“เจียหลาน”
พอเหลยเจิ้นเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัดเจนก็แสดงสีหน้าดีใจจนหลุดปากพูดออกมา
“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องเหลย?” พอดรุณีน้อยเสื้อเขียวเห็นเหลยเจิ้นกลับกล่าวออกมาแค่ประโยคเดียวอย่างราบเรียบ แต่ตอนที่สายตาตกอยู่บนตัวหลิ่วหมิงกลับฉายแววประหลาดใจออกมา
“ศิษย์น้องเหลย? เจ้าคือหลานของศิษย์พี่เหลยผู้นั้น?” หญิงงามด้านหน้าได้ยินประโยคนี้ สายตาราวกับคมมีดกวาดมองไปยังเด็กหนุ่ม แล้วถามขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาปิง” พอเหลยเจิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็มองดรุณีน้อยเสื้อเขียวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบทำความเคารพอย่างรีบร้อนทันที
ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรด้านข้างก็โค้งตัวคารวะเช่นกัน
“ยืนขึ้นมา ข้ากับศิษย์พี่เหลยนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พวกเจ้าก็ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หญิงงามค่อยๆ คลายสีหน้าลง ยกมือบอกให้ทั้งสองยืนขึ้นมา และส่งสายตามองไปยังหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง
“ศิษย์ไป๋ชงเทียนจากเขาเก้าทารก คารวะอาจารย์อาปิง!” ถึงแม้หลิ่วหมิงไม่ชัดเจนว่าหญิงงามผู้นี้คือใคร แต่ก็รวบรวมความกล้าโค้งตัวคารวะออกไป
“เขาเก้าทารก!” หญิงงามพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็พาเจียหลานเดินไปยังมุมหนึ่งของหอ และยืนรออย่างสงบเช่นกัน
เพราะว่ามีหญิงงามอยู่ในที่นั้นด้วย เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรผู้นั้นย่อมไม่กล้าพูดคุยอะไรกันอีก
เวลานั้นบรรยากาศในโถงใหญ่เงียบกริบเป็นอย่างมาก
เวลาผ่านไปสักครู่ บานประตูด้านข้างบานหนึ่งก็เปิดออก ชายชุดดำอายุสี่สิบกว่าปีผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น เขามีจมูกที่ค่อนข้างใหญ่ราวกับจงอยปากนกอินทรีย์ สีหน้าดูเคร่งขรึม
“ศิษย์น้องปิง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” พอชายเสื้อดำเห็นหน้าหญิงงามก็รู้สึกตกตะลึงในทันที
“ศิษย์พี่หลี่ ทำไมน้องจะไม่ได้ ครั้งนี้ข้าจะพาเจียหลานไปแดนปีศาจปรโลก มีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ” หญิงงามกล่าวอย่างราบเรียบ ดูเหมือนจะค่อนข้างสนิทกับชายชุดดำ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ว่าศิษย์น้องคงจะทราบว่าการส่งศิษย์จิตวิญญาณกับอาจารย์จิตวิญญาณไปยังแดนปีศาจปรโลกนั้นใช้พลังต่างกันโดยสิ้นเชิง แต้มคุณูปการที่ใช้ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน” ชายชุดดำได้ยินดังนี้ก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี ดีที่ก่อนหน้านี้ข้าเองก็สะสมแต้มคุณูปการได้มากพอ คงพอที่จะให้ข้าเข้าไปหนึ่งครั้ง” หญิงงามตอบกลับอย่างไม่สนใจ
“ศิษย์น้องยอมสนับสนุนแต้มคุณูปการมากเช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชุดดำได้ยินแล้วสีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นมา
หญิงงามยิ้มจางๆ แล้วก็ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
ตอนนี้ สายตาของชายชุดดำกวาดมองไปยังหลิ่วหมิงทั้งสามแล้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อทางนี้ยังมีอีกสามคน พอดีกับการส่งไปในครั้งนี้ พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาเถอะ”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด เขาก็ไม่สนใจศิษย์จิตวิญญาณทั้งสามอีก สะบัดแขนเสื้อหยิบป้ายเหล็กหัวปีศาจสีดำออกมาถือไว้ แล้วเดินไปยังด้านหน้าผนังใหญ่ในห้องโถง
หญิงงามพาเจียหลานเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เหลยเจิ้น หลิ่วหมิงและดรุณีน้อยเห็นเช่นนั้น ก็เดินตามไป
ชายเสื้อดำขยับแขน ส่ายป้ายเหล็กไปยังผนังด้านหน้าสองสามครั้ง แสงสีดำพุ่งออกมาทันที และจมหายเข้าไปผนัง
ครู่ต่อมา หลังจากที่ผนังดูลางเลือนแล้ว ก็ปรากฏประตูแสงสีขาวสลัวบานหนึ่งออกมา
ชายชุดดำก้าวเท้าเข้าไปอย่างไม่ลังเล
คนอื่นๆ ก็เดินตามเข้าไปในประตูแสงนั้น
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแสงสีขาวอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเขาก็เข้าไปอยู่ในห้องลับขนาดไม่ใหญ่มาก
ในห้องลับนี้นอกจากบานประตูที่เดินเข้ามาแล้ว รอบด้านล้วนเป็นผนังหนาๆ ที่ส่องสะท้อนแสงสีทองแวววาว และบนนั้นมีอักขระจิตวิญญาณงามเพริดพริ้งดูลี้ลับมหัศจรรย์ประทับอยู่ ทำให้ห้องทั้งห้องดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
ตรงกลางห้องลับ เป็นค่ายกลสีเงินขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ขอบรอบๆ มีร่องเว้าสำหรับวางผลึกหินโดยเฉพาะ
ชายชุดดำเก็บป้ายเหล็กในมือ แล้วประตูแสงด้านหลังก็จางหายไป แล้วหยิบกระบองสั้นสีทองอ่อนๆ อันหนึ่งออกมาแทน
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็ค่อยๆ ส่งป้ายชื่อของตนเองออกไป เพื่อชำระแต้มคุณูปการของแต่ละคน
ชายชุดดำเก็บแต้มคุณูปการเสร็จแล้วก็เก็บกระบองสีทองทันที และหยิบผลึกหินขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่ละก้อนออกมาจากตัวแล้วกดลงตรงร่องเว้าตรงขอบค่ายกล
ผลึกหินเหล่านี้กับแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง มันเปล่งแสงสีดำออกมาราวกับเป็นดาวสีดำ
ดรุณีน้อยเสื้อเขียวเห็นผลึกหินเหล่านี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“พวกนี้คือผลึกหินฟ้าไม่นับรวมอยู่ในหินธาตุทั้งห้า เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก มิเช่นนั้นการส่งพวกเจ้าไปแดนปีศาจปรโลกคงไม่เก็บแต้มคุณูปการมากขนาดนี้หรอก ปกติส่งแค่พวกเจ้าใช้เพียงสี่ก้อนก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้มีข้าไปด้วยเกรงว่าจะต้องใช้มากกว่าสิบเท่าขึ้นไป” หญิงงามดูเหมือนจะเห็นศิษย์ของตนเองมีสีหน้าประหลาดใจ จึงอธิบายออกมาอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไม่เพียงแต่ดรุณีน้อยเสื้อเขียวที่พยักหน้า หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็เข้าใจในทันที
ถึงแม้พวกเขาจะเคยได้ยินชื่อของผลึกหินฟ้ามาก่อนแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นของจริงเป็นครั้งแรก
หลิ่วหมิงสังเกตดูผลึกหินเหล่านี้อย่างละเอียดครู่หนึ่ง ราวกับว่าจะจดจำรูปร่างทุกส่วนของมันให้ประทับไว้ในสมอง
ชายชุดดำได้ทำตามอย่างที่หญิงงามได้กล่าวไว้ อึดใจเดียวก็มีผลึกหินฟ้าสามสิบกว่าก้อนวางอยู่รอบด้านค่ายกล แล้วเขาถึงจะหยุดมือหันตัวกลับมากล่าวกับทุกคนอย่างเคร่งขรึม
“เอาล่ะ เข้าค่ายกลได้แล้ว ถึงแม้พวกเจ้าคงจะรู้แล้วว่าแดนปีศาจปรโลกเป็นสถานที่อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ข้าก็ยังจะตักเตือนตามหน้าที่อีกครั้ง ที่นั่นเป็นสถานที่ของปีศาจปราณหยินที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนสูงต่ำแค่ไหนก็สามารถอยู่ที่นั่นได้แค่หนึ่งเดือน พอเลยเวลาดังกล่าวไปแล้วร่างและวิญญาณก็จะถูกปราณหยินกลืนกลาย มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นปีศาจ ดังนั้นภายในหนึ่งเดือนพวกเจ้าต้องผ่านค่ายกลทางนั้นกลับมาที่นี่ ถ้าช้าไปล่ะก็ต้องยอมรับกับผลลัพธ์ที่ตามมา”
พอชายชุดดำกล่าวเสร็จ ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปยังที่ว่างเปล่าตรงค่ายกล
เสียงดังกระหึ่ม เริ่มมีแสงหลากสีสว่างไสวโผล่ออกมาจากค่ายกล
หญิงงาม หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็ไม่กล้าลังเล ค่อยๆ เข้าไปยืนกลางค่ายกลสีทอง
ช่วงเวลาที่ค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างของพวกเขาก็กระพริบหายไป
ชายชุดดำถอนหายใจเบาๆ นั่งขัดสมาธิลงไปยังบริเวรนั้น แล้วค่อยๆ ปิดตาทั้งสองลง เริ่มเข้าสู่การทำสมาธิ
……
หลังจากที่หลิ่วหมิงวิงเวียนศีรษะจากการสั่นไหวอย่างรุนแรงแล้ว ในที่สุดก็ลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ตอนนี้เขากับหญิงงาม และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในห้องลับอีกห้องหนึ่ง
พื้นด้านล่างก็ต่างกัน พอดูแล้วมันคล้ายกับค่ายกลสีทองมาก
และผนังรอบด้านกลับใช้อิฐหินสีดำที่ไม่ทราบชื่อก่อขึ้น ทั้งยังมีประตูหินที่ปิดอยู่บานหนึ่ง และในห้องนี้นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีผู้คนอื่นอีกเลย
“ไปเถอะ!” หญิงงามกล่าวอย่างราบเรียบ และพาดรุณีน้อยเสื้อเขียวเดินออกจากค่ายกลไปผลักประตูหินแล้วก็จากไป
เหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรต่างก็สบตากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินออกไปเช่นกัน
พริบตาเดียว สถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงคนเดียวเท่านั้น
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเบาๆ เขารู้สึกว่าพลังในพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณนี้มีน้อยกว่าในนิกายปีศาจอย่างเห็นได้ชัด และมีพลังงานหนาวเย็นบางอย่างที่บอกไม่ถูกผสมปนเปอยู่ หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปอีกสองสามครั้งแล้ว ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย
เขาส่ายศีรษะ แล้วก็เดินออกจากประตูหินไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
นอกประตูหิน เป็นลานขนาดใหญ่กว้างสิบกว่าหมู่
พื้นลานทั้งหมดปูด้วยอิฐหินสีดำ บริเวณขอบลานมีเสาทองสัมฤทธิ์กลมๆ ขนาดสูงใหญ่ตั้งอยู่หลายเสา ด้านนอกถูกปกคลุมด้วยม่านแสงสีขาวนวลชั้นหนึ่งที่หนาเป็นพิเศษ
และตรงกลางลาน ยังมีห้องหินสีดำแต่ละห้องเรียงอยู่ประมาณสามสิบถึงสี่สิบห้อง
ในห้องหินมีศิษย์นิกายปีศาจสิบกว่าคนยืนจับกลุ่มกันกลุ่มละสองถึงสามคน พวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“เจ้าหนุ่มน้อย มาแดนปีศาจปรโลกเป็นครั้งแรกหรือ?!”
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังมองดูอยู่นั้น ฉับพลันก็ได้เสียงแหลมๆ ดังมาจากด้านหลัง
หลิ่วหมิงสะดุ้งตกใจ รีบหันตัวกลับไป ถึงค้นพบว่าบริเวณประตูหินมีผู้อาวุโสผมเขียวสวมชุดหนังสีเหลืองนั่งขัดสมาธิอยู่
ในมือของผู้อาวุโสมีแผ่นกลมๆ สีเงินอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนมีสิ่งของสีแดงสดที่ดูคล้ายเข็มทิศวางอยู่หลายอัน และระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขากลับมองไม่เห็นผู้อาวุโสท่านนี้เลย
“เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าหนูปิงก็มาที่นี่ จุ๊ๆ! นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูน้อยเข้ามาที่นี่ ตั้งแต่บรรลุเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณมา เรื่องนี้ไม่ค่อยจะเกิดบ่อยนัก” ผู้อาวุโสกล่าว
“ผู้อาวุโสคือ……”
ผู้อาวุโสก้มหน้าอยู่ ทำให้หลิ่วหมิงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ฟังจากจากน้ำเสียงอันทรงพลังนี้เขาก็ไม่กล้ารีรอรีบทำความเคารพแล้วถามออกไป
“เจ้าเรียกข้าว่า ‘เฒ่าปีศาจ’ ข้าเป็นคนที่ดูแลค่ายกลของที่นี่โดยเฉพาะ เป็นผู้ที่ส่งพวกเจ้ากลับนิกาย” ผู้อาวุโสกล่าวช้าๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสชัดเจน ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก แต่ในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
ส่วนอื่นๆ ของผู้อาวุโสท่านนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้อาวุโสทั่วไป เพียงแต่เบ้าตาที่ควรมีลูกตานั้นกลับว่างเปล่า มีแค่เปลวไฟสีเขียวเล็กๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่ว เปล่งประกายอยู่ในเบ้าตาแต่ละข้าง
“ผู้น้อยคารวะเฒ่าปีศาจ!” ความคิดหลิ่วหมิงวกกลับมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็ระงับความกลัวรวบรวมความกล้า กล่าวคารวะออกไปอีกครั้ง
“ไม่เลว ในบรรดาเด็กน้อยที่เห็นข้าครั้งแรก เจ้านับว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้เจ้า แค่ทำให้มันให้สำเร็จข้าย่อมมีรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” เฒ่าปีศาจกล่าวด้วยเปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาที่เปล่งประกาย
“มิทราบว่าเป็นเรื่องอันใด พลังเวทย์ข้าน้อยค่อยข้าต่ำเกรงว่าจะช่วยการใหญ่ไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ลังเลเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าไม่ต้องใช้พลังเวทย์มาก ข้ามีเข็มทิศหยินที่สามารถหาตำแหน่งของปีศาจภายในระยะร้อยจั้งได้อย่างแม่นยำ แค่เจ้าช่วยหามัจฉาหน้าปีศาจจากแม่น้ำมืดแถวนี้ให้ข้าจำนวนหนึ่งได้ ข้าจะมอบเข็มทิศนี้ให้เจ้า ดีไหม?” เฒ่าปีศาจหัวเราะแล้วกล่าวออกมา และนำแผ่นสีเงินในมือมาแกว่งตรงหน้าหลิ่วหมิง
“สามารถระบุตำแหน่งของปีศาจได้? ท่านพูดจริงใช่ไหม!” หลิ่วหมิงใจเต้นรัวเมื่อได้ยิน
“ดูจากสถานะของข้า คิดว่าจะหลอกให้เจ้าดีใจเล่นงั้นหรือ! เจ้ารีบไปทิศทางนั้น ไกลออกไปสามลี้จะมีแม่น้ำมืดสายหนึ่ง เจ้ารีบไปรีบกลับเถอะ” เฒ่าปีศาจรู้สึกทนความรำคาญไม่ได้
“ในเมื่อไปไกลออกไปแค่สามลี้ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะลองดู” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่พอได้ยินระยะทางอันใกล้นี้ และมองไปยังเข็มทิศหยินบนมือของเฒ่าปีศาจแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง
……………………………………….