หากไม่นับความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม หลินโจวที่อยู่เบื้องหน้านี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงนับว่าเพิ่งพบตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรก
ทว่าเทียบกับชายหนุ่มที่จิตใจฮึกเหิมในความทรงจำคนนั้น เมื่อพบกันอีกครั้งตรงหน้า อุปนิสัยเฉพาะตัวของหลินโจวกลับเงียบสุขุมมากขึ้น
ถึงแม้ดูไปแล้วยังคงฮึกเหิมห้าวหาญอยู่ ทว่าสายตาอันเฉียบคมในดวงตาคู่นั้น กลับแฝงเอาไว้ด้วยบุคคลที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนชัดเจน จนกระทั่งเขาดูเคร่งขรึมเช่นนี้
หลินโจวก็กำลังมองเยี่ยนจ้าวเกอเช่นเดียวกัน จากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ไม่แตกต่างกับในความทรงจำเลยสักนิด
ความสามารถได้แสดงออกมาให้ทั้งหมดเช่นเคย พลังอันฮึกเหิมบีบบังคับผู้คนเช่นเคย จนถึงขนาดใช้อำนาจบาตรใหญ่รู้กันถ้วนทั่ว
กระนั้นพอคิดโยงไปถึงเรื่องราวต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นภายในช่วงหนึ่งปีกว่ามานี้ ไม่ว่าอย่างไรหลินโจวกลับไม่สามารถซ้อนทับเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้าเข้ากับความทรงจำได้
เกิดเรื่องที่แต่เดิมไม่ควรเกิดขึ้นมากจนเกินไป เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมายมากจนเกินไป
ถึงแม้ว่าเนื่องจากอยู่ไกลจากนภาพิภพและภูผาพิภพ จึงรวบรวมข่าวสารได้ยากลำบาก มีบางเรื่องที่หลินโจวไม่สามารถรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังได้เช่นกัน ทว่าเพียงแค่ข่าวคราวที่รู้อยู่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นที่ทำให้หลินโจวรู้สึกสับสน จะมากหรือจะน้อยต่างก็มีเงาร่างของเยี่ยนจ้าวเกอคละปนอยู่ในนั้น
หลินโจวไม่ปักใจเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นความบังเอิญ
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูหลินโจวพลางยิ้มน้อยๆ “ศิษย์น้องหลินแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ ไม่พบกันเสียตั้งนานเลย เพิ่งจะพบหน้าก็ส่งของกำนัลชุดใหญ่ให้ข้าเชียว”
หลินโจวมองเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าที่อยู่ในตาข่ายแวบหนึ่ง แล้วถึงยิ้มพร้อมกับกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “น่าจะเป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้า ที่ส่งของกำนัลใหญ่ให้ข้าถึงจะถูก”
“ผู้ใดพูดถึงเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี่กันเล่า” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะหยัน “ที่ข้าพูดถึงคือฝีมือประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของเจ้าภายในสุสานการุณยบุรุษต่างหาก ถล่มทั้งห้องสุสานจนค่ายกลวิญญาณพังครืน เกือบจะฝังข้าทั้งเป็นอยู่แล้วเชียว”
เขาจ้องหลินโจวเขม็ง “เพียงแต่ข้าค่อนข้างสงสัย ว่าเจ้าผ่านการขวางกั้นป้องกันสุสานได้รวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่กล่าวถึงการเก็บเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายังหาศูนย์กลางค่ายกลจิตวิญญาณพบอีกด้วย”
หลินโจวกล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ชักช้า “แม้ว่าการุณยบุรุษจะเป็นมหาปรมาจารย์ ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่ถึงอย่างไรก็ถึงแก่กรรมมาหลายปีมากแล้ว ค่ายกลวิญญาณเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ข้าเองก็เชี่ยวชาญด้านค่ายกลอยู่พอดี จึงถอดกลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีอะไรยากเย็นสักนิด”
“เจ้ารู้สึกว่ายากยิ่งนักใช่หรือไม่” หลินโจวมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยรอยยิ้มหวาน
เยี่ยนจ้าวเกอปรบมือเบาๆ “เยี่ยม หลังจากนี้ไม่นานคงขาดการขอคำแนะนำจากเจ้าในความรู้ซึ้งด้านค่ายกลไม่ได้”
“ข้ายังไม่แน่ว่าจะมีเวลาว่างขนาดนั้น” หลินโจวเอ่ยอย่างเฉยเมย “ส่วนที่กล่าวว่าหาศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณพบ ถล่มห้องสุสานพังครืน นั่นไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”
“ข้าก็ไม่แน่ว่านั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะยังมีคนอื่นเข้าไปในค่ายกลวิญญาณก็ได้”
มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเบาๆ
ถอดทำลายค่ายกลนั้นไม่เท่าไร ทว่าหากเหลือเวลาจากการถอดกลอย่างรวดเร็วแล้ว ยังหาศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณจนพบ แล้วยังสามารถควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยความสามารถที่หลินโจวแสดงออกมาในอดีต ก็ทำให้ทั่วหล้าต้องตื่นตกใจอย่างยิ่งยวด ความแตกต่างช่างมากมายจนเกินไปแล้ว
หลินโจวก็กำลังพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองเป็นจุดสนใจอย่างเต็มที่เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขนาดทำให้ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม กระนั้นเทียบกับจ้าวฮ่าวที่กำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวผู้ใดแล้ว ก็ต้องทำตัวอ่อนน้อมอยู่ไม่น้อย
“คนจริงต่อหน้าไม่กล่าวเท็จ เหตุใดท่านต้องกระทำเช่นนี้เพื่อปิดบังอีกเล่า”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “การที่ศิษย์ตำหนักอัสนีสวรรค์ของเจ้าคิดอยากจะสังหารข้า ก็ไม่ใช่ความลับอันใดเช่นกัน ทุกๆ คนต่างก็สามารถตรงไปตรงมาต่อกันได้”
“ตัวอย่างเช่น…” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “บัดนี้ข้าก็อยากจะสังหารเจ้าอยู่หน่อยๆ แล้วเช่นกัน”
แววตาของหลินโจวเย็นยะเยือก มองดูเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าทางด้านข้าง ที่ถูกตาข่ายคลุมลอยนิ่งอยู่กลางอากาศแวบหนึ่ง
เขากล่าว “แม้จะมีโอกาสให้ได้ประมือกันอีก แต่ตอนนี้ข้าต้องเก็บเอาของที่เดิมควรจะนับว่าเป็นของข้าก่อนแล้ว”
หลินโจวสะบัดมือครั้งหนึ่ง ตาข่ายสีแดงโลหิตนั่นก็ลากเอาเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าลอยไปหาเขา
ก่อนหน้านี้เป็นเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชิ้นต้องการไหลมารวมกัน ฉะนั้นตาข่ายรังไหมโลหิตนี้จึงหมดหนทางจะขัดขวางเอาไว้ได้
บัดนี้เศษชิ้นส่วนรวมตัวกัน ทั้งยังหลอมรวมเข้าด้วยกันเสร็จสิ้น กลับคืนสู่สภาวะเงียบสงบใหม่อีกครั้ง ครั้นหลินโจวขับเคลื่อนตาข่ายรังไหมโลหิต เศษชิ้นส่วนที่หลอมรวมแล้วก็เริ่มถูกเคลื่อนย้ายพาไป
ตาข่ายรังไหมโลหิตนี้ก็เป็นการใช้ความได้เปรียบอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขาเองให้เป็นประโยชน์ ของล้ำค่าที่ขุดค้นออกมาจากสถานที่ลับแห่งหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรับรู้
ของล้ำค่านี้รูปร่างลักษณะภายนอกปรากฏเป็นตาข่าย คุณประโยชน์ที่เยี่ยมที่สุดก็คือสามารถสร้างโลกผนึกอันแข็งแกร่งออกมาได้ จอมยุทธ์ปรมาจารย์ทั้งหลายล้วนยากยิ่งจะตีฝ่าออกไปได้
ต่อให้จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์จะขับเคลื่อนอาวุธวิญญาณระดับล่าง ก็ล้วนแล้วแต่ยากที่จะทลายโลกผนึกลงได้ มหาปรมาจารย์ลงมือในช่วงเวลาอันสั้นก็ไม่สามารถหาทางออกได้เช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ถือสาอย่างยิ่ง น้ำเสียงไม่รีบร้อน “ต้องเตือนสติสักหน่อยว่า เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้านั่นไม่ถือว่าเป็นของเจ้าแต่อย่างใด”
ขณะที่กล่าว เยี่ยนจ้าวเกอก็แบมืออก ปรากฏภาชนะผลึกแก้วใสแบนราบใบหนึ่งกลางฝ่ามือนั้น ภายในนั้นมีแสงสว่างสีแดงโลหิตสว่างวาบ
ครั้นชายหนุ่มเปิดภาชนะออกมา ภายในก็พลันมีแสงโลหิตพุ่งออกมาหลากทิศทาง!
ด้วยการเหนี่ยวนำจากปราณจิตราของเยี่ยนจ้าวเกอ แสงโลหิตเหล่านั้นพลันพุ่งไปบนตาข่ายรังไหมโลหิตของหลินโจว ทำให้มันสั่นสะเทือนขึ้นมาในทันใด!
พื้นผิวเชือกตาข่ายมีลำแสงมากมายลอยขึ้นสูง รูปร่างกลายเป็นฉากลำแสงกั้น พยายามที่จะสกัดกั้นการรุกโจมตีเข้ามาของศัตรู
ทว่าตาข่ายรังไหมโลหิตที่แม้แต่การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของจอมยุทธ์ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาก็หยุดยั้งไว้ได้ หลังจากที่แสงโลหิตมากมายนั่นสัมผัสกายแล้ว กลับปรากฏให้เห็นความเปราะบางอย่างสุดจะรับได้!
ด้วยการโจมตีที่มีสีสันเช่นเดียวกัน ฉากกั้นลำแสงสีโลหิตคล้ายกับถูกกัดกร่อนอย่างไรอย่างนั้น ทะลวงเป็นโพรงใหญ่อย่างไร้สุ้มเสียง
ช่องโหว่ที่แตกออกขยายออกด้วยความรวดเร็วอย่างไม่หยุดยั้ง
“สิ่งนี้คืออะไรกัน” สายตาหลินโจวนิ่งงัน
สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอเรียบเฉยนัก เขาหยิบภาชนะใสอันว่างเปล่าในมือขึ้นมาชม
นี่คือหลอดเลือดปีศาจที่ก่อนหน้านี้เขาใช้ไข่มุกกลั่นโลหิตกับกระจกเมฆเคลื่อนเป็นวัตถุดิบหลัก หลอมสร้างมันออกมา
อาหู่อ้าปากกว้างหัวเราะร่า ย่างก้าวเข้าไปทางโพรงใหญ่บนตาข่ายรังไหมโลหิตที่แยกออก เป้าหมายมุ่งตรงไปยังเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ลึกลงไปในดวงตาของหลินโจวมีแสงเย็นเยียบส่องประกาย เขามองเยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าในใจเจ้าผลเสียส่วนตัวสำคัญกว่า หรือผลประโยชน์โดยรวมเขากว่างเฉิงของเจ้าสำคัญ”
“หืม?” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย
หลินโจวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าได้ยินมาว่าเขากว่างเฉิงของเจ้ามีศิษย์เข้าสำนักมาใหม่คนหนึ่ง นามว่าเฟิงอวิ๋นเซิง ดังคำกล่าวของเจ้า คนจริงต่อหน้าไม่พูดเท็จ จริงๆ แล้วนางเป็นสตรีแห่งจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งที่เสียสภาพจันทรากายไปสินะ”
“ได้ยินว่าบัดนี้นางฝึกฝนอยู่ที่น้ำพุวิเศษเมฆหยินหยางแห่งเขานิมิตเมฆ ณ ภูผาพิภพร่วมกับคนอื่นๆ อยู่ พวกเจ้าปิดข่าวไม่ให้รั่วไหลได้ไม่เลว แต่ว่า…”
หลินโจวยิ้มน้อยๆ “แต่ว่า ข้าก็ศึกษาทดลองกับสตรีแห่งจันทราอยู่บ้างเช่นกัน รูปแบบการส่งเสริมกันของหยินหยาง สถานที่หยินเดี่ยวหยางเดี่ยว มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงนั่นฟื้นกลับคืน ถูกต้องหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น ดวงตาก็หรี่เป็นเส้นตรงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง
สีหน้าท่าทางหลินโจวไม่สะทกสะท้าน “เจ้าว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์รู้ข่าวนี้แล้วจะคิดอย่างไร ที่สำคัญกว่าก็คือ เขาไร้พรมแดนรู้แล้วจะคิดเช่นไร”
“ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเจ้าจะมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน แต่เขาไร้พรมแดนไม่ใช่ผู้ใต้บัญชาของเขากว่างเฉิง มงกุฎจันทรา เขาไร้พรมแดนเองก็ต้องการเป็นอย่างมากมาโดยตลอด”
ฝีเท้าอาหู่ที่เดินไปทางเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าหยุดนิ่งลง หันศีรษะกลับไปมองหลินโจวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “เจ้าจะขู่บังคับคุณชายข้าอย่างนั้นหรือ”
หลินโจวยิ้ม “ข้ารู้ว่าร่างใหญ่ของเจ้านี้นั้นไม่ง่าย แต่เทียบกับความเร็วแล้ว อยากจะไล่ตามสังหารข้าที่มีฐานะเดิมอยู่ในตำหนักอัสนีสวรรค์ ก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น”
เขามองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอ “อย่างไรเขากว่างเฉิงของเจ้าก็ได้หญิงสาวแห่งจันทรามาได้ไม่ง่ายนัก เทียบกับกับเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าจะเลือกอย่างไหน”
“ไม่ต้องกังวลว่าข้าคิดจะยึดครองประโยชน์ทั้งหมด นำสิ่งของไปแล้วยังรายงานแก่เขาไร้พรมแดน ข้าผู้นี้ไม่ละโมบ ขอเพียงแต่ประโยชน์เหมือนกัน แม้ว่าทั้งสองสำนักของเจ้าและข้าในตอนนี้จะเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่ตัวข้าเองยินดีที่จะเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรกับผู้ที่มีความสามารถ เพียงแค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะตัดใจจากเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง”
………………..