บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินหัวเราะลั่นอยู่นานจนในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง เขาลอยเอื่อยเฉื่อยลงมาจากบนแท่นศิลาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เจ้าหนูเผ่ามนุษย์ ตอนนี้ข้าเป็นคนถามเจ้า เจ้าเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ เหตุใดจึงมาโผล่ที่ยมโลกแห่งนี้ได้”
หลิ่วหมิงฟังจบ สายตาก็วูบไหว เหลือบมองไปยังทางเข้าห้องศิลาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าเลิกคิดเสีย มิติแห่งนี้ถูกค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานของข้าล้อมเอาไว้ แม้ใกล้จะพังทลาย แต่ก็ขังเด็กน้อยระดับแก่นเสมือนเช่นเจ้าสักปีหรือครึ่งปีได้เหลือเฟือ เจ้าตอบคำถามข้ามาดีๆ หากข้าพอใจ ไม่เพียงจะไม่ทำร้ายเจ้า ยังจะมอบโชควาสนาครั้งใหญ่ให้เจ้าอีกด้วย” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้นมา
“โชควาสนาหรือ”
หลิ่วหมิงไม่แสดงสีหน้าผิดปกติแม้แต่น้อย แต่ในใจความคิดแล่นเร็วจี๋ดั่งสายฟ้าแล้วประสานมือ ตอบกึ่งจริงกึ่งลวงว่า “ผู้อาวุโส ระหว่างที่ผู้เยาว์ถูกศัตรูไล่ล่าสังหาร ไม่ระวังพลัดเข้ามาในรอยแยกมิติแห่งหนึ่ง จับพลัดจับผลูบังเอิญมาถึงดินแดนแห่งนี้…จนไม่นานมานี้จึงเพิ่งรู้ว่าดินแดนแห่งนี้ก็คือยมโลกในตำนาน”
“รอยแยกมิติ…เหอะ! เจ้าหนู เจ้าช่างพูดจาเต็มไปด้วยถ้อยคำโป้ปดเสียจริง! รอยแยกมิติที่เชื่อมระหว่างสองโลกพลังของคลื่นแห่งกาลเวลาผันผวนยิ่งนัก แม้แต่ยามที่ข้าทรงพลังที่สุดก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปง่ายๆ แล้วผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนตัวเล็กๆ อย่างเจ้าบอกจะเข้าไปก็เข้าไปได้ บอกจะออกก็ออกมาได้หรือ?” บุรุษชุดสีน้ำเงินแค่นหัวเราะ สีหน้าเริ่มบึ้งตึง ปราณปีศาจที่แฝงกลิ่นอายดุร้ายทะลักออกมาจากร่างเขาแล้วก่อตัวเป็นเงาเลือนรางร่างหนึ่งด้านหลัง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจิ้งจอกที่มีขนยาวสีน้ำเงินทั่วร่างตัวหนึ่ง รอบกายมีอสนีบาตวนล้อมอยู่เลือนราง ด้านหลังมีหางหนาเท่าแขนสะบัดแกว่งไกวอยู่เจ็ดเส้น
“ผู้อาวุโสเป็นผู้ชาญฉลาด ข้าน้อยหาได้มีเจตนาจะหลอกลวงผู้อาวุโสอย่างแน่นอน ข้าเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์จากแผ่นดินจงเทียน พบทางเชื่อมมิติในอาณาเขตทางปีศาจร้ายที่สำนักข้าบุกเบิกจึงถูกเคลื่อนย้ายมายังที่แห่งนี้” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์ก็รีบอธิบายอีกสองประโยค
เมื่อดูจากปราณปีศาจอันแข็งแกร่งสายนี้ที่อีกฝ่ายแผ่ออกมารวมกับร่างพลังเวทของเขา เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าปีศาจตนหนึ่ง นี่ผิดจากที่คาดไว้มากจริงๆ
“ปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหาง หรือว่า…” สายตาของหลิ่วหมิงจับจ้องไปที่เงาด้านหลังอีกฝ่ายเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา ในใจลอบเอ่ยกับตนเอง
“ทางปีศาจร้าย? นั่นคือสถานที่ใด ปีศาจร้าย…ประเดี๋ยวก่อน เจ้าลองเล่าสภาพของที่นั่นมาซิ” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินฟังจบก็เผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นเอ่ยถามอย่างเอื่อยเฉื่อย
หลิ่วหมิงเห็นอีกฝ่ายเก็บพลังไปบ้างแล้วจึงไม่ปิดบังเช่นกัน เขาเล่าสิ่งที่ได้พบได้เห็นในทางปีศาจร้ายให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ
“อ้อ ที่แท้เจ้าก็หมายถึงแดนรากษส ที่นั่นเป็นดินแดนของผู้ถูกเนรเทศจากยมโลก นี่ก็เป็นไปได้อยู่” บุรุษวัยกลางคนชุดน้ำเงินเอ่ยอ้อยอิ่งคล้ายกำลังคิดบางสิ่งอยู่ ลมปราณดุร้ายที่แผ่ออกมาค่อยๆ หดกลับไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เขาย่อมไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากอะไรขึ้นก่อนอีก
“จะว่าไปแล้วหุบเขาสิ้นสูญก็นับเป็นสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งของแดนวารีมืด ผู้อื่นหวาดกลัวแทบไม่ทัน เหตุใดเจ้าจึงฝ่าเข้ามาที่นี่เล่า” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากถามขึ้นอีก
“ผู้เยาว์ไล่ตามเผ่ายมโลกที่ถูกผู้อาวุโสสังหารไปเมื่อครู่จนพลาดท่าล่วงล้ำเข้ามาถึงที่นี่” ครั้งนี้หลิ่วหมิงเอ่ยความจริง
“ดีมาก หากเจ้ามีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเผ่ายมโลกจริง ไม่แน่ข้าอาจตบเจ้าให้ตายในฝ่ามือเดียวระบายความชิงชังในใจ!” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เหมือนจะตัดสินใจได้
หลิ่วหมิงฟังจบก็อดไม่ได้ขมวดคิ้วนิดๆ อยู่ในใจ
“ข้าจะบอกเจ้าตามตรง ข้าเป็นเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวง แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นตอนนี้ เวลานี้ข้าเป็นเพียงวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เจ้าคงอยากรู้มากว่าเหตุใดข้าจึงมาโผล่ที่นี่ เหตุใดตอนนี้จึงเหลือเพียงวิญญาณใกล้มอดดับสินะ?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ เหมือนกำลังเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลยสักนิด
หลิ่วหมิงมองบุรุษชุดสีน้ำเงินนิ่งๆ แล้วพยักหน้า ดวงตาทอประกายสงสัยใคร่รู้จริงๆ
“ข้ามีนามว่าชิงหลาน เดิมทีเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าปีศาจชื่อดังเผ่าหนึ่งบนแผ่นดินหมานฮวง สายเลือดที่สืบทอดมาในตระกูลแม้จะเทียบไม่ได้กับเก้าหางในตำนาน แต่อยู่ในตระกูลก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่พันปียากจะหาพบสักครั้ง…หลายร้อยปีก่อนข้าได้รับคำเชิญจากสหายร่วมเผ่าผู้หนึ่งให้เข้ามาในยมโลกด้วยกันกับเขา เพื่อมายังแดนวารีมืดแห่งนี้ช่วยเขาทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งให้สำเร็จ”
บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเล่าไปก็เผยสีหน้าหวนคิดถึงอดีต
“…แม้เผชิญอันตรายยากลำบากแล้วยังเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ในที่สุดเรื่องนั้นก็สำเร็จ แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสหายรักร่วมเผ่าที่เชิญข้ามาที่แห่งนี้มิได้มีเจตนาดีแม้แต่น้อย หลังเสร็จเรื่อง ข้าไม่เพียงไม่ได้รับของตอบแทนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า กลับยังถูกคนชั่วผู้นั้นร่วมมือกับกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกที่ชื่อ “เมืองนี่หลู” ของที่แห่งนี้ล้อมโจมตี แม้ข้าจะมีระดับพลังสูงกว่าพวกเขาขั้นหนึ่ง แต่คนน้อยไม่อาจชนะคนมาก สุดท้ายจึงสิ้นใจอยู่ที่นี่” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเล่าถึงตรงนี้ก็กัดฟันเล่าอย่างเคียดแค้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งร่างกายและวิญญาณของผู้อาวุโสก็สมควรถูกกำจัดทั้งคู่ เหตุใดจึงยังเหลือวิญญาณเสี้ยวหนึ่งอยู่ที่นี่เล่า” หลิ่วหมิงพลันเอ่ยปากถามขึ้นมา
“นั่นเพราะข้าระวังรอบคอบอยู่เสมอ ก่อนลงมือทำเรื่องใหญ่นั่น ข้าได้ใช้วิชาลับแบ่งวิญญาณเสี้ยวหนึ่งใส่ไว้ในอาวุธชิ้นหนึ่งแล้วใช้อาวุธชิ้นนี้เป็นดวงตาค่ายกล วางมหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานนี้ขึ้น ดังนั้นหลังจากดวงวิญญาณหลักดับสูญ เสี้ยววิญญาณจึงอยู่รอดมาได้อย่างยาวนาน ข้าทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะอยู่รอดมาถึงตอนนี้เพราะเหตุนี้” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยเย้ยหยันตนเองอยู่นิดๆ
หลิ่วหมิงฟังจบ บนใบหน้าก็มีสีหน้าตกตะลึงพาดผ่านอย่างห้ามไม่ได้
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้นี้รอบคอบนัก แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้นก็ยังมีจุดจบเช่นนี้ แสดงให้เห็นความน่ากลัวของเผ่าปีศาจผู้นั้นที่ลอบเล่นงานเขา
“น่าเสียดาย เสี้ยววิญญาณนี้ของข้าอ่อนแอจึงไม่อาจต้านทานการกัดกร่อนของปราณยมโลกนอกหุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงออกจากยมโลกแห่งนี้ ดังนั้นหลายร้อยปีมานี้ข้าจึงหลบอยู่ที่นี่มาตลอด อาศัยสังหารภูตผีหรืออสูรแห่งความมืดระดับล่างที่พลัดหลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ดูดกลืนพลังจิตจำนวนหนึ่งจากร่างพวกมันฝืนรักษาเสี้ยววิญญาณที่ใกล้ดับสูญมาจนถึงวันนี้ แต่แล้วข้าดิ้นรนหนีจากความตายมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็ได้ผลตอบแทน” บุรุษชุดน้ำเงินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล่า สุดท้ายก็ยิ้มขณะที่มองมาหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ หัวใจพลันกระตุกวูบ เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างห้ามไม่ได้ ในใจเกิดลางสังหรณ์ร้ายบางอย่าง
“หรือปีศาจตนนี้คิดจะยึดกายเนื้อของข้า!”
“ฮ่ะๆ เจ้าไม่ต้องกังวล เสี้ยววิญญาณเสี้ยวนี้ของข้าสูญเสียพลังจำนวนหนึ่งไปกับกาลเวลาอย่างไร้ค่า แล้วเมื่อครู่ยังฝืนกระตุ้นชั้นจำกัดในที่แห่งนี้สังหารเผ่ายมโลกตนนั้นเป็นการระบายแค้นอีก ตอนนี้ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้แย่งร่างมาก็มีชีวิตได้อีกไม่นาน” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
หลิ่วหมิงฟังจบ สายตาพลันกวาดผ่านร่างกายที่เลือนรางและสั่นไหวของเขา เมื่อพบว่าตัวเขาให้ความรู้สึกแข็งนอกกลวงในจริงๆ ตอนนี้จึงโล่งใจ
“ผู้อาวุโสบอกเรื่องของตนกับผู้เยาว์มากมายเช่นนี้ คงต้องการให้ผู้เยาว์ทำเรื่องบางอย่างให้ท่านสินะ” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจบางอย่าง
“ไม่ผิด เสี้ยววิญญาณของข้าเป็นโคมสิ้นน้ำมัน แม้ไม่ถูกก่อกวน ภายในไม่กี่ปีก็คงสลายกลายเป็นหมอกควัน ดังนั้นข้าจึงอยากจะแลกเปลี่ยนบางสิ่งกับเจ้าตอนนี้” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยเรียบๆ
“แลกเปลี่ยน?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียว
“เจ้าน่าจะฝึกฝนวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่มาจากเผ่าพันธุ์ของข้าอยู่สินะ” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินฉับพลันเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จังหวะนั้นที่เขาโจมตีม่านแสงชั้นจำกัดก่อนหน้านี้ เขาเก็บวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าบุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินผู้นี้จะสัมผัสได้ เขาพยักหน้าลงช้าๆ
“ผู้อาวุสายตาแหลมคม ไม่ผิด ข้าน้อยได้วิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนมาฝึกฝนจากโอกาสที่บังเอิญยิ่งนักครั้งหนึ่ง”
“พูดไปแล้วที่แผ่นดินหมานฮวงของพวกเราภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนก็เป็นสุดยอดวิชาลับที่หายากวิชาหนึ่ง เล่ากันว่าตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ แม้เริ่มต้นไม่ยาก แต่จะบรรลุถึงขอบขั้นสูงสุดกลับไม่ง่าย ข้าดูจากสภาพตอนนี้ของเจ้าน่าจะยังฝึกฝนวิชาลับนี้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบสินะ?” บุรุษชุดสีน้ำเงินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วประสานมือเอ่ยขึ้น
หลายปีนี้เรื่องภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนวนเวียนอยู่ในใจเขามาตลอด
ก่อนเข้ามาในทางปีศาจร้าย เขาให้เชอฮ่วนกลืนกินวิญญาณของปีศาจอสูรระดับสูงไปไม่น้อย จนวิชาลับใกล้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แล้วหลายปีที่อยู่ในทางปีศาจร้ายเขาก็ให้มันกลืนกินภูตผีวิญญาณระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้อีกไม่น้อย
แต่วิชาลับเชอฮ่วนนี้แม้จะพัฒนาอยู่บ้าง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับไม่อาจบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบมาตลอด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านม้วนคัมภีร์สำริดที่บันทึกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเล่มนั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ตลอดมาก็ยังไม่เข้าใจว่าปัญหาอยู่ที่ใด
“ข้าย่อมรู้เคล็ดลับของวิชานี้ แต่หากข้าไม่ได้ผลประโยชน์ เหตุใดข้าต้องชี้แนะเจ้าเล่า?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา
“ผู้อาวุโสต้องการแลกเปลี่ยนเช่นไร โปรดชี้แจงด้วย!” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อยๆ คลายสองมือที่ประสานหมัดออกจากกัน
“ข้าช่วยเจ้าฝึกฝนวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบได้ แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าต้องสาบานต่อจิตมาร รับปากจะช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งให้ลุล่วง” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หรือว่าผู้อาวุโสต้องการให้ข้าแก้แค้นแทนท่านหรือ” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“ไม่ผิด! แค้นที่คร่าชีวิตย่อมไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน ไม่ล้างแค้นครั้งนี้ อย่างไรข้าก็กล้ำกลืนความแค้นครั้งนี้ไม่ลง” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินดวงตาวาวโรจน์แล้วพยักหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ฮ่ะๆ พลังระดับผู้อาวุโส ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ลอบเล่นงานท่านได้อย่างน้อยก็คงเป็นปีศาจร้ายระดับดาราพยากรณ์ ข้าน้อยเป็นเพียงผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตัวเล็กๆ ที่แม้แต่แก่นแท้ก็ยังผนึกไม่สำเร็จคนหนึ่ง อีกอย่างเวลาผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว คู่แค้นตนนี้ของผู้อาวุโสเกรงว่าคงกลับแผ่นดินหมานฮวงไปนานแล้ว เรื่องนี้ผู้เยาว์เกรงว่าต่อให้มีใจก็ไร้กำลังจริงๆ” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยปฏิเสธอย่างฉับไว
“หึๆ เรื่องนี้เจ้าเลือกไม่ได้ ตอนนี้เจ้าอยู่ในมหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานของข้า หากไม่ตกลง ข้าใช้เพียงพลังเสี้ยวสุดท้ายของชั้นจำกัดนี้ก็สังหารเจ้าได้ง่ายดายเหมือนขยี้แมลงวันตัวหนึ่ง” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินสีหน้านิ่งสงบคล้ายคาดเดาอยู่ก่อนแล้วว่าหลิ่วหมิงต้องปฏิเสธ จากนั้นจึงเอ่ยข่มขู่