ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 54 วิชาสื่อสารจิตวิญญาณ

ตอนที่ 54 วิชาสื่อสารจิตวิญญาณ

“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ แคว้นต้าเสวียนของเราคงไม่สงบสุขแล้วล่ะ ด้วยพลังของมังกรระดับผลึกจิตวิญญาณตัวนี้ อาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราคงไม่โชคดีที่จะมีโอกาสรอด” สีหน้านักพรตจงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องวางใจเถอะ ถึงแม้ศิษย์พี่เองจะได้ยินมาไม่ผิด แต่ก็อย่าลืมยังมีผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตทั้งสองคน ถึงแม้มังกรแดงตัวนั้นจะสามารถหลบหนีการสังหารจากอาจารย์อากับผู้อาวุโสหลิงอวี้ได้ แต่พอมันกระตุ้นให้ผู้อาวุโสนิกายจันทราสวรรค์และหอสายสารโลหิตทั้งสองต้องลงมือ ต่อให้มันจะมีพลังมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลบหนีความตายไปได้ โดยเฉพาะวิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์ ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ที่เจ้ามังกรแดงตัวนี้ไม่มีกระบี่สยบมังกร ถึงแม้จะโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานได้” จูชื่อกลับกล่าวแย้งไม่เห็นด้วย

“วิชากระบี่บินของนิกายจันทราสวรรค์พอฝึกสำเร็จจริงๆ แน่นอนว่าย่อมเป็นเครื่องมือสังหารที่ร้ายกาจมาก แต่ว่าวิชาดาบโลหิตของหอสายธารโลหิตก็โหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน พอมันถูกดาบที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบต่อให้แค่สร้างรอยขีดข่วนบนผิวหนังแค่เล็กน้อยมันก็จะต้องตายสถานเดียว แต่พูดไปพูดไปมามิใช่จะมีแค่สองนิกายนี้ นิกายแต่ละนิกายมีนิกายไหนบ้างที่ไม่มีของล้ำค่าที่ไม่ค่อยได้นำมาไช้ แม้แต่นิกายปีศาจของเราเองถ้าหากสามารถเรียกจอมราชาปีศาจที่สมัยก่อนปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งเคยเรียกออกมาจนสั่นสะเทือนสยบไปหลายแคว้น มันก็มีพลังเพียงพอที่จะกวาดล้างนิกายทั้งหลายได้ แต่ตอนนี้พูดเรื่องนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ตั้งแต่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายล่วงลับไปมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครสามารถเรียกออกมาได้อีก” นักพรตจงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมา

กุยหรูฉวนมองหน้ากันกับจูชื่ออยู่ครู่หนึ่งก็ฝืนยิ้มขมขื่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

สมัยนั้นนิกายปีศาจก็เคยได้ชื่อว่าเป็นนิกายแกนนำของนิกายทั้งหลาย แต่ภายหลังกลับค่อยๆ เสื่อมถอยไปทีละรุ่น ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังมีอาจารย์อาที่เป็นบรรลุระดับผลึกจิตวิญญาณคอยประคับประคองไว้ เกรงว่าตำแหน่งนิกายอันดับห้าในแคว้นก็คงไม่มั่นคงแล้ว

สิ่งนี้ทำให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเขารู้สึกละอายไม่น้อย

“เอาล่ะ เจ้ามังกรร้ายนั่นถึงแม้จะสร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมาก แต่ยังมีอาจารย์อาและคนอื่นๆ อยู่ ก็คงไม่สามารถสร้างหายนะได้มากนัก ตอนนี้พวกเรามาถกปัญหาในสาขาเราเถอะ” กุยหรูฉวนกระแอมไอเบาๆ กล่าวออกมา

จูชื่อและนักพรตจงได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่คัดค้าน รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

สิบวันต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ในห้อง เขากำลังดูขวดหยกสีขาวอย่างไม่มีตำหนิในมือของเขา

และขวดแบบเดียวกันอีกสองขวด วางอยู่ข้างกาย

นี่คือน้ำจิตวิญญาณล้างไขกระดูกสามขวดที่วันนี้เขาเพิ่งไปรับมาจากกุยหรูฉวน

ตามที่กุยหรูฉวนบอก ตอนที่ใช้น้ำจิตวิญญาณเหล่านี้ทางที่ดีควรจะออกกำลังกระตุ้นร่างกายซะก่อน จากนั้นใช้ให้มันให้หมดภายในสองสามวันนี้มันถึงจะให้ผลลัพธ์การชำระล้างไขกระดูกได้ดีที่สุด

แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนการใช้ผู้ย่อมไม่สามารถใช้ได้อย่างสบาย

หลิ่วหมิงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็วางขวดบนมือลงพื้นแล้วก้าวยาวๆ ออกไปยังลานเล็กๆ หน้าที่พัก

เสียงดัง “ฟรึ่บ!”

เขาถอดเสื้อส่วนบนออกเผยให้เห็นร่างกายที่นับว่าแข็งแรงมาก และสูดลมหายใจเบาๆ เริ่มปล่อยพลังหมัดที่ดูแปลกประหลาดออกมา

ครั้งแล้วครั้งเล่า!

เสียงหมัดดังขึ้นติดต่อกัน มันคือวิชาหมัดฝึกร่างที่เขาเรียนตอนที่ไปทำนาจิตวิญญาณในครั้งนั้น

เวลาค่อยๆ ผ่านไป กล้ามเนื้อและผิวหนังของหลิ่วหมิงค่อยๆ แดงขึ้นมา หลังจากที่เม็ดเหงื่อใสๆ โผล่ขึ้นตรงแผ่นหลัง ก็เริ่มมีไอร้อนระอุแผ่ออกมา ทั้งยังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนหมัดพายุดุเดือด ไม่สามารถขับกระจายให้ออกไปได้หมด

หลิ่วหมิงหยุดการกระทำแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพัก ด้วยลมหายใจที่หอบเล็กน้อย

เขาถอดกางเกงออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบขวดจากพื้นขึ้นมาหนึ่งขวด เปิดฝามันแล้วเทน้ำจิตวิญญาณสีขาวออกมาจากในนั้นแล้วเริ่มถูมันไปทั่วร่าง

พอน้ำจิตวิญญาณหยดลงมือก็มีความรู้สึกเย็นไปถึงกระดูก พอถูไปยังบนผิวหนังกลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือน

หลิ่วหมิงแสยะปาก แต่มือก็ถูไปยังทุกส่วนของร่างกายไม่หยุด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปด้วยร่างที่เปลือยเปล่าโล่งโจ้ง และเริ่มโคจรพลังอย่างเงียบๆ

เขาโคจรพลังเวทย์แต่ละครั้งความเย็นเฉียบบนผิวหนังก็เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หลังจากโคจรไปหนึ่งรอบก็รู้สึกราวกับโลหิตเกาะตัวจนเป็นน้ำแข็ง

แต่จากคำแนะนำของนักปราชญ์กุยก่อนหน้านี้ หลิ่วหมิงจึงรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันโคจรพลังภายในอยู่ไม่หยุด และเมื่อเขาหลับตาทั้งสองลงท่ามกลางร่างที่ด้านชา เขาจึงค่อยๆ ลืมเวลาและทุกสิ่งอย่าง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดความเย็นยะเยือกบนผิวหนังของเขาก็จางหายไป ในขณะเดียวกันรูขุมขนก็เริ่มขับสิ่งของสีดำที่ดูคล้ายกับไขมันออกมา และส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาด้วย

แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามในตอนนี้คือ ใบหน้าของหลิ่วหมิงแดงเปล่งปลั่งกว่าปกติทั้งยังเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ตลอด

หลังจากมีเสียงถอนหายใจยาวๆ ออกมา ในที่สุดเขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น แต่หลังจากมองลงบนร่างของตัวเองแล้วคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที เขาร่ายคาถาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอามือแตะลงไปบนศีรษะ

เสียงดัง “ซ่า!” “ซ่า!” น้ำใสสะอาดปรากฏขึ้นกลางอากาศ และร่วงลงไปชำระคราบสกปรกสีดำบนร่างเขาจนสะอาดหมดจด

หลิ่วหมิงรวบเส้นผมไปยังด้านหลัง ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลงส่งพลังจิตเข้าไปในร่างอีกครั้ง และตรวจสอบดูอย่างรวดเร็ว

โครงกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นชีพจร ทะเลจิตวิญญาณต่างๆ ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ถูก พลังเวทย์ก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็พอๆ กับผลการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ยกแขนขึ้น ใช้แรงเล็กน้อยในการกุมนิ้วทั้งห้า ดูเหมือนว่าพลังจะมีมากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เมื่อก้มหน้าสำรวจดูทั่วทั้งร่างอีกครั้ง รูปร่างก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขาฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ ถึงแม้ไม่ได้ใช้พลังเวทย์เข้าช่วยพลังก็ยังดูเหมือนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แม้ในแต่ละครั้งจะเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่สะสมแบบนี้มาได้หนึ่งปีมันก็ไม่ใช่เรื่องน้อยๆ มันมากกว่าก่อนที่เขาเข้านิกายปีศาจสองเท่า

ตอนแรกหลิ่วหมิงคิดว่ามันเป็นผลจากการฝึกฝนวิชาหมัดฝึกร่างบ่อยๆ แต่ต่อมาได้แอบสอบถามบรรดาศิษย์หลายคนที่เข้านิกายมาก่อน ถึงทราบว่าวิชาหมัดฝึกร่างนั้นถึงแม้จะมีผลในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายแต่ก็ไม่ได้มากถึงเพียงนี้

ด้วยเหตุนี้พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างแปลกประหลาดมาโดยตลอด แปดถึงเก้าส่วนเป็นไปได้ว่ามาจากเคล็ดวิชากระดูกดำ

พูดตามจริง เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ถึงแม้จะดูคล้ายวิชาจิตวิญญาณปีศาจของนิกายปีศาจ แต่พูดถึงผลการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมนั้นมีน้อยมาก แม้กระทั่งเดิมทีควรมีเคล็ดวิชาพิเศษเสริมตรงท้ายแต่ในนี้กลับไม่มี อย่างน้อยมันไม่ได้แปลและเขียนไว้ในคัมภีร์ที่ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้นั้นให้

นี่ก็กล่าวได้ว่า นอกจากเขาจะหาเคล็ดวิชาที่มีลักษณะเหมือนกันที่สามารถฝึกฝนได้แล้ว ก็อย่าคิดฝันที่จะสามารถใช้วิธีการพิเศษใดๆ ในการต่อสู้จริงจากเคล็ดวิชากระดูกดำเลย

ตอนที่หลิ่วหมิงค้นพบเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นยิ่งนัก

ด้วยเหตุนี้ ถ้าเขาไม่ฝึกฝนวิชาหลายๆ วิชาให้สำเร็จ นับวันเขายิ่งจะดูเหมือนเป็นแค่ร่างฝึกคนหนึ่งเท่านั้น

หลิ่วหมิงคิดแบบนี้แล้วก็ส่ายศีรษะ นั่งขัดสมาธิลงไป เริ่มหยิบขวดใบเล็กขึ้นมาเพื่อใช้ถูบนร่างอีกครั้ง

ความเย็นยะเยือก ความเจ็บปวด ยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิมจนทำให้เด็กหนุ่มแบะปากออกมา

สามวันต่อมา ตอนที่หลิ่วหมิงเดินออกมาจากห้องพัก เห็นได้ชัดว่าช่วงไหล่หนาแน่นกว่าสามวันก่อนเล็กน้อย รูปร่างก็สูงกว่าเดิมครึ่งศีรษะกว่าๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ใบหน้าเขายังคงมีลักษณะอ่อนวัยอยู่ เกรงว่าใครๆ ต่างก็คงคิดว่าเขาเป็นหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว

และหลายวันนี้ แม้การถูน้ำจิตวิญญาณละครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก แต่ผลหลังจากการถูเสร็จทั้งหมดกลับน่าตกตะลึงเป็นยิ่งนัก

หลิ่วหมิงยืดเส้นยืดสาย และรำหมัดฝึกร่างไปหนึ่งรอบ

ผลจากพายุหมัดที่พุ่งไปรอบด้าน ทำให้หน้าดินบนพื้นดินแข็งๆ หลุดออกมา

ผลลัพธ์อันน่าตกใจนี้ ถ้าเป็นสามวันก่อนเขาไม่มีทางทำได้

หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ของน้ำล้างไขกระดูกทั้งสามขวดมาก

เขาหยุดการกระทำ กลับเข้าไปเก็บกวาดยังห้องฝึกฝนครู่หนึ่ง และสงบจิตเริ่มทำความเข้าใจกับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ

เคล็ดวิชานี้นับวาเป็นวิชาที่ฝึกกันมากในบรรดาศิษย์นิกายปีศาจ ถ้ามันสามารถใช้ควบคุมปีศาจได้สักตนล่ะก็ เท่ากับว่ามีผู้ช่วยข้างกายเพิ่มขึ้นมาอีกคน และเมื่อผจญกับภยันตรายยังสามารถช่วยสืบเสาะหาอันตรายที่ตนเองไม่ทราบล่วงหน้าได้

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ศิษย์บางส่วนที่ฝึกวิชาไม่เหมาะกับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณแต่ก็ยังคงสามารถฝืนฝึกได้เล็กน้อย สำหรับพวกเขาแล้วต่อให้สามารถเรียกใช้ได้แค่ปีศาจระดับต่ำสุดก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

และในก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงทำความเข้าใจมาได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน

ตามที่เขียนไว้บนคัมภีร์วิชาสื่อสารจิตวิญญาณ ศิษย์ที่คิดจะใช้วิชานี้ควบคุมปีศาจที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากนั้น โดยทั่วไปจะมีอยู่สองวิธี

วิธีแรกก็เหมือนกับศิษย์พี่ผู้ที่ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณในการประลองเล็กผู้นั้น โดยใช้เคล็ดวิชาอื่นในการสร้างหุ่นปีศาจที่คล้ายกับปีศาจกระดูกขาว จากนั้นก็ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณในการควบคุมวิญญาณปีศาจเร่ร่อน ฝึกมันจนกลายเป็นวิญญาณนักรบที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้ และหลอมรวมมันเข้ากับหุ่นปีศาจ

วิธีการนี้สร้างวิญญาณนักรบระดับต่ำได้ง่ายมาก ด้วยเหตุนี้แค่สร้างหุ่นปีศาจได้ปีศาจก็มีพลังอย่างรวดเร็ว

แต่พลังของปีศาจในรูปแบบนี้จะเพิ่มขึ้นช้ามาก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวิญญาณนักรบหรือฝึกฝนหุ่นปีศาจล้วนแต่เป็นเรื่องที่เสียแรงเสียเวลาเป็นอย่างมาก

ไม่รู้ว่าศิษย์นิกายปีศาจสักกี่คนที่เลือกวิธีการนี้จนต้องเสียเวลาในการฝึกฝนตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้ไม่คุ้มกับที่เสียไป

วิธีการที่สองนี้ง่ายยิ่งกว่า นั่นก็คืออาศัยค่ายกลเทพลี้ลับที่นักพรตลิ่วยินสร้างขึ้นมาในสมัยก่อน เพื่อเข้าไปยังแดนว่างเปล่าลึกลับที่เรียกว่า “แดนปีศาจปรโลก” แล้วหาวิญญาณจอมปีศาจที่ดุร้ายและทำให้มันศิโรราบ

ปีศาจที่ถูกทำให้ศิโรราบโดยวิธีการนี้ โดยทั่วไปจะมีสติปัญญาดีเป็นอย่างมาก แค่นำพวกมันไปวางไว้สถานที่ที่มีปราณหยินเต็มที่ มันก็สามารถฝึกฝนจนค่อยๆ เพิ่มพลังได้เอง

แต่แดนปีศาจปรโลกนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปและศิษย์อื่นๆ ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปในสถานที่ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ปีศาจที่จับได้ล้วนเป็นปีศาจระดับต่ำสุดอย่างปีศาจระดับพลทหาร ถ้าคิดที่จะฝึกให้มันค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นในบั้นปลาย ล้วนเป็นเรื่องที่เสียเวลาเป็นอย่างมาก

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset