เขามังกรเขียวอยู่ในอาณาจักรตะวันตก เป็นแนวเขาขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายออกไปมากกว่าหมื่นลี้
แนวเขามียอดเขาสูงสุดชื่อว่ายอดเขามังกร ตั้งอยู่ที่ตีนเขาทิศใต้ของแนวเขามังกรเขียว และเป็นที่อยู่ของสำนักเขามังกรเขียว หนึ่งในสี่สำนักที่ของโลกลอยน้ำ
ถึงแม้เขามังกรเขียวจะอยู่ห่างจากภูเขาหิมะสะพานหยก แต่ว่าด้วยความรวดเร็วของพวกซูอวิ๋น ก็ยังมาถึงอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่คนในสำนักเขามังกรเขียวเห็นซูอวิ๋น ต่างก็พากันขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าสำนักซู แขกอีกท่านเล่า” ผู้ต้อนรับเป็นชายชรา สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนเสื้อปักลายมังกร เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเขามังกรเขียว
ซูอวิ๋นไม่ตอบ “เจ้าสำนักหลัวเล่า”
ชายชราในเสื้อคลุมสีเขียวขมวดคิ้ว แต่ยังคงตอบคำถาม “เจ้าสำนักอยู่ในตำหนักใหญ่ เพียงแต่…”
นางกล่าวเพียงว่า “หากเจอเจ้าสำนักหลัว ข้าจะบอกเอง ผู้อาวุโสถงมาด้วยกันเถอะ”
ผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมสีเขียวแซ่ถงผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพาซูอวิ๋นไปยังยอดเขามังกรด้วยกัน
เมื่อไปถึงบนยอดเขามังกร และเข้าไปในตำหนักอภิปรายของสำนักเขามังกรเขียว เห็นบุรุษวัยกลางคนที่ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามผู้หนึ่งนั่งอยู่ รอบๆ ตัวขานั่งไว้ด้วยคนหลายกลุ่ม
ซูอวิ๋นกวาดสายตามองแวบหนึ่ง พบว่ายอดฝีมือระดับสูงและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของเขามังกรเขียวล้วนอยู่ที่นี่
บุรุษวัยกลางคนที่นั่งอยู่ก็คือเจ้าสำนักในปัจจุบันของสำนักเขามังกรเขียว หลัวจิ่งฮ่าว เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในหมู่เจ้าสำนักของทั้งสี่สำนัก แต่ว่าพลังฝึกปรือทำให้คนในโลกลอยน้ำไม่กล้าดูถูก
หลัวจิ่งฮ่าวมองผู้อาวุโสถงกับซูอวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกันอย่างสงบ
ที่ด้านข้างเขา ผู้อาวุโสที่ดูมีกำลังวังชาผู้หนึ่งเอ่ยถาม น้ำเสียงดุจระฆังใหญ่ “เจ้าสำนักซู เหตุใดจึงมีแค่ท่าน ข้าจำได้ว่า แขกที่สำนักเราเชิญไม่ได้มีเพียงท่านเท่านั้น”
ซูอวิ๋นอธิบายอย่างเรียบเฉย “นายน้อยของข้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงคิดพักผ่อนก่อน ขออภัยเจ้าสำนักหลัวและผู้อาวุโสทุกท่านด้วย”
เมื่อได้ยินคำเรียกหาที่เยี่ยซูอวิ๋นใช้กับเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวต่างมองหน้ากันเอง
เจ้าสำนักหลัวจิ่งฮ่าวมิได้กล่าวอันใด คิ้วของชายชราที่มีกำลังวังชาผู้นั้นพลันขมวดมุ่น แค่นเสียงกล่าวว่า “วางท่ายิ่งนัก!
“หรือคิดว่าการทำลายประเทศฟู่หรานจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมแล้ว”
ชายชราผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา “ขอถามทุกท่านที่อยู่ที่นี่ มีใครทำลายประเทศฟู่หรานไม่ได้บ้าง”
ซูอวิ๋นมีสีหน้าสงบราบเรียบ “ผู้อาวุโสฉีมิอาจกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อเชิญมาเป็นแขก ผู้เป็นแขกย่อมคำนึงถึงน้ำใจของผู้เชิญ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่มา ผู้เป็นแขกยอมรับคำเชิญย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากบังคับให้ผู้อื่นมาเป็นแขก เช่นนั้นเรื่องนี้ย่อมไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ผู้อาวุโสฉีแค่นหัวเราะเหอะๆ “ผู้เป็นแขกย่อมมีสำนึกของผู้เป็นแขก เจ้าสำนักซูอย่าได้ลืมไป ดินแดนตก รวมถึงภูเขาหิมะสะพานหยกเป็นถิ่นของเราสำนักเขามังกรเขียว”
“สถานที่อื่นบนโลกลอยน้ำมีท่าทีต่อจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนลมปราณอย่างพวกท่านอย่างไร เจ้าสำนักซูย่อมทราบดี โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล มีสักกี่ที่ที่ยอมให้พวกท่านอยู่”
ซูอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วอย่างไร ผู้อาวุโสฉีคิดจะไล่สำนักกระเรียนหิมะของข้าออกจากดินแนตะวันตกหรือ”
ผู้อาวุโสถงยกมืดขึ้นปรามผู้อาวุโสฉี ก่อนจะถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักซูกล่าวนหนักไปแล้ว ศิษย์พี่ฉีมิได้หมายความเช่นนั้น”
นางกล่าวอย่างราบเรียบ “ถึงจะหมายความเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
ผู้อาวุโสฉีเอ่ยอย่างเย็นชา “ไร้สาระยิ่ง ก่อเรื่องที่ถิ่นของสำนักเมฆาโลหิต แล้วมุ่งหน้ามาทางตะวันตก หนีมายังถิ่นของสำนักเรา”
“ถ้าไม่ได้อาศัยบารีมีของสำนักเราในการข่มขวัญสำนักเมฆาโลหิต กลับไม่ทราบว่านายน้อยที่ท่านเรียก จะยังทำตัวไร้สาระเหมือนตอนนี้ได้อยู่หรือไม่”
“ขอแจ้งเจ้าสำนักซูให้ทราบถึงเรื่องหนึ่ง เจ้าสำนักเมฆาโลหิตหลู่หมิงได้ออกจากสำนัก พายอดฝีมือในสำนักมาที่ดินแดนตะวันตกด้วยตัวเองแล้ว”
สีหน้าของซูอวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย “แล้วความต้องการของผู้อาวุโสฉีเล่า สำนักเมฆาโลหิตต้องการคน สำนักท่านก็คิดจะมอบคนให้พวกเขาหรือ”
ในที่สุดครั้งนี้เจ้าสำนักเขามังกรเขียว หลัวจิ่งฮ่าวถึงเอ่ยปาก “ศิษย์น้องซู มิจำเป็นต้องใช้การยั่วยุหรอก สำนักของข้ากับสำนักเมฆาโลหิตไม่ได้สู้กันมาแค่หนึ่งหรือสองปี ไม่มีใครกลัวใครทั้งสิ้น
“แต่หลู่หมิงออกจากสำนักด้วยตัวเอง หมายความว่าเรื่องนี้ไม่อาจเลิกราได้”
“สำนักเราไม่กลัวการต่อสู้กับสำนักเมฆาโลหิต แต่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับสำนักเมฆาโลหิต ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักเพราะคนที่ไม่รู้จัก คนที่ต้องหลั่งเลือดและตายคือคนของสำนักเรา”
เขามองซูอวิ๋นอย่างเรียบเฉย “ถ้าหากเป็นท่าน เป็นเฉินนั่ว เมื่อสำนักกระเรียนหิมะล่วงเกินสำนักเมฆาโลหิต เช่นนั้นข้าก็ไม่ลังเลเลย ในเมื่อขุมกำลังทั้งหมดในดินแดนตะวันตกยกให้สำนักเราเป็นผู้ปกครอง ข้าย่อมไม่ให้ใครแตะต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างสำนักเรากับสำนักเมฆาโลหิตมีความแค้นกันอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่สู้กันครั้งหนึ่ง”
“ตามที่ข้าทราบ คนที่ก่อเรื่องในครั้งนี้มิใช่คนในสำนักกระเรียนหิมะของท่าน”
หลัวจิ่งฮ่าวน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน “ไม่ว่าท่านจะเรียกเขาว่าอย่างไร ก็เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่า นั่นเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักเราไม่ได้”
ซูอวิ๋นมองหลัวจิ่งฮ่าว พยักหน้าเล็กน้อย “หากพิจารณาโดยไม่ใช้อารมณ์ ความคิดของพวกท่านใช้ว่าจะไร้เหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหลัวหรือผู้อาวุโสฉี รวมถึงผู้อาวุโสท่านอื่นที่อยู่ที่นี่ ล้วนต้องมองปัญหาตามข้อดีและข้อเสียของสำนักเขามังกรเขียวเสียก่อน”
“เพียงแต่วิธีที่ท่านมองปัญหา ออกจะตื้นเขินไปบ้างหรือไม่”
นางเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าบอกชัดแล้วว่านายน้อยเป็นบุตรของนายหญิง ความสามารถของข้าล้วนมาจากการสั่งสอนของนายหญิง นายหญิงเป็นบุคคลระดับไหน ทุกท่านล้วนคิดเองได้”
“เมื่อเกี่ยวโยงกันเช่นนี้ ยังไม่มีค่าพอสำหรับเขามังกรเขียวอีกหรือ? แต่ไหนแต่ไรนายหญิงของข้าแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน แม้ตอนนี้นายหญิงของข้าจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่เมื่อนายน้อยปรากฏตัวขึ้นมา ก็ตอบคำถามมากมายได้อย่างชัดเจน”
หลัวจิ่งฮ่าวได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ “อาจารย์ของกระเรียนหยก เป็นยอดฝีมือจากต่างโลกในตำนาน ข้านับถือมานาน การได้เกี่ยวข้องกันย่อมเป็นเรื่องประเสริฐ”
“แต่ไม่ว่าในตอนนั้นท่านอาจารย์จะหยิ่งยโสก็ดี หรือไร้พลังก็ดี แต่สุดท้ายนอกจากเจ้าสำนักซูท่านแล้ว นางก็ไม่ได้เหลือร่องรอยอะไรไว้ในโลกนี้เลย”
ซูอวิ๋นได้ยินดังนั้น สายตาคมพลันกริบขึ้นหลายส่วน
หลัวจิ่งฮ่าวยังมีสีหน้าใจเย็นเหมือนเก่า เขาเอ่ยเรียบๆ “ผู้สืบทอดสำนักของท่านศิษย์อาจารย์ล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝึกลมปราณ ตามความเป็นจริง ในหลายปีมานี้ถึงแม้ทั่วทั้งสำนักเขามังกรเขียวของข้าจะใช่ว่ามิได้รับประโยชน์อันใดจากการช่วยเหลือของเจ้าสำนักซู ทว่าพวกเราก็เป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจ และโลกลอยน้ำก็เป็นโลกของจอมยุทธ์เลือดปีศาจ”
“คำพูดของเจ้าสำนักหลัวมีความนัย โปรดชี้แจงด้วย” ซูอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจ้าสำนักฉีที่อยู่ด้านข้างหลัวจิ่งฮ่าวยามนี่สงบจิตใจลงแล้ว เอ่ยปากขึ้นว่า “ปี่เซียะภูเขาตัวนั้น”
ซูอวิ๋นได้ยินดังนั้น สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ผู้อาวุโสถงกล่าว “เจ้าสำนักซูอย่าเข้าใจผิด สำนักของเราไม่ได้ต้องการให้ปี่เซียะภูเขาเปลี่ยนเจ้าของ แต่ขอให้ท่านมอบเลือดของปี่ภูเขาให้สักเล็กน้อย เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องยากอันใด”
ผู้อาวุโสฉีอธิบายอย่างเฉยชา “ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักซูพูดว่าไม่มีผู้ใดบังคับให้คนอื่นมาเป็นแขกได้ ข้าลองพิจารณาอย่างละเอียดดูแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงดังนั้น แต่ในทางกลับกัน นายน้อยของท่านก็ไม่ได้จะบังคับให้พวกเราช่วยเหลือกระมัง”
ซูอวิ๋นสีหน้าไร้อารมณ์ “คำพูดนี้ย่อมถูกต้อง เพียงแต่ไม่ทราบว่า ถ้านายน้อยของข้าไม่ตบปากรับคำ ทางสำนักจะละทิ้งความแค้นเก่าก่อนกับสำนักเมฆาโลหิตชั่วคราว และร่วมมือกันหรือไม่”
หลัวจิ่งฮ่าวตอบอย่างราบเรียบและแน่วแน่ “ไม่เด็ดขาด”
“หมายความว่าจะยืนดูอยู่บนกำแพง[1]กระมัง?” ซูอวิ๋นพลันยิ้มขึ้น “ถึงแม้จะเสียดายประโยชน์ที่ได้จากชินเจีย แต่ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลว”
พวกหลัวจิ่งฮ่าวได้ยินต่างขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเหตุผล
ครั้งนี้พลันมีคนมาแจ้งข่าว “ท่านเจ้าสำนัก เจ้าสำนักเมฆาโลหิตหลู่หมิงมายังดินแดนตะวันตก ผู้อาวุโสที่ไปเจรจาก่อนหน้าถูกหลู่หมิงฆ่าตายคาที่”
ทุกคนเกิดความปั่นป่วน ต่างพากันโมโห จากนั้นก็สงสัยว่า ‘เหตุใดสำนักเมฆาโลหิตถึงได้ยโสโอหังเช่นนี้’
สำนักเขามังกรเขียวไม่คิดเปิดสงครามกับสำนักเมฆาโลหิตโดยง่าย ทว่าตามปกติแล้ว สำนักเมฆาโลหิตไหนเลยไม่เป็นเช่นนี้?
หลังจากนั้นก็มีคนมารายงานต่อ “ทางเหนือและทางตะวันออกพบการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของสำนักเพลิงโหมและสำนักอัสนีคำรน คล้ายกับมียอดฝีมือจำนวนมากออกจากสำนักมุ่งหน้ามาทางดินแดนตะวันตกของเรา!”
สำนักเพลิงโหมกับสำนักอัสนีคำรนเป็นสองสำนักใหญ่ ที่ได้รับการขนามนามว่าเป็นสองในสี่สำนักเคียงคู่สำนักเมฆาโลหิตและสำนักเขามังกรเขียว
ความสงสัยก่อนหน้าได้รับคำตอบแล้ว ทว่าจิตใจของทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวเคร่งขรึมมากกว่าเดิม
……………………………………….
[1] ยืนดูอยู่บนกำแพง สุภาษิตจีน หมายถึง ทำตัวไม่เกี่ยวข้องในการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย