หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วโค้งคารวะ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเรียบร้อย
“ดีมาก! นับว่าเจ้ามาได้ค่อนข้างเร็ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาครั้งนี้นอกจากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาแล้ว ยังอยากคุยเรื่องการเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณกับเจ้าด้วย พวกเราหลายคนต่างก็มองออกว่าเจ้าคงได้รับของดีอย่างอื่นจากแดนลึกลับ ระดับการฝึกฝนถึงได้เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นมาก ด้วยพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมายังไม่มั่นคงจึงยังไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ”
“อาจารย์ปราดเปรื่องยิ่งนัก ศิษย์เคยทานผลไม้จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งในตอนที่อยู่แดนลึกลับจนพลังเวทย์เพิ่มถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ผลไม้จิตวิญญาณเหล่านี้พอเด็ดลงมาแล้วผลลัพธ์ของมันจะค่อยๆ ลดลง ศิษย์จึงไม่อาจนำออกมานอกแดนลึกลับได้” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับไป
“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องอธิบายหรอก! เจ้าได้รับผลประโยชน์อันดีใดในแดนลึกลับล้วนเป็นวาสนาของเจ้า ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องเหล่านี้หรอก นี่เป็นสิ่งที่แต่ละนิกายต่างก็ยอมรับโดยปริยาย อย่างไรซะการที่พวกเจ้าเข้าทดสอบความเป็นความตายเดิมทีก็เป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างสูงอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ทางที่ดีควรจะรออีกสักหน่อย เพื่อให้พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่มั่นคงเสียก่อน จากนั้นค่อยทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ” นักพรตแซ่จงโบกมือกล่าวออกมา
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ ศิษย์รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างนอบน้อม และรู้สึกผ่อนคลายไปมาก
“เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ อีกสักครู่ข้าค่อยคุยกับเจ้าอย่างละเอียด ตอนนี้จะพูดเรื่องกำแพงเก็บเงากับเจ้าก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่?” นักพรตแซ่จงถามโดยไม่เร่งรีบ
“เรียนอาจารย์ ศิษย์ได้ยินเป็นครั้งแรกว่านิกายของเรามีของสิ่งนี้ด้วย” หลิ่วหมิงกะพริบตาแล้วตอบกลับไป
“อืม! มันเป็นเรื่องปกติ คนในนิกายที่รู้เรื่องการมีอยู่ของกำแพงเก็บเงานั้น นอกจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าแล้ว ศิษย์ทั่วไปคงมีไม่ถึงสิบคน และแต่ละคนก็ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับ เมื่ออาจารย์เล่าเรื่องกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟังโดยละเอียดแล้ว เจ้าอย่าไปเล่าให้ใครฟังล่ะ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของนิกาย” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ทราบ! ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นยะเยือก
“ดี! ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะเล่าความเป็นมาของกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟัง ของสิ่งนี้เดิมทีเป็นหินมหัศจรรย์จากทะเลลึกที่ไม่ทราบชื่อ ต่อมาถูกเผ่าเจ้าสมุทรช้อนขึ้นมาจากก้นทะเล แล้วถึงมาตกอยู่ในมือของปรมาจารย์ลิ่วยิน ว่ากันว่าปรมาจารย์ลิ่วยินต้องเก็บตัวหลายปี ในที่สุดก็สามารถหาประโยชน์ใช้สอยของมันได้ และยังไปหาผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้นทำการประทับชั้นจำกัดลี้ลับมหัศจรรย์ไว้บนหินก้อนนี้ด้วย จากนั้นก็นำมันมาเก็บไว้ในห้องลับที่ใช้ในการฝึกฝน และไม่นำมันออกสู่สายตาผู้คนอีก จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ปรมาจารย์ลิ่วยินก็ถึงใกล้ถึงเวลาสิ้นอายุขัย ท่านจึงเรียกศิษย์ทั้งหลายมารวมตัวต่อหน้า แล้วบอกเล่าประวัติของตนเองกับวิธีการใช้ประโยชน์จากกำแพงเก็บเงาก้อนนั้น “ นักพรตแซ่จงกล่าวถึงจุดนี้แล้วก็หยุดเล็กน้อย
“ประวัติของปรมาจารย์กับประโยชน์ของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้?” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมา
“ไม่ผิด! ตามที่อาจารย์ปู่บอก แท้จริงแล้วท่านเป็นศิษย์มาจากนิกายใหญ่ในแผ่นดินอื่น แต่เป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้ท่านต้องระเหเร่ร่อนมายังแผ่นดินอวิ๋นชวน และก็ไม่สามารถกลับนิกายของตนเองได้ ทำได้เพียงแต่ก่อตั้งนิกาย และวิชาที่ถ่ายทอดในแต่ก่อนก็เป็นวิชานอกรีตเท่านั้น แต่เมื่อวาระสุดท้ายของท่านมาถึง ท่านก็ไม่อยากที่จะให้วิชาที่ท่านเรียนมาทั้งหมดถูกฝังไปกับท่าน จึงได้มีกำแพงเก็บเงาก้อนนี้ขึ้นมา ท่านอาศัยกำแพงเก็บเงากับชั้นจำกัดพิเศษที่อยู่บนนั้น นำเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาเก็บไว้บนนั้น ภายหน้าถ้าศิษย์คนใดมีวาสนาก็จะสามารถทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงา และได้รับถ่ายทอดบางส่วนไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่นับว่าอาจารย์ทำลายคำปฏิญาณของตนเอง ตอนนี้เจ้าเข้าใจมูลค่าของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้แล้วใช่ไหม!” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้ปรมาจารย์ท่านเป็นคนจากแผ่นดินอื่น! แต่ก่อนหน้านั้นอาจารย์ก็คงจะเคยทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงาแล้วใช่ไหม ไม่ทราบว่าได้สิ่งใดมาบ้าง” หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งแล้วถึงถามออกไป
“ตามกฎของนิกาย กำแพงเก็บเงานี้มีแต่ผู้ฝึกในระดับสูงในนิกายเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ และตามกฎที่อาจารย์ปู่ตั้งไว้ในปีนั้น นอกจากศิษย์ที่กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้นิกายแล้ว นอกนั้นก็ไม่สิทธิ์ทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงานี้ เพราะว่ากำแพงเก็บเงานี้ก็เป็นสิ่งของสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่กระตุ้นมันพลังบางอย่างในนั้นก็จะหายไป เมื่อพลังทั้งหมดหายไปจนหมดสิ้นก็จะเป็นวันที่ของสิ่งนี้พังสลายไปด้วย และผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พลังในกำแพงคงมีไม่ค่อยมากแล้ว ส่วนมันจะพังทลายลงมาเมื่อใดนั้น เรื่องนี้คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ ไม่แน่ว่าหลังจากที่เจ้ากับหยางเฉียนไปดูมันแล้วมันก็จะอาจจะพังทลายไปเลยก็ได้ ในปีนั้นที่อาจารย์ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก็เคยไปดูกำแพงเก็บเงานี้หนึ่งคืน แต่นอกจากจะเห็นเงาพร่ามัวเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น และรู้สึกจิตปลอดโปร่งในเช้าวันที่สองแล้ว ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย และหลังจากที่อาจารย์ลุงจูของเจ้าไปดูในปีนั้นก็ได้ผลลัพธ์ออกมาพอๆ กัน แต่เมื่ออาจารย์ลุงกุยของเจ้าดูเสร็จก็เข้าใจอะไรบางอย่าง และสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่ในการฝึกฝนของตนเองได้ ส่วนคนอื่นๆ ในนิกายส่วนใหญ่ก็ได้ผลเหมือนกับอาจารย์ ซึ่งเห็นเพียงแค่เงาแปลกๆ บนกำแพง และบางส่วนกลับได้เคล็ดสั้นๆ มา และใช้แก้ปัญหาบางอย่างในการฝึกฝนได้ ตั้งแต่วันที่กำแพงเก็บเงาถ่ายทอดวิชามาจนถึงตอนนี้ มีคนเข้าใจวิชาทั้งชุดจริงๆ แค่สามสี่คนเท่านั้น และเคล็ดวิชาที่พวกเขาได้รับต่างก็ถูกจัดอยู่ในเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกาย มีคนเพียงไม่กี่คนในแต่ละรุ่นที่สามารถแบ่งแยกกันฝึกหนึ่งในวิชาเหล่านั้นได้ แม้แต่สามสุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายก็ไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นพอถึงเวลาเจ้าจะได้อะไรจากกำแพงเก็บเงาบ้างล้วนต้องพึ่งวาสนาของเจ้าแล้ว” นักพรตแซ่จงกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างรอบคอบ
หลิ่วหมิงฟังจนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อผู้อาวุโสจำนวนมากต่างก็เคยดูกำแพงเก็บเงาแล้ว และยังมีคนได้อะไรบางอย่างออกมาด้วย คงจะต้องมีกฏเกณฑ์ในการค้นหาสินะ”
“นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้า ผ่านการดูจากคนจำนวนมากเช่นนี้เรื่องกฎเกณฑ์ไม่ต้องพูดถึง แต่จะมีวิธีการที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปของผู้ที่สามารถเข้าไปดูกำแพงเก็บเงาได้ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเข้าใจได้มากขึ้น วิธีการเหล่านี้เจ้าจะต้องจำไว้ให้ดี ข้อหนึ่ง ก่อนดูกำแพงเก็บเงาให้รักษาร่างกายและจิตใจให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้าหากตั้งใจสักหน่อยล่ะก็ให้อาบน้ำและอดอาหารล่วงหน้าสามวัน ข้อสอง…” นักพรตแซ่จงบอกเล่าวิธีการดูกำแพงเก็บเงาให้ได้ผลสูงสุดตามคำร่ำลือให้กับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เฉียบขาด
“…สุดท้าย ถ้าหากเจ้าได้เคล็ดวิชาอะไรมาจากกำแพงเก็บเงาจริงๆ และในระหว่างที่ตนเองยังฝึกฝนไม่สำเร็จนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนในนิกายรู้” คำพูดสุดท้ายของนักพรตแซ่จงทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
“เพราะเหตุใดกัน?” เขาถามด้วยความแปลกใจ
“เพราะว่าแต่ก่อนก็เคยมีคนที่ดูกำแพงเก็บเงาแล้วถูกธาตุไฟเข้าแทรกอยู่บ่อยๆ สิ่งที่ได้มาเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะได้อะไรมาจากกำแพงเก็บเงา ก็จะไม่มีคนเค้นเอาความจริงจากเจ้าในทันที จนเมื่อเจ้ายืนยันได้ว่ามันคุ้มค่าจริงๆ และยอมมอบมันให้กับนิกายเอง แน่นอนว่ามันสามารถใช้เป็นของแลกเปลี่ยนได้ นั่นก็คือเจ้าสามารถฝึกวิชาอื่นๆ ที่มาจากกำแพงเก็บเงาได้” นักพรตแซ่จงอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินแล้วถึงเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาล่ะ เรื่องกำแพงเก็บเงาพูดไว้เพียงเท่านี้ ตอนนี้อาจารย์ควรจะพูดเรื่องทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณกับเจ้าแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับการทำปราณแท้ให้เป็นของเหลวกับการควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้กลายเป็นปราณแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด?” นักพรตแซ่จงพยักหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“การทำปราณแท้ให้เป็นของเหลวนั้น ศิษย์เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณมาบ้าง ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำปราณแท้ในทะเลจิตวิญญาณจากไอเป็นของเหลว เป็นเหตุให้ขีดจำกัดของพลังเวทย์เพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ส่วนการควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้กลายเป็นปราณแข็งแกร่งนั้น เป็นหนึ่งในวิธีของการทำให้ปราณแท้กลายเป็นของเหลว เพียงนำไอปีศาจบริสุทธิ์ละลายเข้าไปในปราณแท้ของตนเอง จากนั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนปราณแท้จากไอให้กลายเป็นของเหลวได้ ด้วยเหตุนี้มันก็จะให้กำเนิดปราณแข็งแกร่งออกมา และปราณแข็งแกร่งก็เป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่เห็นได้ชัดที่สุด” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้คร่าวๆ ออกมา
“อืม! ถึงแม้เจ้าจะพูดออกมาไม่มากแต่มันก็ลึกซึ้งยิ่งนัก พอที่จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านั้นเจ้าก็ใช้เวลากับมันไปไม่น้อย แต่เจ้ารู้ไหมว่าอะไรคือไอปีศาจบริสุทธิ์ และมันแบ่งออกเป็นกี่ชนิด?” นักพรตแซ่จงได้ยินก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…ศิษย์ยังไม่รู้ชัดแจ้ง” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกตามตรง
“ไอปีศาจบริสุทธิ์ แท้จริงแล้วควรจะเรียกว่าไออัปมงคล เดิมทีมันเกิดจากไอชั่วร้ายบางอย่างที่อยู่ใต้พิภพ มันมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแตกต่างกันหลายแบบ ทั้งยังสามารถแบ่งชนิดได้ร้อยแปดพันเก้า และที่ละลายเข้าไปในปราณแท้กดอัดพลังเวทย์นั้นเป็นแค่ผลลัพธ์ที่ใช้โดยทั่วไปของไอปีศาจบริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงแตกต่างจากการละลายไอปีศาจบริสุทธิ์ของเจ้า สุดท้ายปราณแข็งแกร่งที่เจ้าควบแน่นออกมาก็จะแตกต่างกันอย่างมาก และยังมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปราณแข็งแกร่งบางอย่างเมื่อควบแน่นออกมาแล้วจะมีพลังการป้องกันมากกว่าปราณแข็งแกร่งทั่วไปมาก ปราณแข็งแกร่งบางอย่างมีประสิทธิภาพในการสึกกร่อนปราณแข็งแกร่งอื่นๆ โดยกำเนิด ปราณแข็งแกร่งบางอย่างยังมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของวิชาบางวิชา แม้กระทั่งปราณแข็งแกร่งพลิกฟ้าที่ข้ารู้มา มันสามารถชะลอการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ได้ และยังมีผลลัพธ์ที่ช่วยในเรื่องของการฝึกฝนอย่างคาดไม่ถึง” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
เป็นธรรมดาที่หลิ่วหมิงจะฟังจนตกตะลึงตาค้าง
“ถึงแม้ไอปีศาจบริสุทธิ์จะมีหลายชนิด แต่ที่หาได้ในโลกใบนี้นั้นกลับมีน้อยมาก และพอใช้มันหมดแล้วอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปีถึงกำเนิดใหม่ได้ และไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ควบแน่นแล้วมีผลลัพธ์แข็งแกร่งนั้นยิ่งมีน้อยขึ้นไปอีก สถานที่ที่สามารถกำเนิดไอปีศาจบริสุทธิ์ได้นั้น โดยทั่วไปจะเรียกว่าหลุมปีศาจ และตอนที่นิกายเราเลือกเขาเพื่อก่อตั้งนิกายนั้น แท้จริงแล้วมักจะเลือกก่อตั้งอยู่บนหลุมปีศาจบางอย่าง เช่นนี้ถึงจะสามารถรับรองได้ว่านิกายจะเจริญรุ่งเรืองได้ยาวนาน” นักพรตแซ่จงอธิบาย
……………………………………….