หลังกายหวงซวี่ มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ซึ่งคือมู่กวงจวิน หนึ่งในเจ็ดสุริยันรุ่นปัจจุบันนั่นเอง
มู่กวงจวินกล่าวตอบ “ทุกสิ่งเตรียมพร้อม รอเพียงท่านเจ้าสำนักออกฌานเท่านั้น”
หลังเสียงเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อไปว่า “หากสถานการณ์เหมาะสม กระนั้นไม่ต้องรอท่านเจ้าสำนักออกฌาน ก็สามารถก่อการได้เช่นกัน”
หวงซวี่พยักหน้า แล้วจึงหันกายมองไปด้านข้าง
ตรงนั้นมีคนวัยเยาว์ที่นิ่งเงียบผู้หนึ่งยืนอยู่ ราวกับถูกบดบังใต้แสงอาทิตย์ ซึ่งก็คือบุตรชายของเขา หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสง
หวงเจี๋ยสบตากับหวงซวี่ บิดาของตนอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดเสียงแผ่วเบา “ทางที่ดีที่สุดคือสามารถรอท่านอาจารย์ปู่ออกจากฌาน”
กล่าวจบก็ไม่มีวาจาต่อไปอีก หวงซวี่และมู่กวงจวินก็ไม่ได้คิดจะถามไถ่ต่อไป ต่างก็ผงกศีรษะ ละสายตากลับจากหวงเจี๋ย
สายตาของหวงซวี่มองไปยังทิศเหนือที่นภาพิภพตั้งอยู่ รำพึงรำพันกับตนเอง “เขากว่างเฉิง พวกเจ้าขวางหูขวางตานานพอแล้ว…”
ไม่เพียงสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโลกแปดพิภพ เกาะโยวหนึ่งในหกเกาะของอสนีพิภพ ที่แห่งนั้นมีตำหนักอัสนีสวรรค์ หนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยุคปัจจุบันตั้งอยู่
ดินแดนที่ตำหนักอัสนีสวรรค์ตั้งอยู่ ท้องฟ้าเหนือศีรษะมีเมฆพายุปกคลุมหนาแน่นตลอดปี ทำให้ผู้คนประหวั่นพรั่นพรึง
กลุ่มวังใหญ่โตมโหฬารที่สร้างขึ้นโดยมีโครงสร้างเป็นโลหะสีม่วงอมน้ำเงินทั้งหมด ประหนึ่งพระราชวังของจักรพรรดิอัสนีอย่างไรอย่างนั้น
ภายในตำหนักหลักที่อยู่ใจกลางที่สุด ชายชราศีรษะล้านผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ มองดูฝูงชนเบื้องหน้า
ชายชราผู้นี้ศีรษะไร้เรือนผม ใต้คางไว้เคราแพะสีม่วงอมน้ำเงิน คนอื่นที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เผยท่าทางแข็งแกร่งดุดันออกมาเท่าใดนัก ดูสงบเงียบอย่างยิ่ง
กระนั้นคนอื่นเผชิญหน้าเขา กลับอดที่จะรู้สึกใจสั่นขวัญผวาไปเองไม่ได้ ราวกับเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่รุนแรงที่สุด
ชายชราศีรษะล้าน ก็คือประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์รุ่นปัจจุบัน เฉินลี่ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อัสนีสีเขียว ผู้คนเรียกขานเขาว่า ‘ฟ้าคำรนแปดทิศ’
สายตาประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์ผู้นี้มองกวาดผ่านเหล่าบรรดายอดฝีมือระดับสูงของสำนักที่อยู่บริเวณนั้น ก่อนจะเอ่ยเชื่องอย่างช้าว่า “หวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับหยวนเจิ้งเฟิงแห่งสำนักเขากว่างเฉิง ต่างกำลังมุ่งแสวงหาความเป็นไปได้ที่จะรุดหน้าขึ้นอีกขั้น สถานการณ์ละเอียดอ่อน”
“ถึงแม้ว่าเพิ่งจะล้มเหลวไม่เป็นท่าที่เกาะทราย แต่การสูญเสียยอดฝีมือกลับไม่เท่าทะเลสาบปิดนภาครั้งนั้น หากข้าเป็นผู้นำของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ก็จะลุยยังแผ่นดินสำนักเขากว่างเฉิงอีกสักตั้ง”
ทำนองวาจาเขาแม้จะเชื่องช้า ทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงพลัง ราวกับเสียงสายฟ้าโหมกระหน่ำไม่ขาดสาด เปี่ยมล้นด้วยแรงบีบคั้น
เบื้องซ้ายและขวาของเฉินลี่ มีเหล่าผู้อาวุโสทรงอำนาจของตำหนักอัสนีสวรรค์นั่งอยู่
หลังกายชายวัยกลางดูทรงอำนาจคนหนึ่งในนั้น มีคนหนุ่มยืนอยู่ด้วยสีหน้าอารมณ์สุขุมสงบ ประกายตาแหลมคม ซึ่งก็คือหลินโจว คุณชายฟ้าคำรนนั่นเอง
เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์เพียงผู้เดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมชุมนุม และเป็นศิษย์อ่อนอาวุโสเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน
ชายวัยกลางคนตรงหน้าหลินโจว แน่นอนว่าคือบิดาของเขา ผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักอัสนีสวรรค์ หลินเทียนเฟิง
“ถ้าหากระดับสูงของสำนักเขากว่างเฉิงยังมีภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตแทรกซึมลึกยิ่งกว่านี้ กระนั้นครั้งนี้คือโอกาสของพวกเราอย่างแท้จริง” หลินเทียนเฟิงเอื้อนเอ่ย “แต่ก็ต้องดูเช่นกันว่าพวกเขามีพลังความสามารถมากน้อยเพียงใด”
“ก่อนหยวนเจิ้งเฟิง ปราชญ์เทียมนภาจะเข้าฌาน จะต้องจัดการวางแผนไว้อย่างเรียบร้อยเป็นแน่ การวางเยี่ยนตี๋ดำรงขอบเขตอำนาจเจ้าสำนักแทน ก็เป็นแผนหนึ่ง”
“มีเสื้อคลุมนภากับมหาค่ายกลกว่างเฉิงปกปักษ์สำนักดำรงอยู่ เหล่าพวกคนนอกหมดหนทางก่อการ”
หลินเทียนเฟิงกล่าวเชื่องช้า “หากแต่พูดถึงนพยมโลกและภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตแล้ว สำนักเขากว่างเฉิงมีคนผู้หนึ่งที่พวกเราควรระวังเอาไว้”
ผู้อาวุโสเก่าแก่ตำหนักอัสนีสวรรค์ตรงข้ามเขาท่านหนึ่งพยักหน้า “ฝ่ายนั้นที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงในครั้งนี้ ก็คือฟางจุ่น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’”
หลินเทียนเฟิงกล่าว “ไม่ผิด พลาดท่าเสียทีการแข่งขันกับเยี่ยนตี๋ จนเกือบทำให้นามกร ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ กลายเป็นเรื่องขำขัน ชั่วชีวิตนี้ฟางจุ่นล้วนสามารถเป็น ‘มังกรซ่อนเงื่อน’ ได้ หากแต่ไม่ใช่เหินบินสวรรค์ชั้นเก้า แปลงสภาพเป็นมังกรแท้ มังกรแท้ยังมีคนอื่น นั่นก็คือศิษย์น้องร่วมสำนักของเขา เยี่ยนตี๋”
สาเหตุที่ฟางจุ่นได้รับนามกรมังกรซ่อนเงื่อน นั่นเป็นเพราะว่าในอดีต เขาเป็นผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันของสำนักเขากว่างเฉิง
ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ไร้ซึ่งผู้ทัดเทียม ทำให้ไม่ว่าจะส่วนในสำนักเขากว่างเฉิง หรือคนอื่นๆ ในโลกแปดพิภพนอกเหนือจากเขากว่างเฉิง ต่างก็เล็งเห็นว่าเขาอาจจะกลายเป็นผู้รับตำแหน่งต่อจากหยวนเจิ้งเฟิง เป็นเจ้าสำนักเขากว่างเฉิงรุ่นใหม่
ในสมัยนั้น ท่ามกลางจอมยุทธ์รุ่นเดียวกันทั่วทั้งโลกแปดพิภพ มีเพียงไม่กี่คนที่ถูกพูดถึง อาทิ เจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ปัจจุบันหวงซวี่ ที่พอจะนำมาเปรียบเทียบกับฟางจุ่นได้
หลินเทียนเฟิงที่อยู่ตรงนี้ขณะนี้เอง ในตอนนั้นเทียบกับฟางจุ่นแล้ว ชื่อเสียงเรียงนามก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่งเช่นกัน
ในตอนที่ฟางจุ่นมีชื่อเสียงลือเลื่องขึ้นมา เยี่ยนตี๋ถึงขนาดที่ยังไม่ได้กราบผ่านเข้าสำนักเขากว่างเฉิงเสียด้วยซ้ำ
ทว่าผลท้ายที่สุด ภายหลังเยี่ยนตี๋ขึ้นเหนือกว่า ทำให้ในที่สุดมังกรซ่อนเงื่อนถูกปิดตายอยู่ในน้ำลึก หมดทางเหินฟ้าในที่สุด
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ฟางจุ่นจะเสียศูนย์หรือไม่ จะถูกนพยมโลกและภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตครอบงำหรือไม่ อันที่จริงทั้งโลกแปดพิภพต่างก็ให้ความสนใจ
ทุกคนในตำหนักอัสนีสวรรค์ได้ยินหลินเทียนเฟิงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ต่างก็ผงกศีรษะเล็กน้อย กระนั้นสายตาของพวกเขาก็กวาดผ่านผู้ที่อยู่ข้างกายหลินเทียนเฟิง คล้ายกับตั้งใจทว่าก็คล้ายกับไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน
อายุของคนผู้นั้นดูไปแล้วรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลินเทียนเฟิง บัดนี้ดวงหน้าไร้สีหน้าอารมณ์ กลับเป็นผู้อาวุโสสูงสุดอีกท่านหนึ่งของตำหนักอัสนีสวรรค์
เขาเป็นอาจารย์ของเยี่ยนส่านเช่นกัน หลังจากเฉินลี่แข่งขันกับกับหลินเทียนเฟิงก่อนหน้านี้ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประมุขตำหนักอัสนีสวรรค์คนถัดไป
กาลเวลาผ่านไปไม่นานนัก ไพ่ที่เขาถือเหนือกว่ามาก กดดันจนหลินเทียนเฟิงแทบยากต่อต้าน
ทว่าในช่วงเวลาหลายปีอันใกล้มานี้ หลินเทียนเฟิงสร้างความชอบต่อเนื่อง แสดงกลยุทธ์ล้ำเลิศออกมามากมาย ไม่เพียงดึงความเป็นรองไป ยังทำให้สถานการณ์โดยรวมพลิกผัน การต่อสู้กลับจะครองความได้เปรียบด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่าการแข่งขันทางฝั่งตำหนักอัสนีสวรรค์ จะยังไม่มีผลสรุปเหมือนเช่นทางฝั่งสำนักเขากว่างเฉิง ทว่าความได้เปรียบของหลินเทียนเฟิงในขณะเพิ่มขึ้นมากมายอย่างยิ่งแล้ว ขอเพียงตนเองไม่ก่อความผิดพลาดร้ายแรง อีกฝ่ายก็ยากจะพลิกกลับมาได้
บิดาของเยี่ยนส่าน บัดนี้เปิดปากเอ่ยด้วยดวงหน้าไร้อารมณ์ “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้หยกม่วงพิสุทธิ์ หวงกวงเลี่ยรุดหน้าอีกขั้น แทบจะกลายเป็นการสร้างรากฐาน หยวนเจิ้งเฟิงแห่งสำนักเขากว่างเฉิงสามารถประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ กลับยังคงเป็นที่พูดถึง ต่อจากนี้ไปตำหนักอัสนีสวรรค์เราควรจะวางตัวเช่นไร?”
หลินเทียนเฟิงไม่เอ่ยถึงเรื่องของฟางจุ่นต่อไปอีก หากแต่กล่าวว่า “หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานคราวนี้ จะต้องไม่สงบสุขเป็นแน่แท้ หากพลังความสามารถสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สูงพรวดพราดขึ้นอีกขั้น เราเองก็ควรวางแผนเพื่อตนเองให้มากกว่านี้ถึงจะใช้ได้เช่นกัน”
“พลังความสามารถ เป็นรากฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นปฏิปักษ์ หรือพันธมิตร”
เฉินลี่ที่อยู่บนบัลลังก์ ยามนี้ปริปากกล่าวอย่างสงบนิ่ง “คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ แล้วค่อยหาโอกาสลงมือเถิด เสื้อคลุมนภาของสำนักเขากว่างเฉิงเป็นของดี”
“หากว่าคราวนี้ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจะก่อการ จะต้องเป็นการก่อการครั้งใหญ่เป็นแน่ อาจจะร่วมมือกับปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออกอีกหน ถึงเวลานั้นเมืองทะเลมรกตก็จะไม่มีเวลามาก้าวก่ายพวกเรา”
ขณะเฉินลี่กล่าวไปพลาง เส้นสายตาก็กวาดผ่านผู้อาวุโสตำหนักอัสนีสวรรค์ทุกท่านที่กำลังนั่งอยู่ “การแยกแยะกวาดล้างภายในตำหนักเราก็ไม่อาจวางมือเช่นกัน หากเป็นพวกเราเองถูกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตก่อจลาจล เช่นนั้นก็กลายเป็นเรื่องตลกแล้ว”
ทุกคนนที่นี้ผงกศีรษะพร้อมเพรียง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าว “ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตก็ไม่ถึงขั้นสร้างอริทั่วทุกหนแห่ง คิดจะก่อเรื่อง ก็ต้องรวมศูนย์พลังเป็นจุดเดียวเช่นกัน”
“กระนั้นก็ต้องกำจัดเสี้ยนหนามในตำหนักเราออกมาให้หมดเช่นกัน” เฉินลี่เอ่ยเสียงเรียบ “หาไม่แล้วจะสามารถมองเห็นต้นสายปลายเหตุได้อย่างไร?”
ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียง “ขอรับ ท่านเจ้าตำหนัก”
…
ภายในสำนักเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอกลับถึงที่พำนักของตน อาหู่ที่ตามอยู่ข้างกายหน้าบานเป็นกระด้ง ดีอกดีใจไปกับเยี่ยนตี๋ไม่หยุดยั้ง
“อาหู่ จริงสิ ของที่ข้าให้ไปหาก่อนหน้า เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางตนเอง ใคร่ครวญไปพลาง เอ่ยถามไปพลาง
อาหู่ตื่นตัวได้สติ กล่าวตอบว่า “คุณชาย หาได้ครบแล้วขอรับ ข้าจะไปหยิบมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ครั้นกล่าวจบ เขาหยิบสิ่งของหลายชิ้นออกมา นอกจากคันธนูยาวคันหนึ่งแล้ว ยังมีวัตถุดิบอีกไม่น้อย
————————–