การย่างกรายของนพยมโลกถูกขัดขวาง สงครามบนดินแดนบรรพชนตระกูลหวังเขตยุทธ์เมฆาแห่งเกาะทราย ก็ยุติลงในที่สุดเช่นกัน
จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงที่อยู่ในสงครามนี้ มีทั้งบาดเจ็บและล้มตาย เคราะห์ดีเป็นเพียงแค่คนจำนวนน้อยเท่านั้น
เหล่าจอมยุทธ์ที่เหลือรอดต่างประคองกันและกัน จัดการบาดแผลชั่วคราว เริ่มเช็ดล้างผลพวงหลังต่อสู้ เก็บกวาดสนามรบ ภายใต้การจัดการของผู้อาวุโสสูงสุดเกาะทราย
ตระกูลหวังเขตยุทธ์เมฆาหวิดล่มสลาย ในสงครามครั้งนี้มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ถูกจับกุม ภายหลังยังต้องซักไซ้ไล่เรียง
นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคนอื่นๆ ส่วนหนึ่ง รวมถึงผู้เหลือรอดสำนักเขานิมิตทมิฬ ก็ถูกจับเป็นเช่นเดียวกัน ที่กำลังคอยท่าพวกเขาอยู่คือการไต่สวนอย่างทารุณถึงชีวิต
เยี่ยนจ้าวเกอตามหลังสือเถี่ยออกจากดินแดนบรรพชนตระกูลหวังแล้ว ในเส้นสายตาไกลออกไป ยังคงเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าออกจากเขตยุทธ์เมฆาแล้ว ร่องรอยบ้านเรือนผู้คนก็รางเลือน
เนื่องจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นเหตุ ประชากรของเกาะทรายจึงน้อยกว่าทางฝั่งเกาะนภาใต้แห่งนภาพิภพ
หากแต่ก็มีเขตพื้นที่ประชากรหนาแน่นไม่น้อยเช่นกัน ที่นั่นมีเหล่าบรรดาชาวบ้านทั่วไปอาศัยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ระหว่างมองดูบรรดาผู้คนเหล่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ
ในใจของเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง ครั้นเหลียวมองกลับไป ก็แลเห็นสือเถี่ยมองบ้านเมืองที่อยู่ไกลออกไป บนดวงหน้าที่แต่ไหนแต่ไรเคร่งขรึมเย็นชา ก็เผลอเผยเห็นรอยยิ้มจางๆ หลายส่วนเช่นกัน
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจลากยาวคำหนึ่ง ก่อนจะยกมือซ้ายของตนขึ้น เห็นว่าหลังมือของตนประทับไว้ด้วยลวดลายคล้ายกับตรานาบก็ไม่ปานรอยหนึ่ง
รอยนี้มีสีแดงคล้ำดุจโลหิต ราวกับไม่เพียงสลักอยู่บนเนื้อหนังหลังมือของเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น หากแต่สลักลึกเข้าไปในวิญญาณเลยด้วยซ้ำ
อาหู่มองอยู่ด้านข้าง แล้วเกาศีรษะโตแกรกๆ “คุณชาย ครานี้ท่านสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงแล้ว แต่ประทับไว้ด้วยของเล่นเช่นนี้สิ่งหนึ่ง ก็ยุ่งยากอย่างยิ่งเช่นกัน”
“จากที่ท่านกล่าว ก่อนที่รอยประทับมารนี้จะถูกกำจัด หากท่านกับผู้อาวุโสสือเกิดเรื่อง ประตูนพยมโลกที่เกาะทรายแห่งนี้ก็เป็นไปได้ที่จะย่างกรายอีกครั้ง เดนภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจะเจาะจงมาซุ่มสังหารพวกท่านทั้งสองหรือไม่เล่า?”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “นี่เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้อย่างมาก ฉะนั้นต่อไปนี้ต้องระวังปัญหาในด้านนี้ด้วย”
“นี่ช่างน่าปวดเศียรเสียจริง” อาหู่แยกเขี้ยวยิงฟัน
ชายหนุ่มมองดูรอยประทับมารที่อยู่หลังมือซ้ายของตน “ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายเสียทีเดียว นอกจากอันตรายเล็กน้อยแล้ว นอกจากการยกย่องของสำนักแล้ว ครานี้ก็ยังมีของได้รับเพิ่มเติมอยู่บ้างเช่นกัน”
อาหู่ฉงนสนเท่ห์อยู่บ้าง แล้วก็มองไปยังหลังมือของเยี่ยนจ้าวเกอ “ยังได้รับอะไรอีกหรือขอรับ?”
มือขวาเยี่ยนจ้าวเกอลูบๆ คางตนเอง มองดูมือซ้ายพลางเอ่ย “จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ยังมีตราประทับที่สลักอยู่บนมือของข้าในตอนนี้อีก ข้าจึงเข้าใจนพยมโลกและยอดฝีมือของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
“รู้เขารู้เรา ก็สามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งได้ สาเหตุที่เหตุการณ์สำคัญเขตยุทธ์เมฆาคราวนี้อันตรายถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจะเปลี่ยนการโคจรมหาค่ายกลแดนมาร ไม่คาดคิดว่าจะสามารถก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นออกมาได้ ถูกโจมตีจนรับมือไม่ทัน ผลคือทำได้เพียงพลิกแพลงตามสถานการณ์”
เขาวางมือซ้ายลง “ถึงจะพูดว่าการพลิกแพลงตามสถานการณ์เป็นคำเยินยอคน แต่ไหนเลยจะไม่ใช่เพราะความจนใจกันเล่า? หากทำให้ทั้งหมดทั้งมวลดำเนินไปตามแผนการของตนโดยมั่นใจได้ ความเสี่ยงก็จะลดน้อยลงมาก”
เฟิงอวิ๋นเซิงก็กำลังเพ่งมองรอยประทับมารที่อยู่หลังมือเยี่ยนจ้าวเกออยู่ด้านข้างเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง จึงเลิกคิ้ว “เป็นอย่างไร เคยบอกเจ้าแล้ว ที่ทะเลสาบปิดนภาคราวก่อน ข้าไม่คุ้นเคยกับค่ายกลนี้ ต่อมาข้าทุ่มเวลาอย่างหนัก ครานี้ถึงจะเป็นการแสดงฝีมืออย่างแท้จริง”
เห็นเขาจงใจแสร้งทำท่าทางประสบผลสำเร็จในเรื่องไม่ควร ทั้งยังร้องขอคำสรรเสริญเช่นนี้ออกมา เฟิงอวิ๋นเซิงก็อดหลุดหัวร่อออกเสียงไม่ได้เช่นกัน สภาพจิตใจผ่อนคลายลงมาก ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น “ใช่ๆๆ เป็นสาวน้อยคราก่อนประสบการณ์ตื้นเขิน ท่านอย่าได้ต่อล้อต่อเถียงกับผู้มีความรู้ต่ำเช่นข้า”
ชายหนุ่มพยักหน้าพึงพอใจ “ดีมาก เด็กคนนี้โตแล้วพอที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ได้”
เนื่องด้วยรอยประทับมารเป็นเหตุ เยี่ยนจ้าวเกอกับสือเถี่ยจึงไม่คิดจะหยุดอยู่ที่เกาะทรายต่อไป หากแต่ออกเดินทางกลับเขากว่างเฉิงแห่งเกาะนภากลาง
ก่อนเดินทาง ทั้งสองไปยังเมืองซู่โจวด้วยกัน
เพราะความปั่นป่วนของเกาะทรายครั้งนี้ ก่อนหน้านี้สวีเฟยถึงถูกย้ายมาประจำตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของซู่โจวที่ขาดไปโดยเฉพาะ
เหตุวุ่นวายครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองซู่โจว ทว่าเป็นเขตยุทธ์เมฆาที่มีเขตแดนติดกัน ทำให้สวีเฟยจึงไม่มีที่ให้ใช้วรยุทธ์
กระนั้นเขาก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เฝ้ารักษาอยู่ที่เมืองซู่โจวอย่างแน่นหนา ป้องกันศัตรูที่ทำทีจะบุกโจมตีทิศตะวันออกแต่กลับบุกทิศตะวันตก ทำให้สถานการณ์ของที่นี่สงบมั่งคงเป็นพิเศษ
ปัจจุบันเหตุการณ์เขตยุทธ์เมฆาสิ้นสุดลงแล้ว สวีเฟยก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ดำรงตำแหน่งต่อไปเช่นกัน อย่างไรเสียเขามายังเมืองซู่โจวในตอนแรก นับว่าจัดการเรื่องพิเศษด้วยวิธีพิเศษ
เพียงแต่ว่าเขาไม่อาจกลับสำนักพร้อมกับกลุ่มเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ยได้ ยังจำต้องอยู่ที่นี่รอสถานการณ์สงบมั่นคงถึงที่สุดก่อน อีกทั้งต้องรอหลังจากผู้อาวุโสปฏิบัติกิจแห่งซู่โจวคนใหม่มาถึง ครั้นอีกฝ่ายรับช่วงต่อและปรับตัวให้เหมาะสมแล้ว จึงจะสามารถกลับเขากว่างเฉิงได้
หลังจากสวีเฟยแลเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับสือเถี่ย เขาแสดงการคารวะและถามสารทุกข์สุขดิบของสือเถี่ยแล้ว จึงมองดูเยี่ยนจ้าวเกอ พลางทุบหมัดหนึ่งที่ไหล่ของเขาเบาๆ “เรื่องราวที่ผ่านมาข้าล้วนได้ฟังหมดแล้ว เยี่ยมมาก!”
หากไม่ตั้งค่ายกลมารอีกครั้ง ตำแหน่งประตูนพยมโลกแปรเปลี่ยน รักษาเกาะทรายไว้ได้ ทว่าเกาะนภาใต้ประสบหายนะ
เช่นนั้นนับเป็นความเสียหายมากยิ่งกว่า สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอและจอมยุทธ์ที่ร่วมบุกดินแดนบรรพชนตระกูลหวังแล้ว ความรับผิดชอบแน่นอนว่ามี แต่จะให้ทุกคนแบกรับไว้พร้อมกัน ต่อให้ผู้อาวุโสฉงทำลายเจดีย์สูงสีทองกับมือ ก็จะไม่ถูกหิ้วออกมาเป็นแพะรับบาปลำพังคนเดียวเช่นกัน
ความพลิกผันของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตครานี้ นอกจากจะเหนือความความคาดหมายของทุกคนแล้ว หากต้องสืบสาวไล่ความจริงๆ ถือว่าแผนยุทธการทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงตั้งแต่เบื้องบนถึงเบื้องล่างล้วนถูกอีกฝ่ายประเมินวางแผน
ตั้งค่ายกลมารขึ้นใหม่ ถึงจะรักษาเกาะนภาใต้ไว้ได้ก็ตาม ทว่าหากไม่สามารถสกัดกั้นนพยมโลกกลับไปได้ ทำให้มันย่างกรายมาที่เกาะทรายได้สำเร็จ เช่นนั้นเยี่ยนจ้าวเกอผู้ซึ่งเสนอแผนการแก้ไขปัญหานี้ออกมา อย่างน้อยก็ต้องรับผิดครึ่งหนึ่งคนเดียว
แม้ยอดฝีมือระดับสูงในสำนักเขากว่างเฉิง ล้วนรู้ดีว่าแผนการของเยี่ยนจ้าวเกอแท้จริงแล้วเป็นการเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ผ่อนเบาความเสียหาย ไม่มีความผิดแล้วยังมีความชอบ ถึงกระนั้นในบรรดาจอมยุทธ์ระดับกลางและต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาจอมยุทธ์เกาะทราย กลับไม่แน่ว่าจะเข้าใจจุดนี้
เวลานั้น การตำหนิอันมากเหลือจะนับ จะกดอัดเฉกเช่นภูเขาจะถล่มทับเยี่ยนจ้าวเกออย่างไรอย่างนั้น
รักษาความเงียบเอาไว้ ในช่วงเวลาสั้นๆ นับว่าปลอดภัย ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ยากเอาผิดคนหมู่มาก ถึงแม้จะลงโทษ ฝูงชนก็รับโทษด้วยกัน บทลงโทษก็จะไม่หนักเกินไปนัก
ยืดออกออกมาอย่างกล้าหาญ ความปลอดภัยในชีวิตตนแบกรับอันตรายมหาศาลไว้ แม้จะโชคดีที่รอดพ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเผชิญการถูกคนเป็นหมื่นเป็นพันชี้หน้าด่ากราดเพียงลำพัง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกคนต่างด่าประณาม
สวีเฟยมองเยี่ยนจ้าวเกอ ถอนใจแผ่วเบา “จ้าวเกอ เยี่ยมนัก”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ “หากเปลี่ยนเป็นท่าน เปลี่ยนเป็นท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ก็คงเลือกเหมือนข้าเช่นกัน”
วิหคเวหายิ้ม ตบไหล่เยี่ยนจ้าวเกอเบาๆ
ชายหนุ่มหุบยิ้ม หลังจากสองจิตสองใจเล็กน้อยครู่หนึ่งถึงค่อยพูด “มีเรื่องหนึ่ง ข้าคิดว่าท่านควรรับรู้ไว้”
ขณะพูด เยี่ยนจ้าวเกอมองสือเถี่ยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลแวบหนึ่ง “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ได้ล่วงรู้แล้ว”
ครั้นสวีเฟยได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยดังนั้น เขาก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ
ความตั้งใจของเขาแน่วแน่มั่นคง หลังจากตะลึงงันชั่วเสี้ยวขณะก็ฟื้นคืนสติกลับมา จมลงสู่ห้วงความคิด
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นในดวงตาทั้งสองของสวีเฟยปรากฏแววเศร้าเสียใจอย่างไม่อาจระงับ พลันทอดถอนใจครั้งหนึ่งเช่นกัน “ตอนนี้ยังไม่อาจพิสูจน์ยืนยัน เป็นเพียงการคาดการณ์ของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เอ่ยเช่นนี้ เป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้น้อยนิด ที่ข้าพูดว่าเป็นไปได้น้อยนิดนั้นคือความจริง อยากให้ท่านเตรียมใจไว้ก่อน”
ในมหาค่ายกลแดนมารก้นทะเลสาบปิดนภา สวีเฟยก็ประมือกับมหาปรมาจารย์ปกปิดใบหน้าผู้นั้นเช่นกัน ครั้นนึกย้อนภาพเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด เขาก็ขมวดหัวคิ้วเป็นปมแน่น
สวีเฟยส่ายศีรษะ ปลดถุงสุราบริเวณเอวกรอกเข้าปากคำหนึ่ง ก่อนจะเช็ดริมฝีปาก แล้วจึงกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ “วางใจได้ ข้าไม่เป็นไร”
เมื่อกล่าวลาสวีเฟยแล้ว พวกเยี่ยนจ้าวเกอและสือเถี่ย ก็กลับเขากว่างเฉิงทันทีโดยไม่หยุดพัก
แม้จะเป็นการเดินทางยาวไกลยากลำบาก ทว่ามีสือเถี่ยนำอยู่ ทุกคนยังคงกลับถึงสำนักอย่างรวดเร็ว ที่นั่นมีคนรอพร้อมข่าวดีหนึ่งอยู่ด้วย
“ผู้อาวุโสหลิวที่หลบหนีไป ถูกผู้อาวุโสเยี่ยนจับกุมไว้แล้ว”
————————-