ไม่ต้องพูดถึงบรรดาคนของตระกูลเยี่ยนจากเกาะจ้าว จอมยุทธ์ชุดดำของตระกูลเยี่ยนจากเกาะนภากลางกลุ่มหนึ่งตามเยี่ยนจ้าวเกอมา ก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน
การที่ศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ประลองกับผู้อื่น หากภายในไม่กี่กระบวนท่าก็รู้ผลแพ้ชนะ อย่างไรผู้ชนะก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์แน่อยู่แล้ว
ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปนานเท่าไร โอกาสชนะของจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ยิ่งต่ำลง หากจะชนะก็ต้องชนะให้ไว ในกรณีที่แพ้ให้แก่คู่ต่อสู้ โดยปกติแล้วล้วนเกิดขึ้นหลังจากการสู้รบด้วยความยากลำบากอย่างยาวนานจนพ่ายแพ้
หากไม่ใช่เพราะคู่ต่อสู้กดดันด้วยระดับขั้น นานเท่าใดแล้วที่โลกแปดพิภพไม่ได้พบเจอจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ ถูกศัตรูระดับขั้นเดียวกันโค่นอย่างรวดเร็วเช่นวันนี้
เยี่ยนจ้าวเกอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน บัดนี้แขนขวาที่ขาดของเยี่ยนซ่านเพิ่งร่วงลงมาจากกลางอากาศ
มือขวาที่ขาดของเขายังคงกำกระบี่อัสนีทองคำม่วงเอาไว้แน่น มันมีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ฉุดลากแขนขาดของเยี่ยนซ่านด้วยตัวมันเอง ก่อนจะลอยไปหาเจ้าของ
ทว่าขณะกระบี่อัสนีทองคำม่วงเพิ่งจะขยับ กระบี่วิญญาณมังกรเขียวของเยี่ยนจ้าวเกอก็ยกขึ้นไปแล้ว แสงสีเขียวส่องสว่างวาบครั้งเดียว ก็หยุดยั้งกระบี่อัสนีทองคำม่วงเอาไว้ได้
จากการสั่นสะเทือนของปราณจิตรา นิ้วมือทั้งห้านิ้วของแขนข้างที่ขาดกางออกโดยธรรมชาติ ปล่อยด้ามกระบี่ลง
เยี่ยนซ่านจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความโกรธแค้น “เจ้า…”
เยี่ยนจ้าวเกอย่อมทำหน้าตาเฉย ปลดกระบี่อัสนีทองคำม่วงด้วยกระบี่วิญญาณมังกรมรกต
ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของเยี่ยนซ่าน จึงไม่สามารถรวบรวมพลังจิตได้ ทำให้เชื่อมประสานกับกระบี่อัสนีทองคำม่วงได้ไม่ลื่นไหลนัก แม้มันอยากจะกบฏ แต่ก็ถูกกระบี่วิญญาณมังกรมรกตปราบปรามได้อย่างสบายๆ
ชายหนุ่มกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “เจ้าเคราะห์ดี กลับไปจงอย่าลืมขอบคุณคุณชายหลินโจวเสียล่ะ”
เยี่ยนซ่านได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป ครั้นเก็บกระบี่อัสนีทองคำม่วงแล้ว ชายหนุ่มก็หันกายเดินกลับไปหาดอกไม้เมฆาวิญญาณ พลางโบกไม้โบกมือไปทางอาหู่
อาหู่ยิ้มหัวเราะชั่วร้าย แล้วเดินไปทางกลุ่มคนของเยี่ยนหมิ่นพร้อมกับบรรดาจอมยุทธ์ชุดดำคนอื่นๆ
เยี่ยนหมิ่นและคนอื่นๆ มีสีหน้าซีดขาว เพิ่งจะคิดออกถึงคำพูดที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวไว้ก่อนหน้า อยากจะต่อสู้ดิ้นรนต่อต้าน จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ของอาหู่และคนอื่นๆ อีกหรือ
เยี่ยนจ้าวเกอเด็ดดอกไม้เมฆาวิญญาณเก็บไปโดยสนใจแต่ตนเองเท่านั้น ไม่สนใจเสียงร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางหมาป่าพักหนึ่งของคนตระกูลเยี่ยนจากเกาะจ้าว และไม่สนใจเยี่ยนซ่านที่มีสีหน้าพักหนึ่งซีดเขียวพักหนึ่งซีดขาว
เยี่ยนซ่านและคนอื่นๆ หนีไปอย่างจนตรอก ทิ้งโลหิตสดนองพื้นเอาไว้
ชายชราผู้นั้นที่กำลังดูแลเยี่ยนหมิ่น ก่อนที่เขากำลังจะจากไป ก็พลันกล่าวโดยไม่คำนึงถึงสีหน้าอันน่าอับอายของเยี่ยนซ่าน “คุณชายฟ้าคำรนก็อยู่ที่ภูเขาหิมะพันผูกบูรพาแห่งนี้เช่นกัน!”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบ ทำให้ชายชราผู้นั้นผิดหวังอยู่บ้าง
อาหู่กลับถึงข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ
“คุณชายขอรับ ในตอนที่เยี่ยนซ่านนั่นเพิ่งจะลงมือ เห็นได้ชัดว่ามีจิตสังหารแรงกล้าต่อท่าน…”
เยี่ยนจ้าวเกอรวบรวมดอกไม้วิญญาณ พลางพูดไปด้วย “ปล่อยเขากลับไปยังเป็นประโยชน์อยู่เล็กน้อย แขนข้างที่ขาดแล้วของเขา เขานำไปด้วยแล้วใช่หรือไม่”
อาหู่กล่าวตอบว่า “นำไปแล้วขอรับ หากจัดการได้ทันกาล ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมกลับไปได้ เพียงแต่ว่าในฐานะจอมยุทธ์แล้ว แขนขวายากยิ่งที่จะมีประโยชน์สำคัญต่อไปได้อีก”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็นไร เขาฝึกกระบี่ หากมือซ้ายไม่ได้ ยังมีโอกาสที่จะฝึกกระบี่มือขวาได้”
อาหู่เกาศีรษะ “คุณชาย”
“ตอนที่ข้าจดจ่อฝึกฝนอยู่ที่เขานิมิตเมฆ เจ้ารับส่งข่าวสารเหมือนอย่างเช่นปรกติ จากนั้นรวบรวมรายงานข้า” สายตาเยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองเล็กน้อย “เรื่องเกี่ยวกับตำหนักอัสนีสวรรค์ มีข่าวสารอันใดที่ควรแก่การให้ความสนใจหรือไม่”
ชายร่างใหญ่ได้สติ “เมื่อครู่คุณชายเอ่ยถึงคุณชายหลินโจว…”
หลินโจว บุคคลอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตำหนักอัสนีสวรรค์อีกคน ที่ถูกเอ่ยนามรวมๆ ว่า ‘ฟ้าแลบฟ้าร้อง’ โดดเด่นเช่นเดียวกับเยี่ยนซ่าน
ขณะเดียวกัน ฐานะสังคมของเขาก็ไม่ธรรมดา บิดาของเขาก็คือผู้อาวุโสใหญ่ที่มีตำแหน่งอำนาจสูงในตำหนักอัสนีสวรรค์
ในการประชุมผ่านภาเมื่อสามปีก่อน หลินโจว เยี่ยนจ้าวเกอ และคนอื่นๆ ได้รับสมญานามว่าเป็นสี่คุณชายแห่งยุค โดยหลินโจวได้ชื่อเล่นว่าคุณชายฟ้าคำรน
แตกต่างกับสวีเฟย ลู่เวิ่น และเยี่ยนจ้าวเกอจากสำนักเขากว่างเฉิง หรือถังหย่งฮ่าว เซียวเซิง และเฉาหยวนหลงจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ที่แต่ละคนต่างก็มีฝีมือยอดเยี่ยมเหนือกว่าคนในแต่ละรุ่น
หลินโจวและเยี่ยนซ่านมีอายุเท่ากันอย่างแท้จริง ทั้งสองประมือกันตั้งแต่เด็กเป็นเวลาสิบกว่าปี จนกระทั่งถึงตอนนี้
เหนือพวกเขาประกอบไปด้วยผู้อาวุโสสองคนของตำหนักอัสนีสวรรค์ และทั้งคู่ก็เป็นคู่ต่อสู้กันเช่นเดียวกัน
ก็เหมือนเช่นหวงซวี่ หัวหน้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กับจรัสแสงรุ่นปัจจุบัน และฟางจุ่นกับเยี่ยนตี๋ในปัจจุบัน
บิดาของหลินโจวกับท่านอาจารย์ของเยี่ยนซ่าน ก็แข่งขันภายในตำหนักอัสนีสวรรค์เพื่อรับตำแหน่งเจ้าตำหนักมาโดยตลอด
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “บิดาของหลินโจวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการแข่งขันมาโดยตลอด อีกทั้งยังตกเป็นเบี้ยล่างอย่างชัดเจนอีกด้วย หากไม่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไรละก็ มีความเป็นไปได้อยู่แปดส่วนที่อาจารย์ของเยี่ยนซ่านจะมีชัยชนะ โดยที่ไม่นานนักก็จะเห็นผลได้อีกด้วย”
“หากเป็นเช่นนี้แล้ว เยี่ยนซ่านรนหาที่ตาย ข้าก็ไม่ถือสาที่จะช่วยเขาให้สมปรารถนา”
“เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หลินโจวก็คงไม่อาจพูดได้ว่าเป็นที่หนึ่งของคนรุ่นเยาว์แห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ แต่ในบรรดาเหล่าศิษย์อาจารย์ของเยี่ยนซ่านเอง ก็ยากลำบากยิ่งที่จะหาศิษย์ด้อยอาวุโสที่จะตีเสมอหลินโจวได้ในเวลาอันสั้น”
“แม้ว่าผลจะมีจำกัด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เพิ่มน้ำหนักให้แก่บิดาของหลินโจวสักหน่อย คงไม่ถึงขั้นที่จะพ่ายแพ้ได้ง่ายดายเช่นนั้น”
ตำหนักอัสนีสวรรค์ยังติดขัดเรื่องข้อพิพาทภายใน เช่นนั้นก็ยิ่งจะถกเถียงกันได้ง่าย นั่นดีต่อเขากว่างเฉิง
อาหู่พยักหน้าด้วยความเข้าใจแจ่มแจ้ง “แต่ในระยะนี้ สถานการณ์การแข่งขันภายในตำหนักอัสนีสวรรค์ดูเหมือนกับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขอรับ”
“บิดาของหลินโจวปล่อยหมัดเด็ดออกมาอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ พลิกสถานการณ์เป็นรองกลับมา อำนาจวาจาและอิทธิพลพุ่งสูงขึ้นเป็นเส้นตรง ถึงขั้นมีแนวโน้มที่จะครองความได้เปรียบในภายหลัง”
“หลินโจว คุณชายฟ้าคำรนเองก็มีพลังฝึกปรือสูงขึ้นอย่างฉับพลันเช่นกัน ทิ้งเยี่ยนซ่านที่กาลก่อนหน้าพอฟัดพอเหวี่ยงกันมาโดยตลอดไว้เบื้องหลัง”
“สถานการณ์การแข่งขันเลวร้ายลงแล้ว บิดาของหลินโจวครองความได้เปรียบส่วนมาก แม้อาจารย์ของเยี่ยนซ่านจะเปลี่ยนทิศทางเยี่ยนซ่านอีกครั้ง แต่การแข่งขันก็ยิ่งไม่มีประโยชน์แล้ว”
พอเด็ดเก็บดอกไม้เมฆาวิญญาณเสร็จ เยี่ยนจ้าวเกอก็นำมันเก็บรักษาเอาไว้อย่างระมัดระวัง “ไม่ผิด ระงับความแข็งแกร่งช่วยเหลือความอ่อนแอ ทำให้ทั้งสองฝ่ายรักษาสถานการณ์ได้ตลอด สำหรับพวกเราแล้ว ถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่น่ายินดีที่สุดที่ได้พบเห็น”
“ส่วนเยี่ยนซ่าน เขารักษาอาการบาดเจ็บอย่างถี่ถ้วนก่อน แล้วจึงค่อยตั้งใจฝึกกระบี่มือซ้ายไปเถิด หลังจากฝึกได้ดีแล้ว คู่ต่อสู้คนแรกของเขาก็ยังคงเป็นหลินโจว”
เยี่ยนจ้าวเกอยกเปลือกตาขึ้น “ข้ามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง ถึงคนอื่นๆ ของเราจะเจตนาหรือไม่เจตนาในการอำนวยความสะดวกให้อาจารย์ของเยี่ยนซ่านก็ตาม แต่ความได้เปรียบของบิดาหลินโจวก็ยังคงจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดี”
“ชีวิตที่เป็นสุขของอาจารย์และศิษย์เยี่ยนซ่าน มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
อาหู่ฉงนอยู่บ้าง “คุณชายขอรับ เพราะเหตุใดหรือ”
ชายหนุ่มกล่าว “ก็แค่ลางสังหรณ์เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะกล่าวได้ชัดเจนนัก”
เขานำภาชนะที่บรรจุดอกไม้เมฆาวิญญาณส่งให้กับอาหู่ “จัดการอย่างระมัดระวังเงียบๆ พยายามอย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องตื่นตระหนก รีบส่งกลับไปเขากว่างเฉิงโดยเร็วที่สุด”
หลังจากอาหู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “เป้าหมายของข้าก็ชัดแจ้งเช่นกัน ง่ายนักที่จะเป็นจุดสนใจ ไม่สู้ให้คนอื่นส่งเสียดีกว่าขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “เจ้าจัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน จำเอาไว้เพียงว่ามันสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็พอ จงส่งให้กับมือของท่านพ่อข้า”
อาหู่รับปาก แล้วออกไปเตรียมการ
เยี่ยนจ้าวเกอมองเงาหลังของอาหู่ที่จากไป มีบางคำพูดที่เขาก็ไม่สะดวกที่จะกล่าวกับอาหู่ให้กระชัดจ่างชัดมากนัก
เกี่ยวกับการถือกำเนิดความแข็งแกร่งของบิดาหลินโจว แท้จริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เพียงแค่สังหรณ์ใจ
หากผนึกรวมบางข่าวสารในมือมาดำเนินการวิเคราะห์ อันที่จริงเยี่ยนจ้าวเกอมีการคาดเดาที่มากยิ่งกว่า
“หลินโจว น่าสนใจ…” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเบาๆ ภายในใจเกิดความคิดมากมายชั่วขณะ
ในความทรงจำของเจ้าของร่างกายเดิม การประชุมผ่านภาเมื่อสามปีก่อน เยี่ยนซ่านปิดกั้นตนไม่ได้เข้าร่วม ทว่าหลินโจว คุณชายฟ้าคำรนกลับเคยพบกันต่อหน้ามาก่อน
เพียงแต่ว่าเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอพลันปรากฏเงาของอีกสองคนขึ้น ซ้อนทับกับหลินโจวอย่างไม่ชัดเจนนัก
“กระจายแยกกันค้นหาเขาหิมะพันผูกบูรพาอย่างละเอียด หาก ‘อัสนีฟาดฟ้าคำรน’ ของตำหนักอัสนีสวรรค์ปรากฏตัวอยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกัน ที่นั่นต้องมีปัญหาเป็นแน่” หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ครั้นคืนสติจากภวังค์ก็กล่าวสั่งผู้ติดตามที่เดินทางมาด้วย
……….