หลังจากฟู่เอินซูแยกกับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว นางก็มุ่งไปทางตะวันตกเพื่อกลับสำนัก
แต่ว่าในตอนนี้นางข้ามปฐพีพิภพมาถึงเกาะนภาตะวันออกที่อยู่สุดทิศตะวันออกของนภาพิภพ และติดต่อกับเส้นสายจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่อยู่ที่นี่ กลับได้รับข่าวที่ทำให้นางตกตะลึง
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเหนือ บุกสำนักเขากว่างเฉิงที่เกาะนภากลาง
ในใจของฟู่เอินซูเกิดความรู้สึกอัปมงคลขึ้น
ในตอนนี้เขาไร้พรมแดนและเมืองทะเลมรกตไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์และจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจเดินทางไกลมาช่วยเหลือนภาพิภพได้
หอคลื่นโหมรักษาความเป็นกลางมาโดยตลอด แต่สถานการณ์เช่นนี้อาจเข้ามายุ่ง ต่อให้เฉินลี่ไม่โดนเยี่ยนจ้าวเกอตามล่า ก็อาจจะถูกหอคลื่นโหมขัดขวาง
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ได้แต่อาศัยพลังของสำนักโจมตีเขากว่างเฉิง ถึงพวกเขาจะครอบครองมงกุฎจันทราและขวานจามสวรรค์ แต่คิดจะเหยียบเขากว่างเฉิงยังไม่อาจทำได้
เสื้อคลุมนภาคุ้มครองฟางจุ่น ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ คงไม่เอาออกมาใช้ต่อสู้กับคนอื่นง่ายๆ
ทว่าเรื่องนี้ ตามเหตุผลแล้ว มีแค่ยอดฝีมือระดับสูงในเขากว่างเฉิงเท่านั้นที่รู้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าจะรู้ได้
เขากว่างเฉิงยังมีจางคุนและเหอหนิง ซึ่งเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมคอยคุ้มครอง มีเสื้อคลุมนภาอยู่ที่สำนัก มีสำนักคอยปกป้องความได้เปรียบด้านชัยภูมิในการต่อสู้ หากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ฝืนมา น่าจะไม่ได้เปรียบเท่าไรนัก
“หรือว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีคนเลื่อนเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าจะมีสตรีแห่งจันทราเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์?”
ฟู่เอินซูครุ่นคิดในใจ รู้สึกหวั่นวิตกอยู่ในที นางคิดถึงการพูดคุยกับเยี่ยนจ้าวเกอบนแปดพิภพ
นางไม่กล้าลังเล มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อไปยังเกาะนภากลาง
ยังไม่ทันกลับถึงสำนัก เพียงเหยียบเขตแดนของเกาะนภากลาง ฟู่เอินซูก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เมื่อจนนางเข้าใกล้เขากว่างเฉิง ก็เห็นแสงหลายสายสว่างขึ้นกลางท้องฟ้า ลวดลายอาคมแผ่กระจายและปกคลุมทั่วท้องฟ้า เป็นสภาพที่ค่ายกลนภาคุ้มภูเขาถูกกระตุ้นถึงขีดสุด
และนอกจากค่ายกลคุ้มภูผาของสำนักตนแล้ว ฟู่เอินซูยังรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด ส่งมาจากทิศทางของเขากว่างเฉิง
กลิ่นอายอันแข็งแกร่งนั้นทำให้ฟู่เอินซูรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับหวงกวงเลี่ยและผู้อาวุโสม่อ
ถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าหวงกวงเลี่ยและผู้อาวุโสม่อด้วยซ้ำ
อย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง และมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน!
ฟู่เอินซูพลันรู้สึกหนักใจ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่น่าจะมียอดฝีมือระดับสูงจำนวนมากขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ
คำอธิบายเดียวก็คือ การคาดการณ์ที่แย่ที่สุดในอดีตกลายเป็นจริง
ผู้สนับสนุนบนโลกซ้อนโลกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ลงมือแล้ว
ไม่ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอร้องก็ดี หลอกล่อก็ดี บุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากโลกซ้อนโลก ในที่สุดก็ลงมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง สอดมือเข้ามาในเรื่องที่ไม่เคยสนใจมาก่อน
สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ดึงขุมกำลังนอกแปดพิภพเข้ามา
พูดในอีกมุมหนึ่งก็น่ายินดี นี่หมายความว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หมดหนทางแล้ว
แต่ว่าปัญหาที่ต้องเผชิญ อย่างไรก็ยังต้องเผชิญ ขุมกำลังจากโลกซ้อนโลกในที่สุดก็มายังแปดพิภพ เขากว่างเฉิงจะรับมืออย่างไร?
ไม่พูดถึงอย่างอื่น ตรงหน้านี้มียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สองไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนนำทัพมา
สิ่งที่ทำให้ฟู่เอินซูรู้สึกหนักใจก็คือ อีกฝ่ายย่อมต้องทราบถึงสถานการณ์ของเยี่ยนตี๋ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากโลกซ้อนโลก ความมั่นใจและความทะนงตนของพวกเขาไม่อาจหลบเลี่ยงตัวปัญหาอย่างเยี่ยนตี๋ได้
แต่ยังลงมือในสถานการณ์เช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องการจัดการเยี่ยนตี๋ไปพร้อมกัน ทั้งยังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
คนที่มาเขากว่างเฉิงอาจจะไม่ใช่กำลังหลัก อีกฝ่ายจะต้องมียอดฝีมือที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามมายังแปดพิภพด้วย
ฟู่เอินซูรู้สึกตึงเครียด
ในตอนนี้นางไม่อาจเข้าใกล้ได้ และไม่มีวิธีทำลายการปิดล้อมของจอมยุทธ์ของอีกฝั่ง
ถึงแม้ว่าจะมีนิสัยแข็งกร้าวไม่ค่อยกลัวอะไร แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป ฟู่เอินซูไม่โง่เง่าถึงขนาดพาตัวเองไปตายโดยไม่มีประโยชน์
ครั้งนี้ฟู่เอินซูได้ยินเสียงดังขึ้นบนท้องฟ้าไกล เสียงนั้นสั่นสะเทือนฟากฟ้า เหมือนสะท้อนไปทั่วเกาะนภากลาง
“เด็กน้อยที่ชื่อเยี่ยนจ้าวเกอนั่นกลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
บนเขากว่างเฉิง ยอดฝีมือระดับสูงที่ยังอยู่ที่สำนักโดยมีผู้อาวุโสสูงสุดจางคุนและเหอหนิงเป็นผู้นำ ต่างก็รวมตัวกันที่ยอดเขาเฉียนเทียน
สำนักที่เคยรุ่งโรจน์กลับโรยราในตอนนี้ นอกจากมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมสองคนแล้ว ก็เหลือมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารอาญาฉางเจิ้น ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งหุบเขาผนึกเวหาผู้อาวุโสกง ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ผู้อาวุโสเมิ่ง รวมถึงผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งวิหารถ่ายทอดวิชาผู้อาวุโสฉิน บัดนี้ยืนอยู่ข้างจางคุนและเหอหนิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ที่ท้องฟ้าด้านบนยืนไว้ด้วยคนกลุ่มหนึ่ง
หวงซวี่ เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ ในตอนนี้ถึงกับยืนอยู่ด้านข้างคนสองคนที่เป็นผู้นำด้วยท่าทางนอบน้อม
จอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งติดตามมาที่นี่ ยิ่งยืนอย่างนบน้อมอยู่ด้านหลัง
คนที่เป็นผู้นำสองคน ดูภายนอกอายุไม่เกินสามสิบสี่สิบปี ความจริงไม่อาจแยกแยะอายุได้
ทว่าสภาวะพลังของพวกเขากดอัดให้ทั่วทั้งเขากว่างเฉิงไม่กล้าวู่วาม
หนึ่งในสองคนนั้นสวมอาภรณ์สีขาว ด้านหลังปรากฏลวดลายรูปเปลวเพลิง ดูอวดโอ่และโดดเด่น ตัวเขากลับไม่พูดจา ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
ส่วนอีกคนหนึ่งใส่อาภรณ์สีเขียว สะพายกระบี่ไว้ตรงเอว
คนที่พูดก็คือบุรุษเสื้อเขียวที่พกกระบี่ผู้นี้ เขาก้มมองยอดเขาเฉียนเทียนของเขากว่างเฉิง ส่วนจางคุนสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “เยี่ยนจ้าวเกอศิษย์ของสำนักเราเข้าร่วมสงครามผนึกปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออก หลังจากผนึกสมบูรณ์ก็ไม่โผล่มาอีกเลย วันนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”
บุรุษอาภรณ์เขียวไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เขากล่าวตรงๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างที่เขาทิ้งไว้ในสำนัก พวกท่านจงมอบให้ข้า”
พวกจางคุนมองหน้ากันเอง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
ต่อให้เป็นคนที่ใจเย็นกว่านี้ เมื่อต้องเจอกับคำขอเช่นนี้ ในใจน่าจะโมโหเช่นกัน
เพียงแต่เพราะพลังและเบื้องหลังของอีกฝ่าย จึงทำให้ทุกคนไม่กล้ามีอารมณ์และไม่กล้าพูด
บุรุษในอาภรณ์เขียวมีสีหน้าสงบนิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล “ข้าชื่อผู่เจี๋ย แขกของสำนักแสงสว่าง ส่วนมาจากที่ใดพวกท่านน่าจะรู้แล้ว”
“เรื่องในโลกแห่งนี้ คนบนโลกเบื้องบนอย่างพวกเราตอนแรกไม่คิดสอดมือ แต่ว่าของวิเศษที่เป็นของสำนักแสงสว่างอยู่ในโลกของพวกท่าน วันนี้อยู่กับศิษย์ในสำนักของพวกท่านที่ชื่อเยี่ยนจ้าวเกอ”
“ในเมื่อเขาไม่อยู่ เช่นนั้นก็ต้องหาจากของของเขาก่อน”
ผู่เจี๋ยพูดอย่างเชื่องช้า “ข้าต้องการของวิเศษชิ้นนั้นกลับมา ถ้าหากพวกท่านยอมทำตาม ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกท่าน”
จางคุนสูดลมหายใจ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ของของเขาล้วนอยู่ในถุงย่อส่วน อยู่ที่ตัวเขาทั้งสิ้น”
“ไม่เป็นไร เอาที่อยู่ของเขาไปก่อนค่อยว่ากล่าว” ผู่เจี๋ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ
น้ำเสียงสบายๆ นั้นมีความหมายว่า ต้องการใช้พลังขุดภูเขา เอาที่พักของเยี่ยนจ้าวเกอและผืนดินที่อยู่รอบๆ ไปด้วย
จางคุนยังรอเจรจากับอีกฝ่าย หวงซวี่พลันเอ่ยปากว่า “คนที่รอดมาจากปฐพีพิภพในตอนนั้น นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ยังมีคนชื่อฟางจุ่นอยู่ด้วย และยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชื่อเสื้อคลุมนภากลับมาที่นี่พร้อมกับเขา”
“น่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอที่ส่งพวกเขาออกจากปฐพีพิภพ”
ผู่เจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ้อ?”
บุรุษสวมอาภรณ์ขาวที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้างได้ยิน ก็พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ส่งฟางจุ่นนั่นและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้น ให้พวกเรานำไปพร้อมกัน”