วรยุทธ์ความสามารถของท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออก และแรงกดดันไร้รูปร่างที่สร้างให้กับผู้คนรอบข้าง แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เหยียนซวี่จะเทียบได้
สีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นปกติ หลังจากคำนับท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออก ก็มองเฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสขอรับ นี่ก็คือคนที่ข้าเคยพูดกับท่าน”
“นามเดิมคือเฟิงมู่เกอ ปัจจุบันนามว่าเฟิงอวิ๋นเซิงขอรับ”
เมื่อได้ยิน ‘เฟิงมู่เกอ’ สามคำนี้ ท่านผู้อาวุโสเกาะตะวันออกก็ผงกศีรษะเล็กน้อย ด้วยระดับตำแหน่งของเขา ย่อมต้องล่วงรู้เรื่องราวมากมายทีเดียว
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็แนะนำให้กับเฟิงอวิ๋นเซิงว่า “ศิษย์น้องเฟิง ท่านผู้นี้ก็คือท่านผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งเกาะนภาตะวันออกของสำนักเรา”
เฟิงอวิ๋นเซิงทำความเคารพอย่างมีมารยาท ไม่ปรากฏความบกพร่องเลยแม้แต่น้อย “ข้าน้อยเฟิงอวิ๋นเซิง เคารพท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
สถานการณ์แบบไหนควรมีกิริยาท่าทางอย่างไร ความแตกต่างระหว่างท่าทีง่ายๆ สบายๆ กับไร้มารยาท เฟิงอวิ๋นเซิงเข้าใจแจ่มชัดดี
ด้วยชาติกำเนิดและประสบการณ์ของนาง แน่นอนว่าต้องรู้จักชายชราร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว บุคคลที่เป็นอาวุโสระดับหนึ่งแห่งเขากว่างเฉิง ผู้คุมการณ์เกาะนภาตะวันออกทั้งหมด
ในระบอบการปกครองกฎระเบียบภายในเขากว่างเฉิงมีตำแหน่ง ผู้อาวุโสระดับหนึ่ง ผู้อาวุโสคุมการณ์ และผู้อาวุโสกิจปฏิบัติ
วรยุทธ์และอำนาจอาจไม่เทียบเท่า ทว่าตำแหน่งฐานะของผู้อาวุโสฉินท่านนี้ อยู่ในระดับเดียวกันกับเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ เพียงแค่พื้นที่ปกครองแตกต่างกัน คนหนึ่งอยู่ภายนอก คนหนึ่งอยู่ภายใน
ตามหลักแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินเกาะนภาตะวันออก ผู้อาวุโสฉินล้วนสามารถจัดการเองได้ทั้งหมด
ถึงกระนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับเฟิงอวิ๋นเซิงในครั้งนี้ส่งผลกระทบมากเกินไป ดังนั้นผู้อาวุโสฉินจึงไม่สามารถถือความเห็นตนเองเพียงฝ่ายเดียวได้
อีกทั้งสำนักเขากว่างเฉิงได้ส่งคนมาเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ผู้อาวุโสฉินที่เดินทางมาถังตะวันออกโดยเฉพาะ ก็เพื่อสืบหาความจริงก่อน
ทว่าหากด่านของท่านผู้อาวุโสฉินยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีคำพูดใดสามารถกล่าวต่อไปได้อีก
เยี่ยนจ้าวเกอมองไปยังผู้อาวุโสฉิน ชายชราผู้นี้เป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนัก เป็นคนรุ่นเดียวกันกับเจ้าสำนักรุ่นก่อน อีกทั้งระหว่างบิดาเยี่ยนตี๋และอาจารย์ลุงรอง เขาก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอมา
ไม่ต้องหวังว่าจะได้รับการดูแล แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกให้ร้ายเหมือนอย่างเหยียนซวี่
ทุกอย่างล้วนยึดความจริงเป็นมาตรฐาน และถือเอาผลประโยชน์โดยรวมของเขากว่างเฉิงเป็นสำคัญ
“ท่านผู้อาวุโสฉินขอรับ อย่างที่ข้าเคยรายงานท่านตั้งแต่แรกว่าศิษย์น้องเฟิงผู้นี้เป็นศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ทว่าบัดนี้นางหันหลังออกจากสำนักแล้ว และหวังเข้าพึ่งใต้ร่มสำนักเขากว่างเฉิงของเรา”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยความใจเย็น ไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า
ผู้อาวุโสฉินฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ส่วนเหยียนซวี่ก็ไม่ได้พูดแทรก เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีทางไม่รู้ว่า หากเขากว่างเฉิงยอมรับลูกศิษย์ที่ทรยศสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังพาเฟิงอวิ๋นเซิงกลับมา ผู้อาวุโสฉินเองไม่ได้คัดค้านตั้งแต่ต้น อีกทั้งเรื่องก็ไปถึงสำนักแล้ว นั่นก็แสดงว่าต้องมีสถานการณ์ที่พิเศษมากกว่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านผู้อาวุโสคงจะทราบถึงรายงานในตอนที่สืบเสาะจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มาได้ ซึ่งได้กล่าวถึงนามนามหนึ่งคือ เฟิงมู่เกอ”
“ภายหลังด้วยการปรากฏตัวขึ้นอย่างโดดเด่นของเมิ่งหว่าน จึงถูกคิดว่ารายงานนั้นเป็นข่าวเท็จ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่”
“เฟิงมู่เกอมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งก็คือศิษย์น้องเฟิงที่อยู่ด้านหลังข้าคนนี้ขอรับ”
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นอกจากผู้อาวุโสฉินและเหยียนซวี่แล้ว ก็เป็นบุคคลสำคัญของเขากว่างเฉิงที่อยู่ในเกาะนภาตะวันออก
นอกจากผู้อาวุโสฉินที่ทราบเรื่องราวตั้งแต่แรกแล้ว เหยียนซวี่และคนอื่นๆ เมื่อได้ยิน ‘สตรีจันทรา’ สี่คำนี้ ดวงตาก็พลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที
ตามหาทั่วทั้งห้าเกาะอันกว้างใหญ่ไพศาลมานานหลายปี แต่ก็ไม่พบสตรีจันทราเลยสักคน
กระทั่งเขากว่างเฉิงถึงขั้นแอบส่งคนไปตามหาที่ชายแดนของเมืองอื่น หวังว่าจะพบเจอบ้าง ทว่าก็ยังคงไม่ได้อะไรกลับมา
การทดสอบแห่งจันทราเมื่อสองปีก่อน เขากว่างเฉิงก็เป็นได้แค่เพียงผู้นั่งชมอยู่ทุกครั้ง มองดูดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นแย่งชิงมงกุฎแห่งจันทราไปต่อหน้าต่อตา ย่อมรู้สึกจำใจและโมโหเป็นธรรมดา
หากเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นสตรีจันทราจริง เช่นนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขากว่างเฉิงก็ต้องเก็บนางเอาไว้แน่
ผู้อาวุโสฉินพยักหน้าก่อน จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ในจดหมายของเจ้าก่อนหน้านี้ กล่าวเพียงว่าจันทรากายของสหายเฟิงผู้นี้ได้รับความเสียหาย แต่กลับไม่ได้บอกว่าเสียหายถึงขั้นไหน”
“การบ่มเพาะสตรีจันทราต้องทุ่มทรัพยากรมิใช่น้อย แต่ด้วยศักยภาพของสำนักศักดิ์สุริยัน แม้ว่าจะมีเมิ่งหว่านอยู่แล้ว การบ่มเพาะสตรีจันทราทั้งสองคนก็ยังคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“สตรีจันทราหนีออกจากสำนักทั้งคนย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยปละละเลยเช่นนี้แน่”
“นอกเสียจากว่าจันทรากายของสหายเฟิงจะสูญเสียไปแล้วอย่างสิ้นเชิง”
น้ำเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอราบเรียบไม่สูงขึ้นต่ำลงแต่อย่างใด ตอบตามความจริงว่า “ในตอนนี้ เป็นเช่นนั้นไม่ผิดขอรับ”
คิ้วของผู้อาวุโสฉินขมวดเล็กน้อย พลางมองดูเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง
ทันใดนั้นเหยียนซวี่ก็เปิดปากพูดช้าๆ ว่า “ต่อให้เป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็คงไม่ยอมเสียสตรีจันทรามาเป็นหนอนบ่อนไส้หรอก”
“แต่ถ้าหากเป็นศิษย์ธรรมดาที่สูญเสียจันทรากายไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกับเหยียนซวี่หรือไม่ เมื่อได้ยินดังนี้ต่างก็พากันขมวดคิ้ว มองเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริงๆ
หากจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงสมบูรณ์ดี นั่นคงไม่ต้องกล่าวอะไรต่อ เขากว่างเฉิงจะรับนางเอาไว้ในทันที ทั้งยิ่งเป็นความดีความชอบของเยี่ยนจ้าวเกอ นับเป็นผลงานชิ้นใหญ่อย่างยิ่ง
ทว่าหากเฟิงอวิ๋นเซิงสูญเสียจันทรากายไปแล้ว เช่นนั้นเขากว่างเฉิงจะยังรับนางเอาไว้อยู่หรือไม่ ก็คงต้องพิจารณาให้ดีอีกครั้ง
การรับเอาศิษย์ทรยศสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงที่เดิมทีก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว การกระทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์ศัตรูยกระดับขึ้นอีกขั้น
เยี่ยนจ้าวเกอที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ก็ต้องแบกรับชื่อเสียงความมักง่ายบ้าบิ่นไว้ การสร้างปัญหาข้างนอกทำให้สำนักต้องแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น
และถ้าหากเฟิงอวิ๋นเซิงเป็นหนอนบ่อนไส้ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ส่งมา แล้วเขากว่างเฉิงรับนางเอาไว้ ภายหลังเกิดปัญหาขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็จะเป็นผู้กระทำผิดใหญ่หลวง
สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ศิษย์น้องเฟิงถูกศิษย์ร่วมสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ข่มเหงรังแก โดยที่ผู้อาวุโสภายในสำนักก็ไม่สามารถให้ความยุติธรรมแก่นางได้ ถึงขั้นจะพลิกขาวเป็นดำเพื่อสังหารนาง”
“อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาที่คอยดูแลนางเพียงหนึ่งเดียว เมื่อไม่นานมานี้ได้หายสาบสูญไปในทะเลตะวันออกตอนที่ปะทะกับปีศาจอัคคี หลังจากที่ทราบข่าว นางที่หลบหนีมานานนับสองปี จึงทรยศหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังฆ่าลูกศิษย์ร่วมสำนักไปแล้วถึงสามคน”
เยี่ยนจ้าวเกอมองทุกคน “สองปีก่อนที่นางจะหลบหนีออกจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นเพราะนางทำร้ายเซียวเซิงจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นเซียวเซิงก็นำคนออกตามไล่ล่านางมาโดยตลอด”
เหยียนซวี่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่ยอมเสียสละชีวิตศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสามคน ถ้านางเป็นตัวล่อให้เราติดกับเล่า?”
ชายหนุ่มยิ้มครั้งหนึ่ง “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็แค่ไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ จะยอมให้หลานชายที่เป็นผู้สืบทอดเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียวของตนเป็นขันทีตลอดไปเสียตั้งแต่บัดนี้หรือไม่”
ทั่วทั้งโถงเงียบสงัดในชั่วพริบตา
เหยียนซวี่ชะงักงันไปเช่นกัน ผู้อาวุโสฉินขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าหมายถึง…”
เยี่ยนจ้าวเกอหน้าตาจริงจัง “ตอนนั้น เซียวเซิงถูกศิษย์น้องเฟิงทำร้ายช่วงล่าง…เอ่อ กล่าวอีกแง่ก็คือเขาใช้การไม่ได้แล้ว”
เฟิงอวิ๋นเซิงก็มีท่าทีจริงจังเช่นกัน พร้อมทั้งโค้งตัวลงคำนับครั้งหนึ่ง “ตอนนั้นข้าอยู่ในเหตุการณ์ขับขันจึงเกิดพลั้งมือไป แม้ว่าเซียวเซิงจะสมควรได้รับกรรมตามสนอง แต่ก็เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียหูตานัก ขอความกรุณาท่านผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าได้ตำหนิข้าเลยเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดว่า “ข้าปกป้องนาง ครั้งที่สองที่ประมือกับเซียวเซิง ก็ได้พิสูจน์ตรงจุดนี้แล้วขอรับ”
“แน่นอน ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเรื่องอื่นเซียวเซิงจึงถูกทำให้เสื่อม…โอไม่สิขอรับ ไม่สามารถใช้สืบเชื้อสายต่อไปได้ จากนั้นสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงใช้ประโยชน์จากของที่ไม่ได้การ มาสร้างเรื่องราวเล่านิทาน”
“ฉะนั้นหากศิษย์น้องเฟิงเข้าสู่สำนักของเรา การสอบสวนในภายหลังก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ดูจากโดยรวมแล้ว ข้าคิดว่าคำบอกเล่าของศิษย์น้องเฟิงสามารถเชื่อถือได้ขอรับ”
มุมปากของเหยียนซวี่พลันกระตุก เปล่งเสียงฮึดฮัดออกมาครั้งหนึ่ง ทว่าไม่เซ้าซี้กับคำถามก่อนหน้านี้อีก เขากล่าวว่า “จันทรากายของนางไม่สูญเสียเมื่อไรค่อยว่ากันเถอะ”
ผู้อาวุโสฉินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขากว่างเฉิงจะตัดสินอย่างไร จุดนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
…………..
Related