค่ายกลวิญญาณแห่งนี้ กำลังเตรียมหนุนหลังเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมกับอาหู่อีกครั้ง ผลลัพธ์คือแลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอเดินเอ้อระเหยออกมาจากในมิติลึกลับนั้นอย่างสบายอารมณ์
ตอนนี้ต่อให้หัวหน้าค่ายชื่อหลิงยังรอดชีวิตกลับมา มิติต่างแดนแหลกเป็นจุณโดยสิ้นเชิง ประตูแสงเองก็หายสาบสูญเช่นกัน ก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมาไล่สังหาร เมืองซู่โจวแห่งนี้ย่อมก็ไม่ต้องไปตามยอดฝีมือมหาปรมาจารย์อื่นมาเช่นกัน รายงานสถานภาพกองกำลังเท็จเปล่าประโยชน์
เฟิงอวิ๋นเซิงที่สวีเฟยตามกลับมา หลังนางเข้าใจสถานการณ์แล้ว ก็มีสีหน้าเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน
หัวหน้าค่ายชื่อหลิงผู้นั้นเป็นมหาปรมาจารย์ระดับชั้นกำเนิดญาณผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ที่ได้ฟูมฟักญาณวรยุทธ์ของตนเอง หลอมปราณจิตราเป็นปราณดั้งเดิมแล้ว
แม้จะเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์เช่นเดียวกัน หากแต่มหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิต กับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เยี่ยนจ้าวเกอนั่งลงขัดสมาธิ พลางปรับลมปราณฟื้นฟูปราณดั้งเดิม ก่อนจะอมยิ้มกล่าว “มีความบังเอิญพร้อมสรรพ สุดท้ายแล้ว ที่สังหารหัวหน้าค่ายชื่อหลิงแท้จริงแล้วคือมิติต่างแดนแห่งนั้น หากไม่ใช่มิติต่างแดนพังทลายสูญสิ้น กลอุบายของข้าตอนนี้ยากจะปลิดชีวิตเขาได้”
“หลังจากเขาปะทะข้าอยู่หลายระลอก คนที่ลำบากน่าจะเป็นข้าแล้ว”
สวีเฟยมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าได้ฟังหู่ถิงเล่าแล้ว เจ้าคิดวางแผนใช้ประโยชน์จากการพังทลายของมิติสังหารเขาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อการนี้ยังถ่วงเวลาออกไปบ้างโดยเฉพาะ แล้วค่อยรีบกลับมาทางประตูแสงค่ายกลวิญญาณนี้ใช่หรือไม่?”
“น่าละอายใจนัก แผนการยังคงมีความคลาดเคลื่อนอยู่เล็กน้อย มิติพังทลายช้ากว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้อยู่นิดหน่อย ด้วยสถานการณ์รูปแบบนี้ เวลาชั่วพริบตาเดียว รูปการณ์ล้วนแปรเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นร่างกายจึงเกือบเสื่อมทรุด เคราะห์ดีที่ผลสุดท้ายยังคงสำเร็จ” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม
เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ และสวีเฟย ทั้งสามนำมือกุมหน้าผากอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าวางแผนไว้ก่อนแล้วจริงๆ ด้วย เรื่องจำพวกนี้ก็สามารถวางแผนอย่างแม่นยำยิ่งได้เช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
—————————-