ถ้าหากบอกว่าก่อนการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่ห้า ผู้อื่นยังสงสัยในความสามารถของเฟิงอวิ๋นเซิงล่ะก็ เช่นนั้นหลังจากผ่านการทดสอบนั้น นางอาชนะฝานชิวจากหอคลื่นโหมแล้ว ก็ไม่มีใครสงสัยในศักยภาพและคุณสมบัติของเฟิงอวิ๋นเซิงที่เป็นสตรีจันทราอีก
สำหรับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้กลับมีความหมายพิเศษ ทำให้พวกเขารู้สึกซับซ้อน ยิ่งมีความรู้สึกอยากกำจัดเฟิงอวิ๋นเซิงมากกว่าเดิม
หลังจากที่ผ่านการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่ห้า ด้านในขวางกว่างเฉิงก็มุ่งมั่นที่จะเชื่อมั่นในตัวเฟิงอวิ๋นเซิง
เสียงครหาก่อนหน้าหายไปทั้งหมด ไม่มีใครพูดถึงอีก
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเรียบๆ “ในตอนนี้ เจ้าเคยเสียท่ามาแล้วครั้งหนึ่ง สมควรได้บทเรียนจึงจะถูก”
เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ “จะหยุดรับประทานเพราะสำลัก[1]ไม่ได้”
นางกล่าวอย่างเชื่องช้า “มงกุฎแห่งจันทราที่ได้มาหลังจากชนะ มิใช่เอามาวางประดับสำนักเท่านั้น คู่ต่อสู้ที่ต้องเจอก็เป็นแค่พวกเสี่ยวหว่าน ที่เป็นสตรีจันทราเหมือนกัน ยังมีปีศาจอัคคี หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เป็นพวกราชันปีศาจอัคคีที่แข็งแกร่งหลายตัว รวมถึง…คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งคนอื่น”
สายตาของเฟิงอวิ๋นซือเรียบเฉยและแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าพิจารณาปัญหานี้มาอย่างดี
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เลว ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้วู่วามไปชั่วขณะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ทัดทาน แต่เจ้ามิใช่ศิษย์ธรรมดา คิดออกจากสำนักจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากบิดาของข้า และบิดาของเจ้าเสียก่อน
เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ “ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจ้าวเกอบอกลาเฟิงอวิ๋นเซิง อิงหลงถู และอิ่นหลิวหัว ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องพัก
ในห้องพัก เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ พร้อมกับปรับการหายใจ
ตามคำพูดของเยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดา เลือดและสารจำเป็นส่วนใหญ่ของซากมังกรน้ำแข็งได้กลายเป็นลมปราณ และถูกดูดเข้าไปในร่างของตนเองหมดแล้ว
ก่อนที่ตนจะเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม เขาไม่เคยต้องกังวลเพราะเรื่องการสั่งสมปราณวิญญาณ ที่ต้องทำมีเพียงตั้งใจฝึกปรือ และทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ แน่นอนว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้สามารถหลอมและดูดซับลมปราณจำนวนมากแบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิ กลุ่มปราณโกลาหลเข้มข้นในร่างกายเคลื่อนไหว ปรากฏลมปราณมากมายที่ผสมไว้ด้วยน้ำแข็งและไฟ
น้ำแข็งและไฟพลิกกลับไปมา ถูกกลุ่มปราณโกลาหลกลืนกินและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังในร่างกาย
ชายหนุ่มหลอมลมปราณที่สะสมในร่างไปพลาง ทำความเข้าใจและฝึกฝนวรยุทธ์หลากหลายไปพลาง ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างคุ้มค่า
หลังจากเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พลังของภาพหลอนที่บึงทะเลมายาแห่งบึงพิภพก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง วันที่จะปรากฏรุ้งกางเขนใกล้จะมาถึงแล้ว
และในช่วงเวลานี้เอง ท่านอาจารย์หยวนเจิ้งเฟิงได้ทำการใหญ่สำเร็จ และส่งข่าวให้เยี่ยนจ้าวเกอไปเอาสิ่งของ
เยี่ยนจ้าวเกอมายังที่อยู่ของหยวนเจิ้งเฟิง หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว เขาก็เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ในลานบ้าน ด้านข้างมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ลุงเกา” เยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปทำความเคารพทั้งสองก่อน
หยวนเจิ้งเฟิงกับบุรุษวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้แซ่เกา เป็นลูกศิษย์ของหยวนเจิ้งเฟิง แต่ว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าเยี่ยนตี๋ สือเถี่ย ฟางจุ่น และฟู่เอินซูนัก
เขามีความถนัดด้านการสร้างอาวุธ ครั้งนี้หยวนเจิ้งเฟิงเปิดเตาสร้างอาวุธ ทว่ามิอาจทำอะไรด้วยตัวเองทั้งหมด เพียงรับผิดชอบส่วนที่สำคัญ ส่วนเรื่องที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนให้บุรุษวัยกลางคนผู้นี้จัดการ
แต่ว่าในตอนนี้บุรุษวัยกลางคนกำลังรำพึงรำพัน ผู้อาวุโสของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นเขา สร้างอาวุธให้ชายหนุ่มยังพอทำเนา ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงถึงกับลงมือสร้างอาวุธติดตัวให้ชายหนุ่ม หากข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ต้องทำให้คนจำนวนมากตกตะลึงแน่
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีใครเคยเห็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สร้างอาวุธติดตัวให้มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณบ้าง
แต่สิ่งที่ยากจะรับได้ก็คือ หลังจากตื่นตระหนกเสร็จแล้ว เกรงว่าเมื่อคนส่วนใหญ่ได้สติกลับมา จะรู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอันใดรับไม่ได้ เนื่องจากมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้นั้นคือเยี่ยนจ้าวเกอ คนที่ไม่อาจใช้ศักดิ์ฐานะ ไม่อาจใช้อายุ ไม่อาจใช้ระดับพลังฝึกปรือมากำหนดขอบเขต
อย่างน้อย บุรุษวัยกลางคนที่ช่วยหยวนเจิ้งเฟิงเพื่อสร้างอาวุธให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ ตอนนี้ก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีความรู้สึกต้องให้ความสำคัญกับศักดิ์ฐานะ หรือว่าเป็นการขี้ช้างจับตั๊กแตน
หยวนเจิ้งเฟิงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยรอยยิ้ม “จะลองดูหรือไม่”
ขณะที่พูด ลำแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชายชรา จากนั้นก็มาถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ
ชายหนุ่มมองไป เห็นกระบี่สั้นเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ คมกระบี่เป็นสีเขียวมรกตดูสบายตา มีเพียงประกายสีแดงจุดหนึ่งบนคมเท่านั้นที่ให้ความรู้สึกดุดัน
พลังอันแข็งแกร่งของมันถูกเก็บไว้ด้านใน เสมือนคมกระบี่อยู่ในฝัก ไม่ปรากฏออกมาด้านนอก
หากใช้ความรู้สึกสัมผัสอย่างละเอียด จะรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ด้านใน หากมันคุ้มคลั่งขึ้นมาจะต้องน่าตื่นตระหนกมากแน่
หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “กระบี่ชื่อบึงมรกต วัตถุดิบหลักเป็นเหล็กมรกตก้นบึงที่เกิดในทะเลชั้นนอก และทองชาดนพรวีที่ได้มาจากการโจมตีอัคคีพิภพก่อนหน้า นอกจากนี้ ข้ายังได้ใส่วัตถุดิบล้ำค่าที่เจ้านำกลับมาจากที่อยู่ของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งเข้าไปด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอทำความเคารพหยวนเจิ้งเฟิง “ขอบคุณท่านอาจารย์”
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือของตนไปคว้าด้ามกระบี่บึงมรกต เจตจำนงกระบี่อันยิ่งใหญ่พลันกระเพื่อมออกมาจากด้านใน
ในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอปรากฎภาพเปลวเพลิงวาดผ่านท้องฟ้าสีครามไพศาล เหลือรอยแตกสีแดงรอยหนึ่งไว้กลางอากาศ ดูราวกับว่าเป็นบาดแผล
รอยแตกสีแดงเพลิงแยกออก เมื่อมองไปด้านใน ฟ้าดินคล้ายกับพลิกกลับด้านกัน
เป็นการเงยมองท้องฟ้าแท้ๆ แต่ว่าในตอนนี้เหมือนกับกำลังก้มมองบึงลึกสีแดงเพลิงเบื้องล่าง
เจตจำนงกระบี่อันแข็งแกร่งแทบจะทำให้มือที่จับกระบี่แทบฉีกขาด
เยี่ยนจ้าวเกอจ้องเขม็ง ใช้เจตจำนงกระบี่ไร้ขีดจำกัดของตนเอง และ และจิตวรยุทธ์ของตนเองเข้าไปในกระบี่บึงมรกต พยายามทำให้อยู่ในสภาวะปรองดอง
หยวนเจิ้งเฟิงมองเยี่ยนจ้าวเกอหลอมกระบี่บึงมรกตอยู่เงียบๆ เห็นสภาพมั่นคงของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว อดพยักหน้าไม่ได้
เนิ่นนานให้หลัง เยี่ยนจ้าวเกอพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ข้านึกว่าท่านจะสร้างดาบวิญญาณ หรืออาวุธวิญญาณที่ผสมของฝ่ามือนภากว่างเฉิง คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นกระบี่วิญญาณ”
ในกระบวนท่าอันยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งกว่างเฉิง สิ่งที่หยวนเจิ้งเฟิงฝึกฝนคือฝ่ามือนภากว่างเฉิงและดาบนภาไร้จำกัด
ยอดฝีมือด้านวรยุทธ์สร้างอาวุธขึ้น ส่วนใหญ่จะผสมความเข้าใจในกฎเกณฑ์ด้านวรยุทธ์ของตนเองลงไปด้วย ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงหยอกล้อหยวนเจิ้งเฟิงเช่นนี้
หยวนเจิ้งเฟิงไม่ได้ว่าอะไร กลับหัวเราะฮ่าๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าโชคไม่ดีนัก ช่วงนี้ข้าฝึกฝนกระบี่นภาไร้ขอบเขตพอดี ตอนที่ข้าสร้างกระบี่บึงมรกตเล่มนี้ให้เจ้า ก็เลยนำมาฝึกฝนไปด้วย”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม “ข้าว่าแล้ว”
ขณะที่ยิ้ม ดวงตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันสาดประกายแสง กระบี่บึงมรกตในมือเกิดเสียงมังกรคำราม จากนั้นประกายกระบี่ก็หายไปในแขนเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอ
“รวดเร็วยิ่ง” หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้า “เร็วยิ่งกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก”
เห็นเยี่ยนจ้าวเกอหลอมรวมกับกระบี่บึงมรกต ซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณชั้นยอดขั้นแรกแล้ว หยวนเจิ้งเฟิงก็กล่าวอีก “เรื่องของเด็กสาวอวิ๋นเซิง เยี่ยนตี๋กับเอินซูได้บอกข้าแล้ว หลังจากพวกเราปรึกษากัน ได้ตัดสินใจให้นางไป”
“หยกไม่เจียระไนย่อมไร้ประโยชน์ ศิษย์เขากว่างเฉิงย่อมทนความลำบากได้”
“แต่จะให้ไม่สนใจเลยก็ไม่ได้” หยวนเจิ้งเฟิงเล่า “เยี่ยนตี๋บอกว่าอีกไม่นานเจ้าจะเดินทางไปบึงทะเลมายาที่บึงพิภพ ให้อวิ๋นเซิงร่วมทางกับเจ้าสิ บึงทะเลมายาเป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝน เจ้าพานางไปด้วย ทางสำนักก็วางใจ”
……………………………………….
[1] หยุดรับประทานเพราะสำลัก สุภาษิตจีน หมายถึง เพราะล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่คิดทำอีก