ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี – บทที่ 188 ข่มเหงอย่างป่าเถื่อน

“แควก!”

หลิวเซิ่งเฟิงเหยียดนิ้วหนึ่งของตนแทงออกไป

บนแขนของเยี่ยฉงโจว พลันเกิดแผลเพิ่มขึ้นอีก

“…” เยี่ยฉงโจวกัดฟันกรอด ไม่ได้เปล่งเสียงร้องสักแอะ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องหลิวเซิ่งเฟิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มเล็กน้อย “ช่างเป็นบุรุษยอดฝีมือที่ไม่ยอมศิโรราบ”

กล่าวจบ เขาก็ชี้นิ้วเบาๆ อีกครั้ง ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของเยี่ยฉงโจว จึงยากที่จะหลบหลีกได้พ้น ทำได้เพียงเบิกตาโพลงมองไปบนแขนของตนที่มีรูเพิ่มขึ้นอีกแผลเท่านั้น

หลิวเซิ่งเฟิงหัวเราะ พลางกล่าวขึ้นอย่างคนวิปลาสว่า “ข้าชอบทรมานบุรุษยอดฝีมือที่สุด เพราะว่าพวกมันมักจะฝืนทนได้ค่อนข้างนานเสมอ ทำให้ข้าเล่นสนุกได้มากขึ้นอีกหน่อย”

เยี่ยฉงโจวเปล่งเสียงฮึดฮัด “ไอ้บ้า!”

เขาจ้องหลิวเซิ่งเฟิงเขม็ง “เจ้าทรมานข้า อยากให้ข้าบันดาลโทสะหรือไม่ก็สิ้นหวัง อยากให้ข้าจงเกลียดจงชังเจ้า อยากให้ข้าตกต่ำเป็นฝ่ายมารเหมือนเช่นเจ้ารึ? อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย!”

“ข้าบันดาลโทสะจริงๆ ปรารถนาจะสังหารคนวิปลาสเช่นเจ้าใจจะขาดจริงๆ แต่ข้าจะไม่มีทางให้ความคิดนี้กลืนกินข้า จนยินยอมพร้อมใจตกเป็นฝ่ายมารเช่นเจ้าเด็ดขาด!”

หลิวเซิ่งเฟิงกล่าวอย่างไม่รู้มิชี้ “เป็นเจ้าต่างหากที่อย่าได้ฝันกลางวัน เดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่แล้ว บัดนี้ร่างกายยังเจ็บหนักอีก จะสังหารข้าได้อย่างไร?”

บนใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มที่ราวกับจงใจกลั่นแกล้ง “หากตกเป็นมารละก็ พลังความสามารถของเจ้าจะมียิ่งพัฒนาขึ้นถึงขั้นเคียงนภาระยะท้าย หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มีสิทธิ์เอาชนะข้าได้”

“อีกทั้ง ขณะเดียวกันกับที่ตกเป็นฝ่ายมาร เจ้าจะได้รับโอกาสหนึ่ง อาการบาดเจ็บของเจ้าจะฟื้นคืนเป็นปกติทั้งหมด เจ้าดูข้า ตอนแรกข้าถูกเยี่ยนจ้าวเกอโจมตีจนกายาเทพแห่งขุนเขาแตกซ่าน ขณะเดียวกันอาการบาดเจ็บก็สาหัสเสียจนแทบจะตะกายลุกไม่ขึ้น”

“ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แปลงกายเป็นมาร โดยให้ไอมารชำระล้างร่างกายก่อรูปใหม่ให้แก่ข้า อาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟูทันที ข้าเพียงผู้เดียวโจมตีพวกเจ้าทั้งห้าคนได้สบายๆ”

หลิวเซิ่งเฟิงหัวเราะไปพลาง ขณะเดียวกันก็เหยียดนิ้วมือออกไปอีกครั้ง ปราณจิตราเจาะทะลุแขนของเยี่ยฉงโจวอีกครั้งหนึ่ง “ข้าปรารถนาดี ให้โอกาสเจ้าในการหวนกลับมาผงาดอีกครั้ง”

เยี่ยฉงโจวมีเหงื่อผุดชุ่มบนหน้าผาก เขากัดฟันกรอด ไม่สนใจคำปลุกปั่นของหลิวเซิ่งเฟิง

ฝ่ายหลิวเซิ่งเฟิงเองก็ไม่ร้อนใจเช่นกัน ยิ้มตาหยีมองไปทางหร่วนผิงที่อยู่อีกด้าน “ศิษย์น้องหร่วนแห่งหอคลื่นโหม หลายวันก่อนหน้าได้รับการต้อนรับจากเจ้า ณ ที่แห่งนี้ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก ตามเหตุผลควรจะคารวะตอบบ้างถึงจะถูก”

ขณะที่กล่าว เขาก็ทิ่มนิ้วลงไปบนแขนของหร่วนผิงจนเกิดรูเพิ่มขึ้นมาอีกแผลเช่นกัน

หร่วนผิงส่งเสียงฮึดฮัด เบือนศีรษะไปด้านข้างๆ ไม่ตอบหลิวเซิ่งเฟิง

หลิวเซิ่งเฟิงก็ยังคงไม่ใจร้อนเช่นเดิม ยิ้มพลางกล่าว “แท้จริงแล้วหากพวกเจ้าทั้งสองตกเป็นมารละก็ เมื่อร่วมมือกันทั้งคู่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถต่อกรกับข้าได้เช่นกัน ไม่พิจารณาสักหน่อยหรือ?”

ผู้ตกเป็นมารคนอื่นอีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็มองภาพฉากนี้ด้วยใบหน้าน่าขบขัน

หร่วนผิงเมินเฉยไม่เอ่ยปาก เยี่ยฉงโจวก็ยิ้มเย็นพลางพูดว่า “ฝันไปเถิด!”

หลิวเซิ่งเฟิงมองเยี่ยฉงโจว ก่อนจะมองหร่วนผิง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ทั้งเย็นเยือกและหยอกล้อ

เขาผุดลุกขึ้น เดินไปข้างหน้า และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ช่างเถิด ไม่เป็นไร แต่ไหนแต่ไรข้าผู้นี้ไม่ชอบชอบบังคับคน”

ขณะที่พูด เขาก็เคลื่อนที่มาถึงหลี่จิ้งหว่านและจางเหยา

เยี่ยฉงโจวสีหน้าเปลี่ยน “หลิวเซิ่งเฟิง เจ้าจะทำอะไร?”

หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มพลางเอ่ย “ก็ไม่มีอะไร คารวะศิษย์น้องเยาว์วัยทั้งสอง ทำความรู้จักกันเสียหน่อยก็เท่านั้น”

เขาหัวเราะพลางนั่งยองๆ ใกล้กับหลี่จิ้งหว่านและจางเหยา หญิงสาวทั้งสองยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ หลี่จิ้งหว่านเม้มริมฝีปากแน่น จางเหยากัดฟันกรอด ปิดเปลือกตาลง

หลิวเซิ่งเฟิงมองหญิงสาวทั้งสองด้วยความสนอกสนใจ สายตาตกไปอยู่บนร่างของหลี่จิ้งหว่านเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ชี้นิ้วหนึ่งออกไป

หัวไหล่หลี่จิ้งหว่านพลันเกิดรูแผลขึ้นมาอีกแผลหนึ่ง

ศิษย์หญิงแห่งเมืองทะเลมรกตส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความเจ็บปวด ทว่าในแววตายังคงไม่หวาดหวั่น นางที่ดูไปแล้วสุภาพเรียบร้อย แท้จริงแล้วแกร่งกร้าวหยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก

หลี่จิ้งหว่านจ้องมองหลิวเซิ่งเฟิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแวบหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลง ใบหน้าปรากฎเลือดฝาดอย่างไม่ปกติ

ร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส พลันมีปราณแก่กล้าระเบิดปะทุ!

“ขับเคลื่อนวิชาคลื่นสูงเทียมฟ้าในสถานการณ์เช่นนี้ คิดจะปลิดชีพตัวเองหรือ?” หลิวเซิ่งเฟิงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง จากนั้นจึงหัวเราะร่า แล้วพลันกดฝ่ามือหนึ่งลงไปอย่างรวดเร็ว สั่นสะเทือนปราณจิตราที่หลี่จิ้งหว่านรวมเข้าไว้จนแตกซ่าน “น่าเสียดายที่ความห่างชั้นของเจ้ากับข้านั้นมากยิ่ง อีกทั้งเจ้ายังบาดเจ็บสาหัส บัดนี้อยู่เบื้องหน้าข้า เจ้าคิดจะตายล้วนยังยาก”

หลี่จิ้งหว่านลืมตาขึ้น มองไปยังหลิวเซิ่งเฟิงด้วยความโกรธเกรี้ยว

หลิวเซิ่งเฟิงเข้าไปใกล้เบื้องหน้านาง หัวเราะพลางเอ่ย “หลังจากตกเป็นมาร อาการบาดเจ็บฟื้นฟู ถึงตอนนั้นหากเจ้าจบชีวิตตนเอง บางทีข้าก็อาจจะขัดขวางไม่ทัน”

หลี่จิ้งหว่านจ้องหลิวเซิ่งเฟิงด้วยความโกรธโมโหครู่ใหญ่ แล้วจึงปิดเปลือกตาลงใหม่อีกครั้ง ยังคงไม่พูดออกมาสักคำ

รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวเซิ่งเฟิงหายไป “ศิษย์น้องหลี่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจข้า ข้าผู้นี้นั้น ค่อนข้างรักตัวกลัวตาย”

“เพราะฉะนั้น สำหรับพวกที่ไม่ยี่หระต่อความตายนั้น ข้า…ฮ่าๆ ไม่ใช่เลื่อมใส แต่สะอิดสะเอียน”

ขณะที่พูด หลิวเซิ่งเฟิงก็ชี้นิ้วหนึ่งไป บนขาของหลี่จิ้งหว่านมีเลือดกระเซ็นออกมาทันที เจ็บปวดรวดร้าวจนสีหน้าหญิงสาวซีดขาวดุจกระดาษ “ดังนั้น ข้าจึงชอบจัดการผู้ที่ไม่กลัวตายพวกนั้นเป็นที่สุด ข้ามีวิธีนับไม่ถ้วนที่จะทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย ทำให้พวกเขารู้ว่าการไม่กลัวตาย แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่น่าสรรเสริญนัก”

หลิวเซิ่งเฟิงหันกลับไปมองจางเหยา แล้วยิ้มแยกเขี้ยว “ศิษย์น้องจางแห่งหอคลื่นโหม พวกเราพบกันอีกแล้ว”

จางเหยาปิดเปลือกตาแน่นไม่พูดจา หลิวเซิ่งเฟิงหัวร่อพลางกล่าว “พูดๆ ไปแล้วช่างทำให้ศิษย์น้องจางขำขันเสียแล้ว ประมือกับเยี่ยนจ้าวเกอนั่นก่อนหน้านี้ พ่ายให้กับมัน แพ้เสียจนดูไม่ได้อยู่บ้าง”

หลิวเซิ่งเฟิงทิ่มนิ้วลงไปบนไหล่ของจางเหยาเบาๆ พลังแน่นิ่งยังไม่ปล่อยออกมา “ในบรรดาพวกเจ้า จริงๆ แล้วคนที่ข้าหวังอยากจะทักทายมากที่สุดก็คือเจ้า ถึงอย่างไรพวกเราพบหน้ากันก็อึดอัดเก้อเขินอยู่บ้าง”

ร่างกายจางเหยาสั่นเทาเล็กน้อย หลิวเซิ่งเฟิงพูดต่อไปว่า “ข้าคิดมาโดยตลอดว่า ทำเช่นไรถึงจะกำจัดความเก้อเขินนี้ไปได้ คิดอยู่นานสองนานก็คิดไม่ออก ภายหลังยังตัดสินใจว่าไม่พบกันอีกเลยน่าจะดีกว่า”

“หากคิดอยากจะแยกกันตลอดไป แน่นอนว่ามีเพียงห่างกันด้วยความเป็นความตายเท่านั้นที่มั่นใจที่สุด ส่วนข้าน่ะหรือ กลัวตาย และก็ไม่คิดจะตายเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แต่เชิญเจ้าให้ตายไปเสียเท่านั้น”

“แควก!” ไหล่ของจางเหยาถูกแรงนิ้วของหลิวเซิ่งเฟิงเจาะทะลุเป็นรู ทำเอาจางเหยาส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา

หลิวเซิ่งเฟิงพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เพียงแต่ก่อนที่เจ้าจะสิ้นใจ ก็เล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ”

จางเหยาพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ!”

“ฆ่าแน่ แต่เมื่อใดนั้น ล้วนตามแต่ใจข้า” หลิวเซิ่งเฟิงส่ายหัวพลางกล่าว

เยี่ยฉงโจวจ้องหลิวเซิ่งเฟิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

สายตาหลิวเซิ่งเฟิงทอดมองไปยังเขา หัวเราะพร้อมกับกล่าวไปด้วยอ“อยากช่วยพวกนางอย่างนั้นรึ? น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีความสามารถนั้น ลองตกเป็นมารดูสิ จะดีหรือร้ายก็พอมีโอกาสอยู่บ้าง เพียงแต่เจ้าคนเดียวไม่ไหว ร่วมกันกับศิษย์น้องหร่วนท่านนั้น ถึงจะมีโอกาสทำสำเร็จอยู่บ้าง”

“เจ้า!” เส้นเลือดบนลำคอเยี่ยฉงโจวปูดโปนขึ้นมา เขาหอบหายใจแรง จดจ้องหลิวเซิ่งเฟิงไม่วางตา

หร่วนผิงที่อยู่ข้างๆ ยังคงหลับตาไม่ปริปาก

“ศิษย์พี่หลิว เจ้าใจเย็นลงหน่อย มีปัญหาอะไร ทุกคนเปิดอกพูด พูดออกมาแล้วก็ดี ไม่มีสิ่งใดที่การพูดคุยแลกเปลี่ยนไม่สามารถแก้ไขได้…” เซียวอวี่ที่อยู่ข้างๆ กล่าวไม่ขาดปาก

“เจ้าหุบปากเสีย” หลิวเซิ่งเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ที่ข้าจะจัดการเจ้าเป็นคนสุดท้าย ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นศิษย์ร่วมสำนักข้า แต่เป็นเพราะเจ้าคือคนที่ข้าอยากสังหารมากที่สุด เกลียดชังมากที่สุดผู้นั้น”

ขณะที่หลิวเซิ่งเฟิงพูด เขาก็ชี้นิ้วไปทางเซียวอวี่ทันที อีกฝ่ายส่งเสียงร้องน่าเวทนาออกมา บริเวณท้องเกิดรูแผลขึ้นมาอีกแผลหนึ่ง โลหิตสดไหลกระจายไปทุกทิศ

“ในเมื่อเจ้าต้องการข้าก็จะให้” หลิวเซิ่งเฟิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกเรามาพูดคุยกันเถอะ”

หลิวเซิ่งเฟิงมายังเบื้องหน้าเซียวอวี่ หัวเราะร่า “ใช่ ในเมื่อพวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ว่ากันตามเหตุผลแล้วข้าควรมอบสิทธิพิเศษให้แก่เจ้าบ้าง”

ครั้นสิ้นเสียง เขาก็ชี้นิ้วลง บนร่างเซียวอวี่พลันเกิดรูเลือดขนาดใหญ่ขึ้นอีกแผล “ประโยคที่เจ้าเอ่ย ข้าให้เจ้าสอง”

…………..

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

Score 7.9
Status: Ongoing Artist: Native Language: Chinese
อ่านเรื่อง ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพีชายหนุ่มข้ามมิติกาลเวลาครั้งแรกมาสู่ยุคสมัยที่อารยธรรมวรยุทธ์รุ่งเรืองจนถึงที่สุด มุมานะศึกษาและฝึกฝนคัมภีร์สุดยอดวิชาที่เก็บรวบรวมไว้ในวังเทพมากมาย แต่แล้วยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ก็ต้องพบพานกับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายจนหมดสิ้น ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็พาตนเองและสมองที่เปี่ยมไปด้วยความรู้ของสุดยอดวิชา ข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้งไปสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขัดใจยิ่งนัก นั่นก็คือทุกอย่างช่างง่ายดายไปเสียหมด จนทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค เหนือกว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้ใดในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในเวลาชั่วพริบตา กระนั้น แม้เขาจะยอดเยี่ยมอย่างไร เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสต่อศิษย์น้องในสำนักเพียงใด มีชื่อเสียงขจรไกลไปถึงหนแห่งไหน สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนปากกล้าและอวดดี กังขาในความสามารถของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักเจียมตัวก็แล้วไปเถอะ แต่จะหาเรื่องคนที่มีพลังแก่กล้ากว่าตนอยู่อักโขเช่นนี้ ก็คงต้องประมือกันสักตั้งแล้ว “หากชอบรนหาที่ตายนัก ข้าจะสนองให้พวกเจ้าเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset