กระเรียนหิมะบินผ่านท้องฟ้า สยายปีก กลายเป็นลำแสง พุ่งออกไปไกลในชั่วพริบตา
เยี่ยนจ้าวเกอที่ยังอยู่ในเงาของกระเรียนหิมะกอดอก พลางเบะปาก ‘ประตูทางเชื่อมเขตแดนตรงนี้ไม่เสถียรยิ่งกว่าทางมหาอำนาจแปดพิภพอีก’
‘ถ้าข้ามองไม่ผิด พวกเราต้องตามหาการสั่นสะเทือนและการย้ายที่ของปราณวิญญาณที่เคลื่อนที่อยู่ในโลกนี้ หากโชคดี คำนวณจากเวลาที่สายรุ้งกางเขนจะคงอยู่ในมหาอำนาจแปดพิภพแล้ว ยังห่างจากวันที่ทางเชื่อมจะปิดอีกสักพักใหญ่ๆ’
ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า “อืม ถ้าหากเวลาของสองโลกไหลด้วยความเร็วเท่ากันล่ะก็”
ขณะที่กระเรียนหิมะบินอยู่ ทุกคนล้วนสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ
หลังจากสวีเฟยมองเฟิงอวิ๋นเซิงกับอิงหลงถูแวบหนึ่ง เขาก็กระซิบกับเยี่ยนจ้าวเกอว่า “จ้าวเกอ ข้าจำได้ว่าในอดีตกระเรียนหิมะเป็นสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสเสวี่ย มารดาของเจ้า”
มุมปากของเยี่ยนจ้าวเกอบิดเบี้ยวเล็กน้อย ตอบอย่างขื่นขม “ขายหน้าจริงๆ ขอไม่ปิดบัง ที่มาในครั้งนี้ ก็เพื่อหาเบาะแสที่มารดาข้าทิ้งไว้ในอดีต”
สวีเฟยส่ายศีรษะ “จะน่าขายหน้าได้อย่างไรกัน เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่ามารดาของเจ้าจะมีความเกี่ยวข้องกับโลกอีกใบหนึ่ง ในอดีตตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสำนัก ข้าเคยเจอมารดาเจ้าครั้งหนึ่ง”
สิ่งที่สวีเฟยคิดเชื่อมโยงกับเรื่องที่จู่ๆ เสวี่ยชูฉิงหายไปจากมหาอำนาจแปดพิภพเป็นเรื่องแรกก็คือ ที่นางมาโลกฝั่งนี้มิใช่เป็นเพราะพบที่นี่โดยบังเอิญ
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เอาเป็นว่า ลองดูว่ากระเรียนหิมะตัวนี้จะบินลงไปที่ใดเถอะ บางทีพวกเราอาจจะได้ข่าวสารที่เกี่ยวกับโลกฝั่งนี้ก็ได้ พวกเราไม่รู้จักที่นี่แม้แต่น้อย ต้องทำความเข้าใจเสียก่อน และรับประกันทางกลับมหาอำนาจแปดพิภพ”
เขานวดขมับด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “ตอนนี้สถานการณ์ของมหาอำนาจแปดพิภพซับซ้อน สงครามพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา มิใช่เวลาสำรวจโลกใหม่ โดยเฉพาะ…”
ครั้นหันไปเห็นเฟิงอวิ๋น เยี่ยนจ้าวเกอก็ขมวดคิ้วมุ่น “…โดยเฉพาะ ศิษย์น้องเฟิงต้องเข้าร่วมการทดสอบแห่งจันทราด้วย”
เฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้มีสีหน้าสงบ เปิดการรับรู้อย่างเต็มที่ ก่อนจะหันไปสบตาเยี่ยนจ้าวเกอ
นางคล้ายกับรู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงส่ายศีรษะเล็กน้อย เป็นการบอกว่าตนไม่เป็นไร
สวีเฟยกล่าว “ดวงตาของเรามืดมิดเมื่ออยู่ที่นี่ อีกทั้งไม่รู้ว่ามียอดฝีมืออาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่ ทำอะไรต้องระมัดระวังให้ดี ประตูทางเชื่องของที่นี่ไม่ได้เสถียรมากนัก ดังนั้นต่อให้มีคนตามจากทางสายรุ้งกางเขน เมื่อมาถึงจุดหมายของโลกด้านนี้ ก็คงจะตอบสนองลำบากไม่ต่างจากพวกเรา”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาได้ ความปั่นป่วนของมิติบดขยี้คนได้ตลอดเวลา ที่พวกเรายังอยู่ดีก็เป็นเพราะกระเรียนหิมะตัวนี้”
ศิษย์พี่สวีเกิดสงสัยขึ้นมา เขาจึงถามว่า “พูดถึงกระเรียนหิมะตัวนี้ ถ้าหากพิธีกรรมเป็นสิ่งที่มารดาเจ้าเหลือไว้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ถึงแม้ในอดีตผู้อาวุโสเสวี่ยจะมีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่น่าจะหลงเหลือพิธีกรรมที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
“บางทีอาจจะเป็นของวิเศษบางอย่างก็ได้” เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ
ตามคำกล่าวของเยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดา ถึงแม้มารดาของตนในตอนนั้นจะเก็บงำประวัติความเป็นมา แต่พลังฝึกปรือของนางน่าจะเป็นของจริง
ด้วยพลังฝึกปรือในตอนนั้นของเสวี่ยชูฉิง มิอาจสร้างพิธีกรรมที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้แน่นอน
ระหว่างที่ทุกคนคุยกัน แสงจากกระเรียนหิมะก็ค่อยๆ สลัวลง พร้อมทั้งทิ้งตัวลงไปเบื้องล่าง
เยี่ยนจ้าวเกอตั้งสติและตั้งใจมองไปด้านล่าง เขาเห็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งจากกลางป่าดึกดำบรรพ์ขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระเรียนหิมะสีโพลนบินเข้าไปในลำแสง ก่อนจะค่อยๆ หายไป ส่วนพวกเยี่ยนจ้าวเกอตกลงในลำแสง
ครั้นก้มหน้ามองลงไป พวกเขาเห็นลวดลายค่ายกลบนพื้นส่องสว่างอยู่หลายสาย ทั้งลี้ลับและซับซ้อน
เฟิงอวิ๋นเซิง สวีเฟย และอาหู่ล้วนอดส่งเสียงร้องอุทานไม่ได้
ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอกลับหดลงเล็กน้อย “วิชาค่ายกลนี้มีลักษณะคล้ายกับก่อนมหาภัยพิบัติอยู่หลายส่วนจริงๆ ด้วย”
มิใช่คนรุ่นใหม่สร้างขึ้นมาโดยอิงจากการศึกษาค้นคว้าซากโบราณสถาน หรือพื้นฐานของคนรุ่นก่อน แต่เป็นวิชาอันสมบูรณ์จากอารยธรรมวรยุทธ์ก่อนมหาภัยพิบัติ ไม่ได้สาปสูญไปเพราะมหาภัยพิบัติ
หลังจากทุกคนลงสู่พื้นดินแล้ว ลำแสงสีขาวที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ค่อยๆ หายไป ลวดลายค่ายกลหลายสายบนพื้นก็เริ่มสลายไปด้วย
ลำแสงสีขาวรวมตัวกันตรงใจกลางลวดลายค่ายกล เยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจมอง เห็นแต่เพียงตรงนั้นเหมือนมีกระจกอยู่บานหนึ่ง
พูดให้ถูกต้องคือ กระจกครึ่งบาน
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงเบื้องหน้ากระจก พบว่าเป็นกระจกทรงกลมแบบโบราณ ทว่าถูกแบ่งครึ่งตรงกลาง มีเพียงแค่ครึ่งบาน ไม่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งไปอยู่ตรงไหน
พวกสวีเฟยพิจารณากระจกด้วยความสนใจ ขณะเดียวกันเยี่ยนจ้าวเกอก็หยิบมันขึ้นมา แล้วใส่ญาณจริงแท้ของตนลงไป รับรู้อย่างละเอียดอยู่สักพักหนึ่ง
“กระจกครึ่งบานนี้เป็นจุดศูนย์กลางของพิธีกรรม” ผ่านไปนานทีเดียว เยี่ยนจ้าวเกอถึงค่อยระบายลมหายใจยาว “น่าจะยังมีอีกครึ่งหนึ่ง ไม่ได้สูญหาย แต่ถูกซ่อนอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนโลกใบนี้”
เขาพึมพำในใจ ‘วิชาเคลื่อนที่ผ่านโลกกระจก เป็นวิชาโบราณก่อนมหาภัยพิบัติจริงๆ…’
อาหู่มองกระจกครึ่งบานบนมือเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความสงสัย “คุณชาย ของสิ่งนี้ช่วยเรากลับมหาอำนาจแปดพิภพได้หรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกองอนิ้วดีดกระจกสองครั้ง “ในเวลาอันสั้นยังทำไม่ได้ เพื่อทำให้พิธีกรรมเมื่อครู่สำเร็จ พลังงานที่สั่งสมอยู่ในกระจกครึ่งบานนี้ได้หมดลงแล้ว จำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นฟู เวลาที่สายรุ้งกางเขนคงอยู่ก็มีจำกัด อาจจะไม่ทันกาลก็เป็นได้”
เฟิงอวิ๋นซือกล่าวพลางครุ่นคิด “ร่องรอยอาจจะอยู่ที่กระจกอีกครึ่งบาน”
เขาดีดนิ้ว “ถูกต้อง เมื่อมีกระจกอีกครึ่งบาน พวกเราน่าจะตามหาประตูทางเชื่อมเขตแดนซึ่งเคลื่อนที่ตามแกนวิญญาณของที่นี่ได้ง่าย และเมื่อกระจกทั้งสองรวมกันแล้ว ก็อาจจะเกิดผลลัพธ์อื่นก็”ด้”
สวีเฟยกวาดสายตาไปรอบๆ กระซิบกับเยี่ยนจ้าวเกอว่า “ถ้าหากพิธีกรรมของที่นี่เป็นผู้อาวุโสเสวี่ยสร้างไว้ เพื่อให้เจ้าหรือไม่ก็อาจารย์ลุงเจ้าสำนักมา เช่นนั้นน่าจะมีข้อความทิ้งไว้กระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บกระจก แล้วกวาดสายตาพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ เช่นกัน “ข้าก็คิดเช่นนั้น…”
กระนั้นพวกเขาตามหาอยู่นานแล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยใด ทำให้เยี่ยนจ้าวเกออดรู้สึกคับข้องใจไม่ได้
สวีเฟยจนปัญญาเช่นกัน “ดูเหมือนจะไม่มี บางทีอาจถูกคนพบแล้วโดนชิงไปก็ได้”
ชายหนุ่มลูบคาง “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คิดวิธีตามหากระจกอีกครึ่งบาน เพื่อรับประกันว่าพวกเราจะได้กลับมหาอำนาจแปดพิภพได้ทันก่อนเถอะ”
อีกฝ่ายเอ่ยต่อ “ตอนแรกหวังว่าผู้อาวุโสเสวี่ยจะทิ้งข้อความเพื่อให้พวกเรารู้สถานการณ์คร่าวๆ ของที่นี่ ตอนนี้ได้แต่ต้องค่อยๆ คลำทางกันแล้ว
“ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ในโลกใบนี้เป็นอย่างไร มีคนแบบไหน”
เยี่ยนจ้าวเกอมองด้านล่าง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกเดี๋ยวจะมีคนมาตอบคำถามของพวกเราแล้ว”
“ลำแสงที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าเมื่อครู่ ต่อให้อยู่ไกลก็ยังเห็นได้ชัด ต้องดึงดูดความสนใจของผู้อื่นแน่นอน ตอนที่กระเรียนหิมะพาพวกเรามา ข้ารู้สึกแล้วว่าไกลออกไปมีคนอยู่ด้วย”
พูดจบได้ไม่ทันไร สีหน้าของพวกเยี่ยนจ้าวเกอก็ตื่นเต้นขึ้นมา ด้วยรู้สึกได้ว่ามีคนเข้าใกล้