เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างใจกว้าง “ทั้งเขากว่างเฉิง ตอนนี้ล้วนเผชิญหน้ากับมหันตภัย ทุกผู้คนต่างชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย อันตรายถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงข้าลำพังคนเดียว”
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่วางใจ ข้าก็จะระมัดระวังและเคลื่อนไหวอย่างลับๆ พยายามเลี่ยงศัตรูเช่นกัน หนีได้ก็หนี ถึงอย่างไรการชิงอำนาจควบคุมมหาค่ายกลคุ้มกันเขาต่างหาก ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดตอนนี้”
“พูดถึงอันตราย ก็เหมือนเช่นศิษย์น้องเฟิงกับศิษย์น้องซือคง อันที่จริงท่านกับศิษย์พี่สวีก็เผชิญอันตรายเช่นเดียวกัน”
“แต่คนที่แรงกดดันมาสูงที่สุดทั่วทั้งเขากว่างเฉิงตอนนี้ คือบิดาของข้า”
อย่างไรเสียเยี่ยนตี๋ก็ตรึงหยวนเทียนและซินตงผิงไว้ด้วยพลังของตนเองลำพัง ต้องขัดขวางพวกเขาไม่ให้คุกคามคนอื่นๆ ในเขากว่างเฉิง
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังทางเขากว่างเฉิง ในใจสงบเงียบเป็นอย่างยิ่ง
เขาในขณะนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกว่างเฉิงมานานแล้ว ได้รับเกียรติจากสำนัก เพลิดเพลินไปกับการจัดสรรความสะดวกในทรัพยากรของสำนัก และได้รับการคุ้มครองจากสำนัก
เช่นนั้นยามที่สำนักต้องการให้เขาหยัดยืนขึ้นเป็นความหวังของสำนัก เขาก็ต้องยืนขึ้นสืบเท้าออกมาเป็นธรรมดา
ไม่มีอันตรายต้องร่วม มีอันตรายยิ่งต้องร่วม จะไม่ตระหนกตกใจกลัวเด็ดขาด
“อาจารย์ลุงใหญ่ ศิษย์พี่สวี ศิษย์น้องซือคง พวกท่านเองก็รักษาตัวด้วย” ครั้นกล่าวลาสือเถี่ย สวีเฟย และซือคงจิงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พาอาหู่เดินทาง รีบไปยังหนึ่งในสามสถานที่ที่เขาคำนวณไว้แล้วทันที
กาลเวลาไม่คอยใคร เยี่ยนจ้าวเกอห้อตะบึงไปตลอดทาง ทว่าทุกย่างก้าวก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง พยายามหลบหลีกคนอื่นอย่างเต็มที่
ขณะนี้บริเวณเคียงใกล้เขากว่างเฉิงมีคนดีเลวปะปน ด้วยสถานการณ์ส่วนหนึ่งทำให้ยากแยกแยะศัตรูและมิตร เพื่อที่จะประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงรีบออกเดินทางเป็นอันดับแรกเช่นกัน
ชายหนุ่มเดินทางออกจากประตูสำนักเขากว่างเฉิงไปทางใต้ ก่อนจะปรากฏกำแพงเมืองตั้งอยู่บนที่ราบ
แม้ว่าจะห่างจากเขากว่างเฉิงค่อนข้างไกล ทว่ายังคงรู้สึกได้ถึงพลังปราณน่าพรั่นใจของนพยมที่ดูดกลืนจิตวิญญาณคนเหล่านั้น
เมื่อห่างไกลจากมหาค่ายกลแดนมาร สำหรับจอมยุทธ์ที่ผ่านการตรากตรำฝึกฝน ย่อมมีความตั้งใจค่อนข้างแน่วแน่แล้ว ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
หากแต่สำหรับชาวบ้านทั่วไป กลับยังคงส่งผลทำให้สับสนวุ่นวาย
บรรยากาศภายในคูเมืองขณะนี้ ระส่ำระสายไม่สงบ ผู้คนจิตใจหวั่นผวา
ขณะเดียวกับที่เหล่าฝูงชนกำลังตื่นตกใจ พวกเขาจึงมองกันและกันเป็นศัตรู สถานการณ์ตึงเครียดพร้อมปะทุ สามารถระเบิดความหวาดผวาบ้าคลั่งออกมาได้ทุกเมื่อ
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปในเมืองอย่างว่องไว ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ ชาวบ้านทั่วไปไม่อาจสังเกตเห็นเขาได้
ภายในเมืองมีจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงกำลังรักษาความเรียบร้อย พยายามทำให้ชาวบ้านสงบลงอย่างเต็มที่
สถานที่นี้คือศูนย์กลางการคมนาคมสำคัญแห่งหนึ่งใกล้ๆ เขากว่างเฉิง มีวัตถุดิบสินค้าหลากหลายประเภทถูกรวบรวมและกระจายออกอยู่ที่นี่ ผู้ที่รับผิดชอบที่แห่งนี้ในปัจจุบันมีอายุราวสี่สิบกว่าปี เป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ใต้สำนักเขากว่างเฉิงคนหนึ่ง นามว่าหงเหวิน
ถึงแม้ว่าอายุจะมากกว่าเยี่ยนจ้าวเกอเกือบเท่าหนึ่ง กระนั้นหากเทียบลำดับอาวุโส ทั้งสองกลับมีลำดับอาวุโสเสมอกัน
“ศิษย์พี่หง ได้โปรดช่วยกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งในเมืองประจิมทิศ อย่าให้ชาวบ้านทั่วไปเข้าใกล้” เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีเวลาสนใจพิธีรีตอง พบหน้าก็เอ่ยทันควัน “ข้าต้องใช้ด่วน!”
หงเหวินเองก็ไม่พูดให้มากความ ผงกศีรษะทันที “ส่งต่อให้ข้าเถอะ”
แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะกลาง เข้าสำนักมาเนิ่นนานหลายปี ทว่าตำแหน่งอำนาจของเยี่ยนจ้าวเกอในสำนักเขากว่างเฉิงพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ขอบเขตอำนาจเทียบเท่าผู้อาวุโสสูงสุด ดังนั้นแม้จะไม่รู้สาเหตุแน่ชัดอยู่บ้าง แต่ยังคงสั่งคนช่วยเยี่ยนจ้าวเกอกั้นพื้นที่อย่างรวดเร็ว
หงเหวินปฏิบัติตนอย่างผู้มีความสามารถและประสบการณ์เช่นกัน ถึงแม้ว่าเดิมทีชาวบ้านจะตื่นกลัวอยู่แล้ว ครั้นถูกโยกย้ายจึงยิ่งส่งผลให้บรรยากาศเลวร้ายลง กระนั้นเขาก็ยังคงนำผู้คนทำหน้าที่ที่เยี่ยนจ้าวเกอมอบหมายให้อย่างสงบ
ถนนเมืองประจิมทิศแนวยาวและแนวตั้งสองสายที่ตัดผ่านกัน แม้แต่คนที่อยู่ในอาคารใกล้เคียง ล้วนถูกกวาดออกไปภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงยังจุดตัดของถนน เขายืนอยู่กลางถนน ครั้นพลิกฝ่ามือ แสงมรกตก็เปล่งประกายสว่างวาบ
เขาปล่อยกระบี่ออกไปดุจลม ประกายกระบี่สีเขียวมรกตเริงระบำอย่างต่อเนื่อง ทิ้งร่องรอยอยู่ในอากาศ เนิ่นนานไม่จางหาย
ไม่นานนัก ลวดลายขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ
ชายหนุ่มถือกระบี่ในมือขวา ส่วนมือซ้ายยื่นออกไป พร้อมกับกางนิ้วทั้งห้าออก กดอากาศเปล่าลงไป
อักขระยันต์มหึมาทอแสงมรกตวามวาว แล้วจึงตกลงผืนดิน
เยี่ยนจ้าวเกอหันศีรษะกลับไปมองสิ่งปลูกสร้างโดยรอบภายในเมือง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง มือขวาชูกระบี่วิญญาณมังกรมรกตชี้ขึ้นฟ้า
ส่วนในมือซ้ายอีกข้างที่ว่างเปล่า กลับมีอาวุธวิญญาณอีกชิ้นหนึ่งเพิ่มเข้ามา ดาบอัสนีบิน
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอย่างก้าวสู่ขั้นมหาปรมาจารย์ ตอนนี้เขาขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่างได้มากกว่าหนึ่งชิ้นแล้ว
อาวุธวิญญาณสองชิ้น หนึ่งชิ้นชี้ฟ้า หนึ่งชิ้นชี้ดิน ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอส่งเสียงคำรามเบาๆ ออกมา ปราณจิตราหลากสายพลันแผ่กระจายจากภายในจุดลมปราณทั่วกาย
ระหว่างที่ลมเมฆกระพัดกระพือ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นพายุลมงวงขนาดมหึมา โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศูนย์กลาง
พายุลมงวงนปราณจิตราลูกนี้ไม่ได้แผ่กระจายแต่อย่างใด ยึดเยี่ยนจ้าวเกอเป็นแกนกลางตลอดเวลา และยังยึดยันต์วิญญาณแสงมรกตอันกว้างใหญ่บนพื้นดินนั่นเป็นรากฐานเช่นกัน
พายุลมงวงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตทั้งลูกอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน
ภายในคูเมือง ความรู้สึกตื่นกลัวไม่สงบสุขของชาวบ้านทั่วไปจำนวนมาก ราวกับกลายเป็นมีวัตถุจริงที่มีรูปร่าง เกาะกลุ่มเข้าด้วยกันในวินาทีนี้ ก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกันกับพายุลมงวงสีเขียวมรกตลูกนั้น ถูกทางลมพัดม้วนเข้าสู่ภายใน
ต่อจากนั้น ยันต์วิญญาณขนาดยักษ์ใต้เท้าเยี่ยนจ้าวเกอ ค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงมรกตเป็นขาวบริสุทธิ์
ระหว่างที่อักขระยันต์บิดไปมา ระเบียบแบบแผนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซับซ้อนทวี เริ่มแผ่ขยายกลายเป็นค่ายกลที่เล็กจิ๋วอีกทั้งยังลี้ลับมหัศจรรย์ค่ายหนึ่ง
ศูนย์กลางบรรดาค่ายกลจำนวนมากปรากฏอักษรโบราณตัวหนึ่ง
人
อักษรอันเก่าแก่ ความหมายของมัน คือ ‘คน’
เยี่ยนจ้าวเกอต้องการชิงอำนาจควบคุมมหาค่ายกลคุ้มกันเขากว่างเฉิงในมือซินตงผิงกลับมา ด้วยศาสตร์วิชาเฉพาะตัว
สถานที่ดำเนินศาสตร์วิชาเฉพาะตัวนี้ จำเป็นต้องยึดตำแหน่งไตรภาค ได้แก่ ฟ้า ดิน และคน โดยพื้นที่ที่เยี่ยนจ้าวเกอยึดกุมอยู่ในขณะนี้ ก็คือตำแหน่งคน
สือเถี่ยและสวีเฟย รุดหน้ายังตำแหน่งฟ้า
ให้ซือคงจิงตามหาฟู่เอินซูกับผู้อาวุโสจาง ผลลัพธ์ไม่รู้เป็นอย่างไร ตำแหน่งคนแห่งนี้ไร้ผู้มาเยือนเสมอมา เยี่ยนจ้าวเกอทำได้เพียงวาดหวังว่า พวกนางจะสามารถรีบไปที่ตำแหน่งนั้นได้
วิธีนี้ไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอทำสำเร็จก็จบสิ้นแต่อย่างใด จำเป็นต้องร่วมมือกันสามตำแหน่งจึงจะประสบผลสำเร็จได้ ส่วนพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่นั้น เขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อยเช่นกัน
ที่สามารถทำได้เพียงอย่างเดียว ก็คือทำเรื่องที่ตนเองมีความสามารถให้ดีที่สุด
“อาหู่” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเรียก ก่อนหน้านี้อาหู่ได้รับคำสั่งแล้ว ยามนี้รุดหน้าขึ้นมานั่งยองๆ ลงบนพื้น สองมือกดลงไปบนค่ายกลยันต์บนพื้นพร้อมกัน
แสงโชติช่วงบนยันต์อักษร ‘คน’ กระจ่างแจ้งขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าทันใดนั้นเอง ไกลออกไปพลันทอดมีเสียงดังอึกทึกส่งมา
เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่หันศีรษะกลับไปมองพร้อมกัน พวกเขาเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเข้าใกล้มาทางนี้อย่างฉับไว
ผู้นำกลุ่มคนคือมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะท้ายคนหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอเองก็รู้จักเขาเช่นกัน เป็นศิษย์ใต้สำนักเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกัน นามว่าจูเชียน
เพียงแต่จูเชียนกับกลุ่มคนด้านหลังเขาในขณะนี้ แจ่มชัดว่าล้วนกลายเป็นมารแล้ว!
พวกเขาใช้อำนาจบาตรใหญ่ สังหารผู้คนธรรมดาที่ขวางทางทั้งหมด มุ่งเป้าไปที่หงเหวินและจอมยุทธ์กว่างเฉิงคนอื่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” เยี่ยนจ้าวเกอย่นหัวคิ้วขึ้น หลังอาหู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบ “ดูเหมือนว่าแต่ก่อนเขาไม่ลงรอยกับหงเหวิน มีความแค้นส่วนตัว ดูท่าจิตใจของเขาไร้จิตสำนึกควบคุม จึงหาเรื่องตามมาแก้แค้น…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด จูเชียนแลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เขาไม่สนใจหงเหวินในทันที นัยน์ตาทั้งสองแสงโลหิตพล่านอย่างบ้าคลั่ง!
จูเชียนแผดเสียงเดือดดาล “คนของหยวนเจิ้งเฟิง พวกเจ้าต้องตาย!”
——————————-