เยี่ยนจ้าวเกอมองเกาฟ่าง ถามว่า “ตั้งสำนักได้ไม่เกินสิบกว่าปี ก็หมายความว่าเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักกระเรียนหิมะเป็นเจ้าสำนักผู้ก่อตั้งของพวกเขากระมัง พวกท่านรู้จักคนผู้นี้มากขนาดไหน มีภาพวาดหรือไม่”
เกาฟ่างส่ายศีรษะ “มีภาพวาดเผยแพร่ แต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่มี รู้เพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง สามีของนางเป็นจอมยุทธ์เลือดปีศาจ แต่พลังฝึกปรือสู้เจ้าสำนักกระเรียนหิมะไม่ได้”
บัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “ได้ยินมาว่าในอดีตเป็นหญิงรับใช้ของยอดฝีมือคนหนึ่ง นับว่าเป็นลูกศิษย์ด้วย ยอดฝีมือผู้นั้นเป็นมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง เร้นกายมาหลายปีแล้ว ได้ยินว่าเจ้าสำนักกระเรียนหิมะติดตามยอดฝีมือผู้นี้ไม่นานนัก แต่กลับวางรากฐานเช่นทุกวันนี้ได้”
“เจ้าสำนักกระเรียนหิมะมิได้เอ่ยถึงอดีตในช่วงนั้น แต่กลับภูมิอกภูมิใจยิ่ง นางยิ่งทำเช่นนี้ ทุกคนยิ่งสนใจในตัวยอดฝีมือผู้นั้นมากขึ้น แต่ไม่มีข่าวอันใดแพร่งพรายออกมา”
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงเล็กน้อย “ยอดฝีมือผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี”
“ตามข่าวลือ เป็นสตรีเช่นกัน”
ชายหนุ่มถามต่อ “พลังฝึกปรือเป็นอย่างไร”
เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนอ้าปาก กลับชะงัก จากนั้นก็ดูประดักประเดิดเล็กน้อย “ความจริงไม่ค่อยมีใครทราบ ได้แต่คาดคะเนตามพลังฝึกปรือของเจ้าสำนักกระเรียนหิมะในปัจจุบัน”
เยี่ยนจ้าวเกอถามอีก “นางหายตัวไปนานเท่าไรแล้ว”
“ประมาณ…สามสิบปี” เกาฟ่างตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“ไม่ปรากฏตัวอีกเลยหรือ” เยี่ยนจ้าวเกอถามอีก
บัณฑิตวัยกลางคนตอบ “อย่างน้อย พวกข้าก็ไม่เคยได้ยิน”
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “คำถามสุดท้ายแล้ว สำนักเมฆาโลหิตกับสำนักเขามังกรเขียว และสำนักกระเรียนหิมะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร”
ใบหน้าของเกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนพลันแข็งค้าง
ไม่รอให้พวกเขาตอบ ด้านนอกก็มีคลื่นพลังปีศาจอันแข็งแกร่งส่งมา!
กระบวนทัพง้าวยักษ์ปีกสีชาดของกองทัพง้าวแดงถูกกระตุ้นในชั่วพริบตา ในขณะเดียวกันก็มีพลังปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสั่นไหวอยู่ด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกเกาฟ่าง อดยิ้มไม่ได้ “เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องตอบ ข้าก็รู้คำตอบแล้ว”
ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะปฏิเสธไปแล้วว่ามิใช่ลูกศิษย์สำนักกระเรียนหิมะ แต่หรงจื้อคิดว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับสำนักกระเรียนหิมะ
ชายหนุ่มรู้สึกว่า ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่ง การคาดเดาของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ว่าผิดเสียทีเดียว
เขาหันมองไปมองสวีเฟย ก่อนจะกล่าวว่า “ได้เบาะแสเหนือความคาดหมายมาไม่น้อย แต่ว่าก็มีปัญหาตามมาบ้าง”
เสียงเพิ่งจะขาดลง พลังปีศาจอันบ้าคลั่งก็ทำลายหลังคาของโถง
อินทรีทองตาสีชาดขนาดยักษ์ตัวหนึ่งกระพือปีกบินสูง ขนที่เกิดขึ้นจากแสงเป็นสีทอง กรงเล็บทั้งสองเกาะอยู่บนห้องโถง คิดจะฉีกกระชากห้องโถงทั้งหมด
องค์รัชทายาทประเทศจื่ออวี๋ยืนเอามือไพล่หลัง มองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าเช่นเดิม ยังคงอารมณ์ดี
แต่ว่าสายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ‘ทัพง้าวแดงของประเทศฟู่หรานสมคำร่ำลือจริงๆ’
‘ทำให้ร่างแสงของสัตว์ปีศาจโผล่ขึ้นมา นี่คือลักษณะเฉพาะของครึ่งปีศาจ แต่แม่ทัพง้าวแดงไม่ได้ปลุกสายเลือด อาศัยพลังของกระบวนทัพเฉพาะตัวทำให้ร่างแสงของอินทรีทองตาสีชาดโผล่ออกมาได้ ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ และมีลักษณะเฉพาะ’
องค์รัชทายาทประเทศจื่ออวี๋จิตใจสั่นสะท้าน “เมื่อมีผูับัญชาการอย่างเหลียงฮั่นอยู่ด้วย พลังจึงไม่ใช่เพิ่มขึ้นแค่ปริมาณเท่านั้น แม้แต่คุณสมบัติก็เพิ่มขึ้นไปด้วย”
เขามองห้องโถงที่อินทรีทองเกาะอยู่ คิดในใจ ‘พวกเจ้าตายได้คุ้มค่าแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นพลังที่แท้จริงของทัพง้าวแดงแห่งฟู่หราน…’
พอคิดถึงตรงนี้ เขาพลันเบิกตาโพลง เห็นรอบๆ ห้องโถงที่เป็นเศษเล็กเศษน้อยพลันมีพายุสีดำพัดขึ้นครอบคลุมห้องโถงเอาไว้
เมื่อถูกพายุสีดำขวางไว้ อินทรียักษ์ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีก มันโฉบกรงเล็บทั้งสองลง ทว่าก็ยิ่งถูกพายุสีดำเชือดเฉือนไม่หยุดหย่อน จนร่างของมันเต็มไปรอยแผล เกือบจะแหลกสลายเลยทีเดียว!
องค์รัชทายาทแห่งจื่อวี๋อดตกตะลึงไม่ได้
เหลียงฮั่นตาถลึงจนแทบถลนออกมา
องค์รัชทายาทใบหน้ากลายเป็นถมึงทึง
แม้แต่ผู้อาวุโสสำนักเมฆาโลหิต หรงจื้อก็ยังขมวดคิ้ว
ในห้องโถง อาหู่ถามขึ้น “คุณชาย พวกเรายังจำเป็นต้องอยู่ในประเทศฟู่หรานอีกหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “อยู่ไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์แล้ว เวลาของเราค่อนข้างมีจำกัด ไปจากที่นี่กันเถอะ”
“ขอรับคุณชาย พวกท่านจับให้ดี” อาหู่แยกเขี้ยวยิ้มขึ้น ก่อนจะกางปีกเซียนกระเรียนด้านหลัง พิรุณแสงหลายสายขยายตัวออกด้านนอก
เขากระตุ้นปราณจิตราทั่วทั้งร่างพร้อมกัน พายุสีดำอันน่าพรั่นพรึงครอบคลุมเรือนทั้งหลังเอาไว้ จากนั้นทั้งหมดขึ้นมาทั้งฐาน!
ท่ามกลางพายุเกิดร่างเซียนกระเรียนกระพือปีกบินสูง พัดพายุให้บินไปไกล
เยี่ยนจ้าวเกอชี้อาหู่พลางยิ้ม “เจ้าซื่อบื้อนี่ บ้าเกินไปแล้ว เจ้าบินแบบนี้ทั้งช้าทั้งสิ้นเปลืองพลัง”
ทุกคนนอกเรือนอ้าปากตาค้าง ผู้อาวุโสหรงคิ้วขมวดมุ่น ‘หรือว่าข้าจะดูผิดไป ความจริงแล้วพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจหรอกหรือ แต่ข้าไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังปีศาจเลย’
ขณะที่คิดในใจ เขาก็ไม่ชักช้า ยื่นฝ่ามือออกไปด้านหน้า
เมื่อฝ่ามือนี้เมื่อยื่นออกไป ลายแสงทั่วร่างของผู้อาวุโสหรงก็สว่างวาบขึ้น แสงสว่างจับตัวกันกลายเป็นกรงเล็บเสือขนาดยักษ์ ข่วนใส่พายุสีดำกลางอากาศ
เหลียงฮั่นมีสีหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขากระตุ้นพลังของกระบวนทัพง้าวยักษ์ปีกสีชาด อินทรียักษ์พลันกระพือปีก พุ่งขึ้นไปยังหมู่เมฆ
ในพายุสีดำ มีปราณจิตราที่ยิ่งใหญ่อีกสายหนึ่งปรากฏขึ้น
ปราณจิตราจับตัวกันเป็นฝ่ามือยักษ์ ปะทะกับกรงเล็บเสือของผู้อาวุโสหรงกลางอากาศ
ในนาทีที่ปะทะกัน ผู้อาวุโสหรงรู้สึกเหมือนมีภูเขายักษ์กดทับลงมา เมื่อพลังแห่งเลือดปีศาจของตนชนใส่ พลันเกิดความรู้สึกกดดันเกินบรรยาย
พลังงานนั้นทั้งอืดอาดทั้งยิ่งใหญ่ ทรงพลังไร้ขอบเขต หนักหน่วงเฉกเช่นแผ่นดิน ตั้งตระหง่านดั่งบรรพตสูง คล้ายกับมิอาจสั่นไหวได้
กรงเล็บยักษ์ที่เกิดจากลายแสงถูกฝ่ามือยักษ์ข้างนั้นตบแหลกแทบจะเป็นในชั่วพริบตาเดียว
ผู้อาวุโสหรงตื่นตระหนก ยังดีที่ฝ่ามือข้างนั้นมิได้ตามโจมตีต่อ หลังจากทำลายกรงเล็บเสือเสร็จแล้ว ก็ฟาดใส่อินทรียักษ์ที่จู่โจมเข้ามา
ท่ามกลางเสียงระเบิดกึกก้อง เศษปีกสีแดงชาดจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นพิรุณแสงกระจายเต็มท้องฟ้า แล้วสาดลงบนผืนดิน
อินทรียักษ์ส่งเสียงร้องอย่างดุร้าย ดิ้นรนไม่หยุด
ร่างกายของเหลียงฮั่นและทหารทัพง้าวแดงทุกคนสั่นไหว กระอักเลือดออกมา
พวกเขาฝืนยืนหยัด อินทรียักษ์กระพือปีก พุ่งเข้าหาพายุสีดำอีกครั้งอย่างไม่ยอมเลิกลา
แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่ามือยักษ์ข้างหน้าตบลงมาใส่ อินทรียักษ์ถูกฟาดกลับไปที่พื้นอย่างรุนแรง เหมือนกับแยกเขาภูผาผ่าแม่น้ำอย่างไรอย่างนั้น!
ครั้งนี้พวกเหลียงฮั่นทนไม่ไหวอีก ต่างก็กระอักเลือดอีกคำหนึ่ง นอกจากผู้บัญชาการเหลียงฮั่นที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดแล้ว คนอื่นพากันล้มลงบนพื้น หมดสติไป
ฝ่ายเหลียงฮั่นเองก็ประคับประคองต่อไปไม่ไหว เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น
ด้านในห้องโถง สวีเฟยเก็บท่าฝ่ามืออำพันลี้ลับของตนเอง แล้วนั่งลงอีกครั้ง
พวกเกาฟ่างมองอาหู่กับสวีเฟยด้วยดวงตาตกตะลึง
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง ใบหน้าปรากฏแววครุ่นคิด
วันนี้ทุกคนในเมืองสินธุเสถียรต่างได้เห็นเหตุการณ์ประหลาด เพียงเห็นพายุสีดำสายหนึ่งม้วนห้องห้องหนึ่งลอยออกไปนอกเมือง
ในตอนนี้ ที่พระราชวังของประเทศฟู่หรานซึ่งอยู่ไกลออกไปมีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งส่งมา
“ผู้ใดกล้าอาละวาดในประเทศฟู่หรานของข้า” เสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้น จากนั้นลายแสงหลายสายพลันแผ่กระจายไปทั่วโดยมีพระราชวังเป็นศูนย์กลาง
ต่อมาร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่งปรากฏท่ามกลางท้องฟ้าเหนือเมืองสินธุเสถียร แทบจะครอบคลุมฟากฟ้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
ม้าสามหัวตัวหนึ่งควบขาทั้งสี่ พุ่งเข้ามาหาพวกเยี่ยนจ้าวเกออย่างบ้าคลั่ง!