เขารู้ดีว่าถึงแม้พลังเวทย์ของเขาจะบริสุทธิ์กว่าของศิษย์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณกับเคล็ดวิชากระดูกดำที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดแจ้งนั้น เกรงว่าโอกาสการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จคงมีไม่มากนัก
และตามคำพูดสุดท้ายของอาจารย์ที่บอกจุดต้องระวังในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ หนึ่งในนั้นที่ท่านกล่าวถึงคือ ทุกครั้งที่ทะลวงคอขวดล้มเหลว ทะเลจิตวิญญาณจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะมีไอปีศาจบริสุทธิ์อยู่ในมือก็ตาม แต่ภายในระยะเจ็ดแปดปีนี้จะไม่มีโอกาสทะลวงครั้งที่สองอีก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขายิ่งลังเลมากขึ้นกว่าเดิม
วิธีการต่างๆ ที่นักพรตแซ่จงบอกว่าจะช่วยยกระดับความสำเร็จในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนั้น ตอนนี้เขายังไม่ได้เตรียมพร้อมมากพอ
อีกอย่าง ต่อให้เขาโชคดีทะลวงเขตแดนได้สำเร็จในครั้งเดียว แต่ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินพิภพที่นิกายมอบให้นั้นมันธรรมดาเกินไป ถ้าใช้มันควบแน่นเป็นปราณแข็งแกร่งล่ะก็จะส่งผลกระทบต่อพลังของเขาในภายภาคหน้า
ในทางตรงกันข้าม ตอนนี้เขาได้ล่วงเกินศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงไปแล้ว ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก่อนล่ะก็ เกรงว่าต่อไปเขาคงอยู่ในนิกายปีศาจอย่างเป็นสุขไม่ได้แล้ว
ดูจากภายนอก กุยหรูฉวน นักพรตแซ่งจงและคนอื่นๆ จะต้องเข้าข้างเขาอย่างแน่นอน แต่เกาชงเพียงแค่แอบหาเรื่องเขานิดหน่อยเขาก็ไม่สามารถรับมือได้แล้ว
แต่ถ้าหากรีบร้อนเสี่ยงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วไม่สำเร็จ สถานการณ์ก็ยิ่งแย่กว่าเดิมหลายเท่า
หลิ่วหมิงมองดูสิ่งของในมือ และคิดไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ เพื่อชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย
ถ้าหากเขาสามารถรอได้อีกสักระยะล่ะก็ เขาจะเตรียมไอปีศาจบริสุทธิ์สักหนึ่งถึงสองชุด แล้วไปหาซื้อโอสถหลากหลายชนิดที่มีผลลัพธ์ในการช่วยทะลวงคอขวดอีกสักหน่อย หรืออาจจะเสี่ยงอันตรายรออีกหลายปีเพื่อให้ฟองอากาศลึกลับทำพลังเวทย์ของเขาให้บริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง
ดูจากขีดจำกัดของพลังเวทย์ขั้นสมบูรณ์แบบทั้งหมดของเขาในตอนนี้ คงทนการดูดกลืนของฟองอากาศในครั้งหน้า และผ่านการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์อีกครั้งได้ อย่างน้อยระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ในร่างที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เขามีโอกาสทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จเพิ่มขึ้นหนึ่งถึงสองส่วน และถ้ามีเวลาหลายปีล่ะก็ ก็พอที่จะไปหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสมได้
ส่วนถ้าเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก่อนล่ะก็ เขาจำต้องรับภารกิจระยะยาวของนิกายเช่นภารกิจการตั้งมั่นรักษาการหรือตรวจตราเป็นต้น ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องจากนิกายไปหลายปี
โดยทั่วไปแล้วภารกิจประเภทนี้เป็นภารกิจที่ค่อนข้างง่าย แต่แต้มคุณูปการที่ให้นั้นช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก เรื่องยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ในระหว่างดำเนินภารกิจนั้นพลังปราณฟ้าดินและสิ่งของอื่นๆ ที่ช่วยเสริมการฝึกฝนเทียบไม่ได้กับเมื่อตอนอยู่ในนิกาย ซึ่งทำให้หน่วงเหนี่ยวการฝึกฝนของตนเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยปกติศิษย์นิกายอายุต่ำกว่าสามสิบที่ตั้งปณิธานว่าจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ต่างก็ไม่ยอมรับภารกิจประเภทนี้
แต่สำหรับเขาแล้วทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน
ตอนนี้พลังเวทย์ของเขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มพลังเวทย์อีก ด้วยเหตุนี้ต่อให้การฝึกฝนภายนอกนิกายจะมีเงื่อนไขโหดร้ายเพียงใดก็ตาม เขาก็สามารถมองข้ามไปได้ทั้งหมด
ในระหว่างเวลานี้เขากลับมีเวลาค่อยๆ ทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ด้วยตัวเอง จากนั้นก็รอให้ฟองอากาศลึกลับระเบิดตัวแล้วทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง พอถึงตอนนั้นพลังเวทย์ของเขาก็จะบริสุทธิ์อย่างเหลือเชื่อ และความมั่นใจในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกส่วน
หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาอยู่นาน ในที่สุดก็หาวิธีจัดการได้ และเขาก็กัดฟันตัดสินใจยึดเอาวิธีการนี้ในทันที
“ถ้าหากมีเวลาหลายปีจริงๆ ล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะสามารถไปหาความลับเรื่องนั้นได้ การไปสถานที่แห่งนั้นด้วยพลังของข้าในตอนนี้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ต้องพะวงสิ่งใด แต่ก็สามารถป้องกันตัวเองได้เกินพอ อีกอย่างยังมีเรื่องของตระกูลไป๋กับเรื่องของอาเฉียนที่ควรจะได้เวลาจัดการแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้าเยือกเย็น
สองเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยสถานะของเขาที่ช่วยสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้นิกาย คงไม่ต้องกังวลกับเรื่องการสวมรอยตระกูลไป๋ในปีนั้น คิดว่าถึงแม้นิกายจะทราบเรื่องนี้ก็คงไม่ลงโทษอะไรเขารุนแรงมากนัก แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ควรยืดยื้ออีกต่อไป มิเช่นนั้นต่อให้จะสร้างผลงานให้นิกายมากมายแค่ไหน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้ามันก็จะจืดจางลงได้
หลิ่วหมิงได้พิจารณาถึงแผนการของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อคาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนแขนที่นูนๆ อีกข้างเบาๆ
เสียงดัง “ฟู่!” รูบาดแผลรูหนึ่งได้เปิดออกมา และหอยสังข์สีขาวน้ำนมขนาดเล็กก็โดนบีบออกมาจากในนั้น
มันก็คือหอยสังข์ย่อส่วนนั่นเอง
หลิ่วหมิงคว้ามันเอาไว้ในมือ และสังเกตดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันหัวเราะออกมา
“หอยสังข์ย่อส่วน คิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าเจ้าสมุทร ไม่รู้ว่ามันตกอยู่ในมือของมังกรแดงตนนั้นได้อย่างไร ช่างเถอะ! ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นของข้าแล้ว” หลายวันนี้เขาได้ศึกษาคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับที่มาของหอยสังข์ย่อส่วน ในที่สุดก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง จึงไม่แปลกที่เขาจะดีใจเช่นนี้
ต่อมาหลิ่วหมิงหยิบยันต์ออกจากตัวมาผืนหนึ่ง หลังจากที่โบกไปยังอากาศมันก็กลายเป็นม่านแสงสีขาวบางๆ ปกคลุมทุกสิ่งที่อยู่ภายในรัศมีสองสามจั้ง
จากนั้นเขาก็ใช้พลังเวทย์กระตุ้นหอยสังข์ย่อส่วนให้ขยายใหญ่ขึ้น อักขระสีเงินล่องลอยออกจากพื้นผิวของมัน เมื่อแสงสีขาวม้วนตัวออกมา กล่องหยกใบหนึ่งกับคราบมังกรแดงที่สูงหลายฉื่อก็ปรากฏตรงหน้า
เมื่อเขายื่นมือออกไป กล่องหยกก็สั่นไหวและค่อยๆ ตกลงบนมือเขาอย่างมั่นคง
หลิ่วหมิงเปิดฝามันออก เผยให้เห็นถึงดินเหนียวสีทองจางๆ ที่อยู่ในนั้น มันคือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก้อนนั้นนั่นเอง
เขานำมันออกมาจากกล่องหยกอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิมราวกับคิดอะไรอยู่
ดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้มีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณหลายแสนก้อน สามารถพูดได้ว่าเป็นของล้ำค่ารองมาจากคราบมังกรแดงในมือเขา
แต่จะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างไรนั้น เขากลับยังไม่ได้คิด
ถ้าจะนำของสิ่งนี้ไปขายตามตลาดล่ะก็ แน่นอนว่าไม่สามารถทำได้
เขาเคยได้ยินคนพูดว่าตลาดบางแห่งมีกำหนดเวลาการประมูล ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ตรวจสอบสถานะของเจ้าของ ทั้งยังมีความน่าเชื่อถือสูง ถ้าอยากจะเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณล่ะก็ นี่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
ถ้าหากไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ เขาสามารถพิจารณานำของสิ่งนี้ไปยังตลาดเผ่าเจ้าสมุทรที่เล่าลือกันได้ ถ้าหากดวงดีล่ะก็ไม่แน่มันอาจแลกสิ่งของทั้งหมดที่เขาต้องการได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากที่หอยสังข์ในมือสั่นไหว กล่องหยกก็ถูกแสงสีขาวม้วนเข้าไปในนั้น จากนั้นเขาก็ละสายตามาที่คราบมังกรแดง
เมื่อเขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป ของสิ่งนี้ก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาหล่นอยู่บนมือทั้งสองของเขา
หลิ่วหมิงขยับนิ้วลูบไปบนคราบมังกรแดงที่เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา และเขาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเกล็ดมังกรในทันที
เมื่อเทียบมูลค่าของสิ่งนี้ ดินปราณทองคำบริสุทธิ์กลับห่างชั้นยิ่งนัก
ชิ้นหนึ่งเป็นคราบมังกรแดงระดับผลึก เชื่อว่าในแผ่นดินอวิ๋นชวนนี้คงไม่มีชิ้นที่สองแล้ว
แต่ที่น่าเสียดายก็คือของสิ่งนี้ไม่สามารถโดนแสงได้ เรื่องการนำไปประมูลขายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้นำไปที่ตลาดเผ่าเจ้าสมุทร เกรงว่านิกายปีศาจ และนิกายอื่นๆ คงทราบเรื่องอย่างรวดเร็ว และคงจะสงสัยศิษย์ทั้งหมดที่เข้าไปในแดนลึกลับ ทั้งยังทำการตรวจสอบขึ้นมาในทันที
ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่ผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านั้นตัดสินใจใช้วิธีการอันโหดร้ายบางอย่าง เขาเองก็ไม่กล้ารับรองว่าจะสามารถรักษาความลับนี้ได้
สำหรับผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้แล้ว ถึงแม้คราบมังกรแดงจะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ที่พวกเขาให้ความสำคัญคือโลหิตของมังกรแดงที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์และช่วยทะลวงคอขวดได้ และเขาจะมีสิ่งของเหล่านี้ได้อย่างไร ต่อให้เขาจะมีปากก็ไม่สามารถอธิบายได้ ถ้าพวกเขาสืบมาถึงตัวล่ะก็คงต้องเผชิญกับความเป็นความตายแล้ว
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนทรหดมาโดยตลอด แต่พอคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างอดไม่ได้ ถ้าหากเขาไม่สามารถเอาตัวรอดจากการเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสระดับผลึกที่แปลกประหลาดเหล่านี้ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะไม่นำคราบมังกรนี้ออกมาโชว์ต่อหน้าผู้คนเด็ดขาด
คราบมังกรเป็นของล้ำค่าถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญไปหลอมเป็นอาวุธ มันก็ยังมีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งได้ และอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปไม่อาจทำลายมันได้
ถ้าเขามีของล้ำค่าชิ้นนี้แต่ไม่นำมาใช้ประโยชน์สักหน่อยล่ะก็ มันก็น่าเสียดายไปหน่อย
หลิ่วหมิวคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ และจ้องมองคราบมังกรในมือไปมา ทันใดนั้นตาของก็เป็นประกายเมื่อมองไปยังเกล็ดเล็กๆ ที่เปล่งประกายสีแดงอยู่บนนั้น
ถึงแม้ไม่สามารถนำคราบมังกรทั้งชิ้นออกไปสู่สายตาผู้คนได้ แต่สามารถใช้การเกล็ดเหล่านี้ได้
เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเล และกระบี่จันทราหยกก็ปรากฏในมือของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ งัดเกล็ดที่อยู่บนนั้นเบาๆ โดยไม่ลังเล
เสียงดัง “ฟู่!”
เกล็ดสีแดงที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารเกล็ดหนึ่งดีดตัวออกมาจากคราบมังกร และพริบตาที่มันพุ่งออกมานั้น ไม่คาดคิดว่าแสงสีแดงจะสว่างขึ้นสิบกว่าเท่า จากนั้นก็ขยายขนาดจนเท่านิ้วโป้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก กระบี่สั้นในมือเคลื่อนไหวติดต่อกันหลายครั้ง อึดใจเดียวก็งัดเกล็ดออกมาได้สามสิบกว่าเกล็ดแล้วเขาจึงหยุดงัด
จากนั้นก็หยิบเกล็ดสีแดงขึ้นมาเกล็ดหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วดีดมันเบาๆ แล้วก็แทงกระบี่ลงไป
เสียงดัง “เต๊ง!”
กระบี่จันทราหยกเด้งออกจากเกล็ดมังกรโดยที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมากขึ้นกว่าเดิม
เขารีบเก็บกระบี่สั้นในทันที และถอดเสื้อตัวบนออกเพื่อปลดเกราะอาญาสิทธิ์ที่ชำรุดไปมากแล้วออกมา จากนั้นก็นำเกล็ดมังกรนี้ทาบติดผิวหนังบนหน้าอก และก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ค่อยสบายมากนัก
เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหมิงไม่ได้สนใจต่อสิ่งนี้ แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาแล้วก็ลุกขึ้นไปค้นกล่องไม้ที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และหยิบหนังอสูรไม่ทราบชื่อที่อ่อนนุ่มเป็นอย่างมากออกมา
เขาเอาหนังอสูรมาพาดคลุมตัวและนำเกล็ดมังกรมาทาบลงบนนั้น จากนั้นก็ขยับตัวไปมาสองสามทีแล้วถึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
หลิ่วหมิงนำเอ็นอสูรเส้นเล็กๆ ออกมาจากกล่องอีกครั้ง จากนั้นกระบี่สีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นมา ไม่คาดคิดว่ามันจะกรีดไปมาบนหนังอสูรอย่างรวดเร็ว
……………………………………….