ผู้อาวุโสหลิว ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การนำทิศทางให้ไอมารเกาะทรายไปยังเกาะนภาใต้ก่อนหน้านี้
เป็นยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ระดับขั้นรูปญาณท่านหนึ่ง และเป็นยอดฝีมือระดับสูงของสำนักเขากว่างเฉิงอีกท่านที่ถูกนพยมโลกและภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกัดกร่อนจิตใจ ต่อจากผู้อาวุโสหวัง
หลังฐานะตัวตนถูกเปิดโปง เขาก็คิดหลบหนีทันใด ทว่าสุดท้ายแล้วยังคงหนีเงื้อมมือของเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอไม่พ้น
ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอพบอีกฝ่ายอีกครั้ง แม้ว่าผู้เฒ่าคนนี้จะจิตใจห่อเหี่ยวเซื่องซึม ทว่าแววตาแข็งกร้าว ไร้ซึ่งความหวาดกลัว เพียงแค่มองดูบิดาของเยี่ยนจ้าวเกอพลางยิ้มเย็น
เจ้าสำนักหยวนเจิ้งเฟิง รวมถึงฟางจุ่นกับสือเถี่ย ต่างก็มุ่นคิ้วพลางมองผู้อาวุโสหลิว
“ศิษย์พี่หวังมีปัญหาเรื่องอายุขัย” หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวอย่างเชื่องช้า “ศิษย์น้องหลิวเล่า? เพราะเหตุใดทำให้เจ้าเดินมาถึงจุดนี้ได้?”
ผู้อาวุโสหลิวเบือนหน้ามองไปทางหยวนเจิ้งเฟิง มองสังเกตเขาด้วยสายตาประเภทหนึ่งที่พิลึกอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสหลิวจึงเปิดปากเอ่ย “ศิษย์พี่หยวน…ข้าไม่ได้เรียกท่านเช่นนี้นานนักแล้ว นับแต่หลังจากท่านรับตำแหน่งเจ้าสำนัก ล้วนเรียกขานท่านว่าเจ้าสำนัก”
สีหน้าท่าทางหยวนเจิ้งเฟิงไม่ไหววูบ หากแต่ก็มีประกายตาทอดถอนใจอยู่บ้างเช่นกัน
ผู้สืบทอดกว่างเฉิงทุกรุ่น หากอยู่ภายนอกล้วนเป็นโอรสสวรรค์ ผู้อาวุโสหลิวไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสุดยอดที่สุดในสายสำนักเขากว่างเฉิง ทว่าครั้นออกจากเขากว่างเฉิงไปแล้ว ก็นับเป็นบุคคลระดับยอดเยี่ยมทันที
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณที่อยู่นอกเหนือจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหก น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ผู้อาวุโสหลิวสามารถสะสมพลังฝึกปรือจนกลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณได้ เป็นผลสำเร็จที่ล้ำเหนือกว่าผู้คนนับไม่ถ้วนแล้ว
เพียงแต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้จะเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ทั้งสิ้น ระหว่างกันก็มีแบ่งสูงกว่าด้อยกว่าเช่นกัน เฉกเช่นหยวนเจิ้งเฟิงและซินตงผิง ซึ่งเป็นผู้ล้ำเลิศที่สุดในรุ่นพวกเขา
กระนั้นเทียบกับคนอื่นแล้ว ผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสหลิวเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ หากแต่เทียบพวกเขากับหยวนเจิ้งเฟิง ก็มืดดับถอดสีไปไม่น้อย
ผู้อาวุโสหวังเข้าสำนักเร็วกว่าหยวนเจิ้งเฟิง ส่วนผู้อาวุโสหลิวเข้าสำนักหลังจากนั้นค่อนข้างนาน
หยวนเจิ้งเฟิงมองดูผู้เฒ่าที่ผมหงอกขาวตรงหน้า ราวกับปรากฏชายหนุ่มปราดเปรียวที่ขอให้ตนเองสอนวิชาวรยุทธ์ยากในอดีตผู้นั้นขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง
ผู้อาวุโสหลิวกล่าวต่อไปโดยใช้ทำนองการพูดอันแปลกประหลาดแบบหนึ่งว่า “…ศิษย์พี่หยวน ข้าผิดแผกไปมากมาโดยตลอด ท่านจะไม่ร้อนใจสักหน่อยเลยหรือ?”
สายตาหยวนเจิ้งเฟิงจดจ่อ เพ่งมองผู้อาวุโสหลิว ฝ่ายผู้อาวุโสหลิวเองก็มองเขาอยู่เช่นกัน “กลายเป็นจอมยุทธ์ได้สำเร็จแล้ว จะนำมาซึ่งพลังและตำแหน่ง เหล่านี้ล้วนยังไม่ต้องเอ่ยถึง เผชิญกับแรงกดดันของหวงกวงเลี่ยจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็ยังไม่เอ่ยถึงก่อนเช่นกัน”
“ประเด็นสำคัญคือ เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บเก่าเรื้อรังของท่านศิษย์พี่หยวนเป็นเหตุ อายุขัยก็กำลังจะหมดสิ้นแล้วเหมือนกันกระมัง?” ผู้อาวุโสหลิวหัวร่อฮ่าๆ พลางกล่าว “ท่านแม้จะเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม แต่อายุขัยน้อยกว่ามหาปรมาจารย์คนอื่นๆ อายุขัยของท่านตอนนี้ยังเหลืออีกเท่าไร? อีกสิบปีหรือไม่? หากพอสิบปีล่ะก็ จะมีอีกยี่สิบปีหรือ?”
ประกายตาหยวนเจิ้งเฟิงเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง มองผู้อาวุโสหลิวอย่างเงียบสงบ พลางเอื้อนเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ถ้าให้ข้าคำนวณล่ะก็ หากไม่ย่างเหยียบขั้นศักดิ์สิทธิ์ อายุขัยก็เหลือระหว่างสิบปีถึงสิบห้าปีกระมัง”
ท่าทีผู้อาวุโสหลิวสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง “ใช่ ข้าเองก็มีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดอีกแค่สิบห้าปีแล้วเช่นกัน”
“หลายปีก่อนหน้าได้พูดคุยกับศิษย์พี่หวัง เขาพูดถึงอายุขัยของข้า ว่าเป็นไปได้ที่จะไม่พอสิบปีแล้ว”
“พลังฝึกปรือของเขาสูงกว่าข้าจริง หากแต่อายุอานามก็มากกว่าข้านักเช่นกัน ถึงตอนนี้ยิ่งเป็นเวลาไม่กี่ปีแล้ว”
ผู้อาวุโสหลิวมองหยวนเจิ้งเฟิง “ศิษย์พี่หยวน มองดูตัวเองค่อยๆ เดินเข้าหาจุดสิ้นสุดอายุขัยทีละก้าว ในใจท่านเป็นความรู้สึกอะไรเลยหรือ?”
หยวนเจิ้งเฟิงเอ่ยถามอย่างเย็นชา “นี่คือเหตุผล?”
“ให้ข้าเผชิญหน้ากับดาบและกระบี่ ให้ข้าไล่สังหารจอมยุทธ์คนอื่น ข้าจะไม่เกรงกลัว ต่อให้ศัตรูแกร่งกว่าข้า ต่อให้โอกาสจะน้อยอีกสักเท่าใด ข้าก็มีโอกาสที่จะต่อสู้สุดชีวิตเช่นกัน ใช้กลยุทธ์อ่อนเอาชนะแข็ง ถึงแม้นั่นจะพบได้ยากเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี” ผู้อาวุโสหลิวเอ่ย
“หากยังไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย ผู้ใดชนะผู้ใดพ่าย ยังไม่รู้แน่!”
สีหน้าผู้อาวุโสหลิวเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดเยือกเย็น “แต่คู่ต่อสู้ของข้าในตอนนี้ คือเทวดาฟ้าดินต่างหาก!”
“ทุ่มเทจนถึงขณะนี้ ข้าก็เห็นกระจ่างชัดแล้วเช่นกัน ในสถานการณ์ปกติ ระดับพลังฝึกปรือของข้าคิดอยากจะพัฒนาขึ้นอีกก้าว ก็ไม่มีความหวังแล้ว”
“การต่อสู้กับสวรรค์เพื่อชีวิตครั้งนี้ ข้าสู้ไม่ไหว แพ้พ่ายเสียแล้ว ไม่มีแผนการใดๆ ได้ชัยชนะ!”
ผู้อาวุโสหลิวมองจ้องหยวนเจิ้งเฟิง ฝืนยิ้มเจ็บปวดพลางเอ่ย “ศิษย์พี่หยวนท่านมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอยู่ ทำให้ท่านไม่มั่นใจพอที่จะบุกทะลวงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่นั่นเป็นเพราะท่านคือเจ้าสำนัก ยอดฝีมือที่สุดของสำนักเขากว่างเฉิงในตอนนี้ โลกหล้าภายนอกรายล้อมด้วยศัตรูแกร่ง ท่านไม่กล้าเสี่ยงภัยง่ายๆ ก็แล้วไป เพราะถ้าหากพลาดพลั้งเสียหาย สำนักเขากว่างเฉิงก็อาจจะสั่นคลอนได้”
“แต่อย่างน้อยท่านก็มีความหวัง ท่านสามารถต่อสู้ได้สักตั้ง มีความเป็นไปได้ที่จะต่อสู้ได้ชัยชนะ ก็เหมือนเช่นไล่สังหารศัตรูแก่กล้า ท่านอาจจะถูกศัตรูสังหารสิ้นชีพ แต่ก็อาจจะต่อสู้ชนะศัตรูเช่นกัน”
“แล้วข้ากับศิษย์พี่หวังเล่า? พวกข้าทำได้เพียงรอความตายเงียบๆ!”
เขากล่าวเสียงแหบแห้ง “แต่ไหนแต่ไรความตายไม่น่ากลัว หากแต่ทำได้เพียงไม่คาดหวัง มองดูมันคืบคลานเข้ามาทีละนิดๆ ในตอนที่ข้ากลับทำอะไรล้วนเปล่าประโยชน์ เดิมทีเรื่องที่ไม่น่ากลัวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นน่าพรั่นใจไร้ที่สิ้นสุด ครอบงำจิตใจคน”
หยวนเจิ้งเฟิงสบตาเขา “ฉะนั้น การอุทิศตนเข้าหานพยมโลก นับว่าแก้ไขปัญหายากของเจ้าแล้ว?”
ผู้อาวุโสหลิวหัวร่อพิลึกเสียงดัง “ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ อายุขัยก็มีจำกัดเช่นกัน แต่มารนพยมโลกที่แท้จริง เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่ตายไม่ดับสูญ!”
เยี่ยนตี๋เอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าอยู่ที่ปฐพีพิภพ เคยฟันสังหารมารนพยมโลกที่หนีกระเจิดกระเจิงออกมาโดยบังเอิญ”
รอยยิ้มบนใบหน้าผู้อาวุโสหลิวประชดประชันอย่างยิ่ง “ข้าไม่รู้ว่าที่เจ้าสังหารปลิดชีพคือมารนพยมโลกที่บริสุทธิ์จริงแท้หรือไม่ แต่ว่าถ้าหากจริงแท้ เจ้านึกว่าเจ้าสังหารปลิดชีพมันแล้วจริงๆ หรือ?”
“มารนพยมโลกที่แท้จริง แม้จะดับสูญ ก็จะเกิดใหม่อยู่ที่ส่วนลึกในนพยมโลก เพราะว่า ‘มาร’ ไม่ตายไม่สูญสิ้น”
ผู้อาวุโสหลิวชี้ที่หัวใจตนเอง ยิ้มพิสดารพลางกล่าว “ความยึดติด ความคิดชั่วร้ายและความปรารถนาในใจคนไม่สูญสิ้นฉันใด มารก็จะไม่สูญสิ้นตลอดกาลฉันนั้น ไม่เพียงแค่คน ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ที่ยังมีความปรารถนายึดติด แม้มารจะดับสิ้นไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็จะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ในที่สุดเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินฟังอยู่ด้านข้างอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดแทรกตลอดมา ยามนี้พลันหัวร่อ “กระนั้นท่านรู้หรือไม่ว่ามารดับสูญฟื้นคืนชีพ แท้จริงแล้วเท่ากับการดำรงอยู่ใหม่โดยสิ้นเชิง หากว่าท่านฝากฝังคาดหวังไว้กับสิ่งนี้ มาเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ท่านว่านั่นยังเป็นเจ้าอยู่อีกหรือ?”
อีกฝ่ายมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความอาฆาตแค้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงฮึดฮัดเย็นเยียบ แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่มาร แล้วยังไม่เคยไปนพยมโลก พูดมาได้ไม่อายปาก?”
ชายหนุ่มแบมือ “เอาล่ะ ไม่ถกปัญหาที่ซับซ้อนเช่นนั้นชั่วคราวก่อน พวกเราพูดเรื่องที่เรียบง่ายป่าเถื่อนสักหน่อย”
“ผู้อาวุโสหลิวในเมื่อท่านรู้ว่ามารดับสูญฟื้นคืนชีพ กระนั้นก็น่าจะรู้ ว่าหาใช่มารทุกตนล้วนสามารถฟื้นชีพได้ ที่เรียกขานว่ามารนพยมโลกที่จริงแท้ เกี่ยวข้องกับระดับพลัง”
เขามองผู้อาวุโสหลิว เอื้อนเอ่ยอย่างไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า “ระดับพลังฝึกปรือเดิมของท่าน ในตอนนี้หลังจากกลายเป็นมาร ก็ไม่พอกับมาตรฐานที่จะฟื้นชีพได้เช่นกัน”
เพลิงโทสะในแววตาผู้อาวุโสหลิวพุ่งทะยานขึ้น เขาจ้องเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเกลียดชัง พลางหอบหายใจ “พลังความสามารถที่กลายเป็นมารแล้วนำมาให้พัฒนาสูงขึ้น จะทำให้ข้าทะลวงด่านขวางกั้นที่มีตลอดมานี้ ยกระดับขึ้นอีกขั้นได้สำเร็จ ได้รับอายุขัยที่มากขึ้น เลื่อนขั้นระดับสูงขึ้น!”
“ไม่นานนัก ข้าก็จะได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตอมตะ แต่พวกเจ้า ต่อให้พวกเจ้าบำเพ็ญเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไร?”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเย็นชา “อ้อ เช่นนั้นน่าเสียดายยิ่ง บัดนี้ท่านไม่มีโอกาสแล้ว”
——————————-