ระหว่างที่ปราณจิตรากำลังเพิ่มสูงขึ้น สีม่วงแดงพลันเกิดขึ้นกลางฝ่ามือซ้ายของเยี่ยนจ้าวเกอ ราวกับรวมเป็นเปลวเพลิงสีม่วงของจริง
เมื่อเปลวเพลิงไปถึง ปราณจิตราทั่วร่างกายเซียวเซิงเริ่มมีสัญญาณของการพังทลายเกิดขึ้นทันที!
เขารู้สึกเหมือนตกลงไปในเตาเผา และกำลังจะถูกไฟสีม่วงจากสวรรค์ชั้นดุสิตแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน จากฝ่ามือข้างเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น
‘ฝ่ามือดุสิต’ วรยุทธ์วิชาที่สืบทอดกันมาในเขากว่างเฉิง และเป็นหนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพเช่นเดียวกันกับเพลงกระบี่เจ็ดดารา
เยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ พร้อมกัน นอกจากกระบี่วิญญาณมังกรมรกตและกงจักรเพลิงสุริยะของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ของล้ำค่าชิ้นอื่นในตัวพวกเขาก็ส่องสว่างขึ้นมาด้วย
ในชั่วพริบตาที่ประมือกันกลางอากาศ ของล้ำค่าแต่ละชิ้นต่างก็แสดงอานุภาพของมันเองออกมา อีกทั้งชนกระแทกซึ่งกันและกัน
ผู้ที่อยู่ในหุบเขาเงยหน้ามอง ก่อนจะพบว่าบนท้องฟ้าเกิดแสงสว่างโชติช่วงมาก
สมบัติเต็มตัวเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงต่างระเบิดพลังออกมา สลับโจมตีและตั้งรับกันชุลมุน
พลังของสิ่งของล้ำค่าทั้งหลายต่อต้านซึ่งกันและกัน
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงฟาดฝ่ามือดุสิตลงบนตัวของเซียวเซิงอย่างหนักโดยไม่ยอมลดละ!
เซียวเซิงส่งเสียงฮึดฮัด โลหิตไหลออกจากทางปากและจมูก ร่างกายลอยหวือไปด้านหลัง
บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ อีกทั้งหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
เซียวเซิง ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ต่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอซึ่งอยู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง ทว่าผลลัพธ์กลับเป็นฝ่ายเซียวเซิงที่พ่ายแพ้ไป!
ผลลัพธ์ครั้งนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเอาชนะเฉาหยวนหลง ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ถึงสองครั้ง
อย่างไรเสียเซียวเซิงก็ไม่ใช่เพียงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายที่หาได้ทั่วๆ ไป ทว่าเขาเป็นถึงอัจฉริยะที่ข้ามขั้นเอาชนะคู่ต่อสู้ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ในตอนที่เขายังอยู่ในขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นเท่านั้น!
การประมือกับเฉาหยวนหลงที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ พลังความสามารถของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างไรขอยังไม่เอ่ยถึง ทว่าแค่คำพูดเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอก็ถึงกับทำให้เฉาหยวนหลงไม่กล้าที่จะใช้อาวุธอีก
หากให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสองประลองกันด้วยมือเปล่า พวกเขาย่อมต้องพึ่งพาวรยุทธ์ของตนเอง ทว่าหากให้ใช้อาวุธ ถึงแม้เฉาหยวนหลงจะเป็นอัจฉริยะสืบทอดสายตรงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่จะเทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอที่มีบิดาที่มีตำแหน่งสูงในเขากว่างเฉิงได้อย่างไร?
ทว่าเซียวเซิงกลับต่างออกไป เพราะเขาเหมือนเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ มีของล้ำค่าทั้งตัว
ของล้ำค่าของทั้งสองฝ่ายต่างสกัดยั้งซึ่งกันและกัน แต่เขากลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอเอาชนะข้ามขั้น ทั้งๆ ที่ความต่างชั้นของระดับวรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่ โดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอที่ไม่สนใจระยะห่างของระดับวรยุทธ์ คิดอยากจะบรรลุจากขั้นจิตราชั้นนอกระยะแรก สู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางก็ทำได้ตามใจชอบ
ตั้งแต่ที่เขาอยู่ในขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายครั้งปรากฏตัวที่หุบเหวปราการมังกรก่อนหน้านี้ จนบรรลุขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางในตอนนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นจนเหลือเชื่อ
เยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นเช่นนี้ ประหนึ่งกับภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง
ร่างของเยี่ยนจ้าวเกอตกลงมาจากกลางอากาศ ทว่าเขาสะบัดมือขวาครั้งหนึ่งอย่างไม่ลัง ปล่อยให้กระยี่วิญญาณมังกรมรกตพุ่งเข้าหาเซียวเซิงโดยตรง!
เซียวเซิงกัดฟันแน่น พลางขับเคลื่อนกงจักรเพลิงสุริยะ ต้านกระบี่วิญญาณมังกรมรกตเอาไว้
อาวุธวิญญาณทั้งสองชิ้นก็พลันปะทะเข้าหากันทันที
เยี่ยนจ้าวเกอมองเซียวเซิง ยิ้มพลางกล่าวว่า “ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย เจ้าอย่าเอาแต่หนีสิ”
สิ้นคำพูด ชายหนุ่มก็กระทืบเท้าอีกครั้ง พุ่งทะยานขึ้นไปหาเซียวเซิงอีกครั้ง ระยะห่างกว่าร้อยลี้หดสั้นลงในพริบตาเดียว!
เซียวเซิงถลึงตามองอีกฝ่าย ดวงตาเบิกกว้างจนแทบหลุดออกจากเบ้า ท้ายที่สุดเขาก็ตะโกนด้วยความหงุดหงิด ตะโกนบอกกับศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ว่า “หนีไป!”
ทุกคนสะดุ้งเฮือก ก่อนจะมองเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวเซิงด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและรู้สึกเจ็บใจ แล้วรีบประคองเฉาหยวนหลงที่สิ้นสติไปก่อนหน้านี้ถอยออกจากหุบเขา
เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ขัดขวางพวกเขา เพียงแต่จ้องมองเซียวเซิง พลางโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เซียวเซิงใช้วิชาสุริยันทะยานบูรพาด้วยความคับข้องใจ ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อโจมตี แต่เพื่อหลบเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วลอบหนีไปเท่านั้น
ถึงแม้ว่าในใจจะเหมือนกับมีโลหิตซึมออกมา ด้วยไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว เซียวเซิงเองก็ตระหนักดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเยี่ยนจ้าวเกอ!
เขาที่เป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราขั้นนอกระยะท้าย กลับสู้เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางไม่ได้!
เซียวเซิงอาศัยพลังการลอยตัวของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย และความรวดเร็วของวิชาสุริยันทะยานบูรพา หลบการโจมตีของเยี่ยนจ้าวเกอไปได้อย่างหวุดหวิด
ทว่าปราณจิตราที่ส่งไปถึง ทำเอาหนวดเคราทั้งแผงบนใบหน้าของเซียวเซิงแตกกระจายออกทันที
เซียวเซิงนิ่งอึ้ง ใบหน้าพลันแดงก่ำดุจโลหิตอย่างรวดเร็ว อารมณ์ขาดสะบั้น และไม่อาจคงเสียงสุขุมเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาแผดเสียงแหลมด้วยความโกรธแค้นออกมา
เยี่ยนจ้าวเกอที่เห็นเช่นนั้นก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน
หนวดเคราของเซียวเซิงไม่ได้ถูกตัดจนขาด ทว่ากลับหลุดออกมาทั้งแผง ผิวหน้าใต้คางเนียนเรียบ แม้แต่โคนหนวดก็มองไม่เห็น
เมื่อไม่มีหนวดเคราแล้ว รูปลักษณ์ของเซียวเซิงก็ผสานเข้ากับภาพในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง นับเป็นชายหนุ่มรูปงามอีกคนหนึ่ง!
ทว่าเมื่อรวมเข้ากับเสียงอันแหลมสูงในตอนนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเซียวเซิงก็ดูนุ่มนวล ต่างจากผู้ชายปกติลิบลับ!
เซียวเซิงถลึงตามองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ทั้งอับอายทั้งโกรธ แล้วจึงมองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น สุดท้ายเขาก็หมุนตัวก้าวออกไป
มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกขึ้นเบาๆ แล้วหันกลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง
“เจ้าบอกว่าตอนนั้นทำเขาบาดเจ็บสาหัส ตกลงไปทำเขาบาดเจ็บที่ไหนหรือ?”
เฟิงอวิ๋นเซิงกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับความโกรธแค้นของเซียวเซิง เอาแต่จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอตลอดเวลา
แม้ว่าขณะนี้นางจะบาดเจ็บสาหัส พลังความสามารถมีเพียงแค่ระดับหลอมกายเท่านั้น ทว่าประสบการณ์ความรู้ยังคงอยู่
แต่เพราะมีความรู้ จึงยังทึ่งกับทุกสิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมา
จนกระทั่งเยี่ยนจ้าวเกอหันกลับมาเอ่ยถามนาง ปากของนางก็ยังคงอ้าค้างอยู่เล็กน้อย เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิงจึงหลุดออกจากภวังค์ กล่าวด้วยใบหน้าผ่อนคลาย “ตอนนั้นน้องชายของเขาไม่ทำกฎระเบียบ คิดจะทำมิดีมิร้ายข้า ข้าก็เลยต้องช่วยสั่งสอน ‘น้องชาย’ ของเขาสักหน่อย”
“…เจ้าใช้ได้เลย” เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก จู่ๆ ก็พลันรู้สึกเย็นวูบวาบระหว่างขา
ได้ยินมาว่าท่านตาของเซียวเซิงมีมารดาของเขาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เมื่อถึงรุ่นของเขาก็มีแค่เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวเช่นกัน
ฝั่งตระกูลเซียวของบิดาเขา เขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว…
มิน่าเล่าเขาถึงอยากจะรีบฆ่านางให้ตาย เมื่ออาจารย์ปู่ของเขาจากไป สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีใครปกป้องนางแล้ว
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “รุ่งอรุณทั้งสี่ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเซียวเซิงและเฉาหยวนหลงต่างก็มีปัญหาของตัวเอง”
“เฉาหยวนหลงมีนิสัยมุ่งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายและความยากลำบาก แต่กลับชอบทำตัวแปลกแยก มักอยากทำเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนั้นถึงจะแสดงความความสามารถของเขาได้”
“อันที่จริงหากเขายอมทำตามขั้นตอนแต่โดยดี ฝึกฝนวรยุทธ์ดั้งเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันกับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่วิชานอกอย่างเช่นวิชาเข็มทองปราณสุริยันหรือฝ่ามือพันอสรพิษแล้วล่ะก็ ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่และพรสวรรค์ของเขา แม้พลังความสามารถในการรบจริงอาจจะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ความสำเร็จในอนาคตนั้นมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น”
เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหัว “ส่วนเซียวเซิงมีความแน่วแน่ไม่เท่าเฉาหยวนหลง แต่มีความประจักษ์เข้าใจสิ่งต่างๆ เหนือกว่า ทว่าน่าเสียดายที่เขาทะเยอทะยานมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องกิเลสตัณหา เขาไม่สามารถควบคุมเซียวเซิงน้อยได้ มิเช่นนั้นความสำเร็จก็คงจะมากกว่าตอนนี้”
เมื่อกล่าวจนถึงตรงนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงก็ยิ้ม “ข้าก็เลยช่วยเขาจัดการปัญหานี้ให้แทน สองปีมานี้พลังความสามารถเขาเลยก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด”
เยี่ยนจ้าวเกอที่ได้ยินดังนั้นก็กลอกตา “ดูท่าเขายังขาดคัมภีร์ทานตะวันสักเล่มหนึ่ง”
เฟิงอวิ๋นเซิงสะดุ้ง “นั่นคือวรยุทธ์วิชาอะไร ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย”
ชายหนุ่มโบกมือ และไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ทว่าเริ่มตรวจสอบอาวุธที่ยึดมาได้แทน
การต่อสู้กับเซียวเซิงในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันด้วยของล้ำค่ามากมาย
สุดท้ายเซียวเซิงที่ต้องการจะหนี ถูกเยี่ยนจ้าวเกอตัดสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับสมบัติมากมายขาดสะบั้นทั้งหมด
เซียวเซิงเผ่นหนีหางจุกก้นไป แน่นอนว่าไม่ทันได้เก็บของล้ำค่าเหล่านี้คืนไป บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอจึงเก็บพวกมันเข้ากระเป๋าจนหมดสิ้น
ในนั้นมีอาวุธวิเศษระดับกลางสองชิ้น ซึ่งเหมาะให้เยี่ยนจ้าวเกอใช้ในตอนนี้พอดี ทว่าเขาเองก็ไม่ได้ขาดแคลนอาวุธวิเศษระดับกลางอยู่แล้ว
แต่การมีอาวุธวิเศษระดับสูงสักชิ้น นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
ทว่าอาวุธที่ดึงดูดความสนใจของเขาจริงๆ ก็คือ กงจักรเพลิงสุริยะ อาวุธวิญญาณชิ้นนั้น!
มูลค่าของอาวุธชิ้นนี้อยู่คนละระดับกับอาวุธวิเศษโดยสิ้นเชิง
ด้วยฐานะของเยี่ยนจ้าวเกอ เบื้องต้นจึงยังมีอาวุธวิญญาณเพียงชิ้นเดียว นั่นก็คือกระบี่วิญญาณมังกรมรกต
………….