เยี่ยนจ้าวเกอมองการกระทำของดูชายผู้นั้น รู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง “นี่เป็นวิธีเล่นพิสดารใหม่อันใดของท่านอีกนี่”
ชายผู้ยังไม่หยุดการกระทำ เขาหัวเราะร่าพลางกล่าว “เจ้ามาพอดีเลย เมื่อครู่ไปหาเจ้า เจ้ากำลังเข้าฌานอยู่ ข้ายังนึกเสียดายหากเจ้าพลาดชาสุรานี้ของข้า”
“เทสุราใส่ไปในชา ก็ไม่มีผู้ใดเขาทำเช่นกัน ข้ารู้ว่าสุราท่านดีเลิศ แต่ท่านอย่าได้สร้างแนวคิดแปลกใหม่เช่นนี้ได้หรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอกุมหน้าผาก
ทว่าชายผู้นั้นไม่สนใจ “เจ้าไม่รู้อะไร มนุษย์เกิดมาบนโลกก็ต้องหาความอภิรมย์ใส่ตัวหน่อยสิ”
เยี่ยนจ้าวเกอปิดใบหน้า “ท่านก็เลยเห็นสุราเป็นเหมือนน้ำเต้าหู้จุ่มปาท่องโก๋กิน นำสุราแช่ข้าวทำเป็นข้าวต้ม ตอนนี้ยังจะมีวิธีเล่าพิสดารใหม่ นำสุราชงชาอีกหรือ ท่านร่ำสุราอย่างมั่นคงปลอดภัยเช่นคนขี้เมาทั่วไปไม่ได้เชียวหรือไรกัน”
เซี่ยโยวฉานกับอาหู่ที่ฟังอยู่ข้างๆ ต่างก็อดหัวร่อไม่ได้
ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย กลับยิ้มกล่าวด้วยซ้ำไป “ข้าผ่านขั้นนั้นมาแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอสุดจะทนได้ “เช่นนั้นท่านลองชิมดูสักหน่อย ไม่ต้องใช้ปาก ใช้จมูกดื่มสุรา”
อีกฝ่ายพลันหัวเราะเสียงดัง “สำหรับจอมยุทธ์ที่มีพลังฝึกปรือเช่นข้า จริงๆ ก็ไม่ยากเย็นนัก ข้าไม่สำลักตายหรอก”
“ศิษย์พี่สวี เรื่องอื่นๆ ท่านล้วนสุขุมยิ่ง เหตุใดกับเรื่องนี้ถึงได้เหมือนกับเด็กเช่นนี้นะ” เซี่ยโยวฉานหลุดหัวเราะ พลางส่ายศีรษะ
ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ก็คือสวีเฟย จอมยุทธ์ขั้นเคียงนภา ผู้ได้ฉายาว่า ‘วิหคเวหา’ ศิษย์สืบทอดหลักแห่งเขากว่างเฉิงในความดูแลของสือเถี่ย ราชสีห์เหล็ก
โดยทั่วไปแล้ว โลกภายนอกเข้าใจว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่แกร่งที่สุดของเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน
สวีเฟยยิ้มพลางเอ่ย “ยังคงต้องให้พวกเจ้าลิ้มลองฝีมือของข้า”
เยี่ยนจ้าวเกอหมดทางเลี่ยงอยู่บ้าง “หมดคำพูดจะกล่าวกับท่านแล้วจริงๆ”
“ศิษย์น้องเยี่ยน ความสามารถในการดื่มสุราของเจ้าใช้ไม่ได้ แต่หู่ถิงกลับไม่เลว” สวีเฟยสบประมาทเยี่ยนจ้าวเกอออย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ทว่ามองไปยังอาหู่ที่อยู่ข้างๆ ด้วยไมตรีจิต
แต่ไหนแต่ไรอาหู่ผู้ซึ่งเรื่อยเฉื่อย ไม่ยี่หระไม่สนใจอันใด เวลานี้กลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “พี่เฟย ข้าไม่ดื่มกับท่านหรอก และท่านไม่อาจใช้ปราณจิตราบีบบังคับให้ร่ำสุรา เพราะดื่มสุรากับท่านอาจต้องดื่มจนสิ้นชีพแน่”
สวีเฟยเองก็ไม่ดึงดัน เพียงแค่เสียดายอย่างมากเท่านั้น “หู่ถิง แท้จริงแล้วพื้นฐานเจ้าค่อนข้างดี ฝึกสักหน่อยต้องสำเร็จได้แน่”
ทุกคนกล่าวไปยิ้มไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ย่ำค่ำตะวันคล้อยทิศประจิม เยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย อาหู่ และเซี่ยโยวฉานต่างกล่าวลา
ก่อนจากกัน เซี่ยโยวฉานเอ่ยเสียงเบาว่า “การประชุมฝ่านภาคราวนี้ไม่เหมือนเช่นปกติ พวกเจ้าล้วนรู้อยู่แก่ใจแล้วกระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางสวีเฟย บนใบหน้าของอีกฝ่ายประดับรอยยิ้มไม่เปลี่ยน ทว่าแววตาหนักแน่นนัก “ตอนที่พวกข้าพบหน้าท่านอาจารย์ลุงรอง รับรู้เรื่องราวเรียบร้อยแล้ว”
ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ยิ้มน้อยผงกศีรษะ ไม่พูดกล่าวให้มากความอันใดอีก
หลายวันต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอสงบจิตสงบใจบำเพ็ญฝึกฝนตนเอง ทั้งยังแลกเปลี่ยนประสบการณ์วิถีวรยุทธ์กับสวีเฟย เยี่ยฉงโจว เซี่ยโยวฉาน และคนอื่นๆ ที่คุ้นเคย รวมถึงให้อาหารเจ้าหมีสยงเมายักษ์ตัวนั้น
บนเกาะปิดนภา ทุกสิ่งล้วนปกติ นิ่งสงบเช่นเคย
กระนั้นตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป วันของการประชุมฝ่านภาก็มาถึงอย่างเป็นทางการ
การประชุมฝ่านภาไม่ใช่เวทีประลองยุทธ์แต่อย่างใด จุดมุ่งหมายเดิมคือให้อัจฉริยบุคคลรุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักคบค้าสมาคมกัน
ประลองยุทธ์แลกเปลี่ยนความรู้คือการคบค้าสมาคม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ก็เป็นการคบค้าสมาคมเช่นกัน
เพียงแต่เนื่องด้วยสถานการณ์ของโลกแปดพิภพปัจจุบันค่อนข้างตึงเครียด ฉะนั้นจึงทำให้การประชุมครั้งนี้มีกลิ่นดินปืนปรากฏหนาแน่นอยู่บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมฝ่านภาครานี้ เนื่องด้วยปัจจัยพิเศษบางประการ ยิ่งนำพาสีสันที่ต่างไปจากเดิมหลายส่วน
ซึ่งนั่นก็คือสถานที่จัดการประชุมฝ่านภา ที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือเกาะปิดนภานั่นเอง
ใช้เกาะปิดนภาเป็นศูนย์กลางร่วมกับเกาะน้อยที่รายล้อม กลายรูปเป็นพลังค่ายกลพิเศษรางๆ ซึ่งก็คือบริเวณที่ตั้งของศูนย์กลางค่ายกลปกป้องทะเลสาบปิดนภา
หลังจากกระตุ้นแล้ว ธารแสงหลากสายก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ผสานเข้ากับเมฆหมอกด้านบน กลายสภาพเป็นแผ่นดินลอยบนท้องฟ้าที่คล้ายกับลวงตา ทว่าก็คล้ายกับเป็นจริง
ธารแสงมากมายเหล่านั้นประหนึ่งกับสะพานเชื่อมก็ไม่ปาน ให้ฝูงชนไต่ขึ้นไปบนเกาะลอยที่อยู่บนท้องฟ้า ด้านบนมีค่ายกลหวงห้ามเป็นของตนเอง คล้ายกับกลายเป็นพระราชวังลวงตาอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ ขึ้นมาบนเกาะลอยแล้ว นอกจากจะเห็นผู้สืบทอดแห่งหอคลื่นโหมที่มีฐานะเป็นเจ้าภาพ ยังมีคนมาถึงก่อนอีกด้วย ซึ่งก็คือคนของเมืองทะเลมรกต
เยี่ยฉงโจว หลี่จิ้งหว่าน และศิษย์เมืองทะเลมรกตอีกสองคน ขณะนี้ต่างก็ติดตามอยู่ข้างกายชายหนุ่มในชุดสีเขียวผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นอุปนิสัยสุภาพเรียบร้อย เหมือนเช่นฟางจุ่น มีกลิ่นอายของปัญญาชนอยู่หลายส่วน
เพียงแต่เขายืนอยู่ตรงนั้น รัศมีแสงเหนือศีรษะหลอมรวมเป็นเนื้อแท้ พุ่งทะลุสู่ท้องฟ้า ในรัศมีแสงยิ่งคล้ายกับมีเสียงโหมซัดของกระแสน้ำทะเลไม่มีที่สิ้นสุด แสดงให้เห็นโดยทั่วกันว่าเขาคือจอมยุทธ์ที่อยู่ในขั้นฝ่านภาเช่นเดียวกับสวีเฟย
เขาอายุสามสิบปีกว่า แววตาลุ่มลึกประดุจทะเล ครั้นเห็นกลุ่มคนของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ยังผงกศีรษะทักทายเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟยก็ผงกศีรษะทักทายตอบเช่นกัน
พวกเขาล้วนจำอีกฝ่ายได้ นั่นคือซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเล บุคคลนำทัพรุ่นเยาว์ ศิษย์สืบทอดหลักแห่งเมืองทะเลมรกต นับเป็นผู้มีอายุมากที่สุดในบรรดาสี่คุณชายแห่งยุค และก็เป็นผู้ที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงที่สุดในปัจจุบัน
เยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายกว่างเฉิง บุตรของเยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเขากว่างเฉิง
หวงเจี๋ย คุณชายจรัสแสง บุตรของเหยียนซวี่ เจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
หลินโจว คุณชายฟ้าคำรน บุตรของหลินเทียนเฟิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์
ซ่งเฉา คุณชายเจ็ดทะเล บุตรของซ่งอู๋เลี่ยง เจ้าเมืองทะเลมรกต
ทั้งสี่คนล้วนเป็นผู้โดดเด่นท่ามกลางคนรุ่นเยาว์แห่งโลกแปดพิภพทั้งสิ้น อีกทั้งฐานะเดิมล้วนไม่ธรรมดา หลังจากการประชุมฝ่านภาคราก่อน ทั้งหมดล้วนถูกขนานนามว่าเป็นสี่คุณชายแห่งยุค
กระนั้นระหว่างทั้งสี่คน โดยส่วนมากไม่ได้มีมิตรภาพอันใด ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอคุ้นเคยกับซ่งเฉาอยู่บ้าง
ทว่าซ่งเฉานั้นอายุมากกว่าเขานัก ก่อนหน้านี้ทั้งสองก็พบปะกันน้อยมาก
ซ่งเฉามองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ พยักหน้า “ศิษย์น้องเยี่ยน ไม่พบกันสามปีแล้ว”
“พลังฝึกปรือศิษย์พี่ซ่งยอดเยี่ยมขึ้นแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว ฝ่ายซ่งเฉาเอ่ยตอบ “สุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวัง รุดหน้าเสาะหา”
ซือคงจิงก็ก้าวขึ้นมาคารวะซ่งเฉาอีกครั้งเช่นกัน
รูปแบบการประชุมฝ่านภานั้นไม่ได้เคร่งเครียด และก็ไม่ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการอันใด
ผู้ที่ตั้งใจมุ่งศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ บัดนี้เริ่มสนทนากันแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย ซ่งเฉา เซี่ยโยวฉาน และเยี่ยฉงโจว ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาเหล่านี้ ไม่ได้ลงสนามประลองยุทธ์ เพียงแค่รวมตัวกันสนทนาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
ทว่าสำหรับพวกเขาอาจเป็นแค่การสนทนาเล่นเท่านั้น ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นฟังกลับเป็นประโยชน์ไม่น้อย
เพียงแต่ภายในนี้ เยี่ยนจ้าวเกอสะดุดตากว่าผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดาปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาทั้งหมด เขาจัดว่าเยาว์วัยมากที่สุด
คนอื่นๆ ล้วนอายุประมาณสามสิบหรือไม่ก็ใกล้สามสิบ มีเพียงเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้นที่อายุยี่สิบต้นๆ
นับตามช่วงอายุแล้ว อันที่จริงเยี่ยนจ้าวเกอควรจะถือว่าอายุเท่ากันกับหลี่จิ้งหว่าน
ระหว่างที่พูดคุยกัน จู่ๆ กลุ่มของเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน จึงมองไปยังทิศทางหนึ่ง
บริเวณทิศทางนั้นมีจอมยุทธ์เยาว์วัยหลายคนสวมชุดสีขาวเดินขอบสีทองไต่ขึ้นมาบนเกาะลอย นั่นเป็นการแต่งกายของศิษย์สืบทอดหลักของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย หรือว่าจะซ่งเฉา เยี่ยฉงโจว ครั้นเห็นผู้มาเยือนแล้ว พวกเขาต่างก็หรี่ตาเป็นเส้นตรงอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้ที่นำหน้าอายุใกล้เคียงกับสวีเฟยและซ่งเฉา รูปร่างหน้าตางดงามเปิดเผย บุคลิกองอาจห้าวหาญ ดวงตาทั้งสองเปล่งรัศมีแสงออกไปทั่วสารทิศ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นเลื่อมใส
ข้างกายเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูแล้วอายุมากกว่าเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้าง หน้าตาธรรมดา เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถังหย่งฮ่าว หวงเจี๋ย”
………………..