หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส เมื่อแน่ใจแล้วว่าสัมผัสไม่พบลมหายใจใดๆ ของอสูรเหอหม่ายักษ์ตัวนี้ มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นกวัก เงาภูเขาน้อยของมุกบรรพตธาราพังทลายกลายเป็นมุกกลมสีเหลืองหม่นลูกหนึ่งพุ่งย้อนกลับมา
เวลานี้ร่างกายของอสูรเหอหม่ายักษ์ที่เดิมทีมโหฬารแบนแต๊ดแต๋นอนอยู่ที่ก้นแม่น้ำนิ่ง ตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว
หลิ่วหมิงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเก็บเกล็ดที่เหลือไม่มากบนร่าอสูรตัวนี้ขึ้นมา ดวงตาสีเหลืองอร่ามทั้งสองดวงก็ควักออกมาเก็บไว้ด้วย
แม้อสูรยักษ์ตัวนี้จะพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมุกบรรพตธาราที่ควบคุมน้ำจากแม่น้ำมืดได้ดุจเดียวกันก็พอดีถูกข่มเอาไว้ได้
ร่างกายของมันมหึมาเช่นนี้ ในร่างมีน้ำจากแม่น้ำมืดมากมายเต็มเปี่ยมเช่นนี้จะไม่ถูกมุกบรรพตธาราตรึงไว้อย่างง่ายดายได้อย่างไร!
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บวัตถุดิบจากอสูรยักษ์เสร็จ เขาก็ใช้เคล็ดวิชา ปราณดำทั่วร่างทะลักออกมาหุ้มตนไว้ตรงกลาง ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพืออีกครั้งกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งเหาะพุ่งขึ้นฟ้า
แม้น้ำจากแม่น้ำมืดจะหนักอย่างยิ่ง แต่ดีที่เขาเป็นผู้ฝึกร่าง พละกำลังของกายเนื้อจึงไม่อ่อนแอ เมื่อมีปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังเสริมจึงพอต้านพลังมหาศาลมุ่งหน้าไปด้านบนได้ เพียงแต่ความเร็วค่อนข้างช้าหน่อยเท่านั้น
ทว่าเขาเพิ่งออกห่างจากก้นแม่น้ำมืดได้ไม่ถึงร้อยจั้ง ทันใดนั้นแรงดึงดูดมหาศาลสายหนึ่งก็จู่โจมมาจากด้านข้าง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทั้งร่างสูญเสียการควบคุมในทันใด เขาไม่อาจต้านทานได้แม้เพียงชั่วครู่ ได้แต่ถูกแรงดึงดูดล่องหนที่มีพลังมหาศาลสายนี้ลากไป
ในใจเขาหวาดหวั่นยิ่งนัก เขาเงยหน้ามองด้านบน ปรากฏว่าไม่ไกลเบื้องหน้าคือน้ำวนสีดำขนาดมโหฬารยิ่งนักลูกหนึ่ง
ใจกลางน้ำวนมีเสียงครวญครางดังออกมาเลือนราง
แรงดึงดูดสายนี้มาจากน้ำวนเหล่านี้นี่เอง!
อึดใจต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืด ร่างกายหมุนกลับบนเป็นล่างกลับล่างเป็นบน หลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้เรื่องราวอีกต่อไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สะลึมสะลือฟื้นตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตนเองอยู่ในพื้นที่ขนาดหลายหมู่อีกแห่งหนึ่ง
ภายในบริเวณนี้ไม่มีน้ำจากแม่น้ำมืดแม้แต่น้อย แต่ปราณหยินที่ล่องลอยอยู่กลับบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
เมื่อเขากวาดสายตามองรอบด้านเพื่อสำรวจอย่างละเอียด เขาก็อดไม่ได้สูดลมหายใจดังเฮือก
ทุกทิศรอบตัวล้วนเป็นน้ำวนสีดำขนาดไม่เท่ากันหลายสิบลูก ล้อมพื้นที่จุดที่ตนอยู่จนกลายเป็นเสากลมต้นหนึ่ง ปราณหยินบริสุทธิ์ที่ใกล้จะกลายเป็นของเหลวแผ่กระจายออกมาจากใจกลางน้ำวนเหล่านี้
เมื่อเขาเงยหน้ามองอย่างอึ้งทึ่งก็เห็นว่าเหนือศีรษะราวร้อยจั้ง ยังมีน้ำวนขนาดยักษ์ใหญ่ราวร้อยจั้งอีกลูกหนึ่งกำลังหมุนอย่างเชื่องช้า
หลังจากหลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาก็พบว่าพื้นดินตรงจุดที่ตนอยู่มีลวดลายจิตวิญญาณประหลาดหลายวงสลักอยู่มากมายเต็มไปหมด ก่อตัวเป็นค่ายกลชั้นจำกัดขนาดมหึมาอย่างยิ่งอันหนึ่ง
ยามที่ตัวเขาอยู่ใจกลางค่ายกลนี้ ไม่เพียงสัมผัสความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกจากน้ำของแม่น้ำมืดรอบด้านไม่ได้ แต่แรงดึงดูดมหาศาลของน้ำวนรอบด้านก็ไม่มีผลด้วย
ดูจากเศษหินจำนวนหนึ่งบนพื้นของสถานที่แห่งนี้กับภูมิประเทศที่ผลุบโผล่อยู่รอบด้าน ชั้นจำกัดประหลาดอันนี้เหมือนจะซ่อนอยู่ใจกลางร่องน้ำมหึมาสักแห่งที่ก้นแม่น้ำมืด
“ไม่ใช่ว่าใครบางคนวางชั้นจำกัดไว้อีกหรอกนะ?” หลิ่วหมิงมองสำรวจรอบด้านแล้วอดไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย
แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนธรรมดา ความคิดแล่นเร็วไวรอบหนึ่งก็กลับมาสุขุมอีกครั้ง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลับตารอคอย
หนึ่งวัน สองวัน…
เจ็ดวันให้หลังหลิ่วหมิงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็มั่นใจว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง ไม่มีผู้ใดถือครอง มิเช่นนั้นคงปรากฏตัวนานแล้ว
หากเป็นเช่นนี้จริง สถานที่แห่งนี้ซ่อนเร้นเช่นนี้ย่อมเป็นสถานที่ฝึกฝนอันยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตามไม่ว่าการกลั่นหยดพลังวารี การหลอมมุกบรรพตธาราหรือการใช้น้ำจากแม่น้ำมืดฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำก็ไม่ใช่จะลุล่วงได้ในสามปีห้าปี
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดพักหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ
เขาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มจัดพื้นที่รอบด้าน
ก่อนอื่นต้องก่อแท่นเรียบหยาบๆ สักแท่นใต้แม่น้ำ หลังจากนั้นต้องวางค่ายกลชั้นจำกัดไว้บนแท่นหลายๆ ชั้น…
เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หลิ่วหมิงจึงปล่อยแมงป่องกระดูกกับหัวบินออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“ปราณหยินเข้มข้นนัก…”
ทันทีที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ออกมาจากถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วสัมผัสกับปราณหยินที่โถมคลั่งหนาวเสียดกระดูกรอบด้าน ร่างกายก็สั่นระริก
“ที่นี่คือใต้แม่น้ำมืด ปราณหยินไม่เพียงเข้มข้นแต่ยังรุนแรงยิ่งนัก ทว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อการฝึกปรือพลังเวทในร่างของพวกเจ้าอย่างมาก ไม่แน่อาจทำให้พวกเจ้าสองตัวหาโอกาสทะลวงระดับได้ ข้าเตรียมตัวจะฝึกฝนอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานาน พวกเจ้าก็อยู่ข้างๆ ฝึกวิชาของตนเองไป” หลิ่วหมิงเอ่ยนิ่งๆ
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์พยักหน้า พวกมันหมุนตัวอยู่กับที่แล้วเผยร่างจริงออกมา จากนั้นพุ่งวูบเดียววิ่งไปด้านข้างฝึกวิชาของตน
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนแท่นเรียบใกล้ๆ ที่เพิ่งใช้วิชาก่อขึ้นเมื่อครู่ มือข้างหนึ่งล้วงแหวนเก็บของสีดำอ่อนวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ของสิ่งนี้ก็คือของจากบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าตนนั้น!
ตอนที่ออกจากหุบเขาสิ้นสูญหลิ่วหมิงค้นมาจากโครงกระดูกของเขา
ตอนนั้นเขาเพียงใช้จิตสัมผัสกวาดดูไวๆ ครั้งหนึ่งยังตกตะลึงยิ่งนักกับข้าวของมากมายที่เก็บอยู่ด้านใน
แต่น่าเสียดายที่ของเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีเฉพาะในยมโลก อีกทั้งเกินกว่าครึ่งมีประโยชน์กับเผ่ายมโลกเท่านั้น สิ่งที่หลิ่วหมิงใช้ได้น้อยยิ่งกว่าน้อย
แต่หากแลกของเหล่านี้เป็นหินยมโลก คงจะเป็นตัวเลขที่สูงเทียมฟ้าจินตนาการไม่ถึง
หลิ่วหมิงสำรวจของในแหวนใหม่อีกครั้ง แล้วจัดแจงแบ่งประเภทวัตถุดิบด้านในใหม่ก่อนจะเก็บไปอย่างระมัดระวัง
ต่อจากนั้นเขาก็สงบใจโคจรลมปราณอยู่พักหนึ่ง แล้วโบกมือส่งปราณสีดำสายหนึ่งออกมาก่อตัวเป็นฝ่ามือใหญ่หนึ่งจั้งข้างหนึ่ง คว้าไปทางชั้นจำกัดเหนือศีรษะ
“ซู่” เสียงน้ำดังขึ้น ชั้นจำกัดที่มือปราณสีดำสัมผัส มีคลื่นน้ำสีดำซัดเข้ามา มือใหญ่ฉวยโอกาสกอบน้ำจากแม่น้ำมืดมาได้ก้อนใหญ่
มือของหลิ่วหมิงเปล่งแสงสีดำโอบน้ำจากแม่น้ำมืดเอาไว้ ก่อนจะโคจรพลังเวทใช้วิชาพันกลั่นวารีหลอมหยดพลังวารีต่อ
สิบกว่าวันให้หลัง น้ำจากแม่น้ำมืดที่ถูกปราณสีดำหุ้มอยู่ก็กลายเป็นหยดพลังวารีสีดำสนิทดั่งหมึกขนาดเท่าเมล็ดถั่วหยดหนึ่ง
หลังจากเขาเก็บมันเข้าไปในกล่องหยก หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาว สีหน้าเขียวคล้ำอยู่เลือนราง
ก้นแม่น้ำมืดแห่งนี้ ปราณหยินหนักหน่วงเป็นที่สุด ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกรุกรานร่างกายเขาไม่หยุดหย่อน
ชั่วเวลาสั้นๆ ไม่เป็นอะไร แต่นานเข้า แม้แต่หลิ่วหมิงก็รู้สึกทนไม่ไหว
นี่เพิ่งจะสิบกว่าวันสั้นๆ ร่างกายของเขาก็ชาหน่วงอยู่บ้างแล้ว
แต่เขาคาดเดาสภาพเช่นนี้เอาไว้ในใจบ้างแล้วจึงไม่ตระหนก
เวลานี้แมงป่องกระดูกกับหัวบินต่างขดตัวอยู่ไม่ไกล บนร่างต่างมีปราณดำสายหนึ่งลอยขึ้นมาล้อมตัวเองเอาไว้เป็นก้อน ทั้งคู่เข้าสู่สภาวะฝึกฝนแล้ว เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากปราณหยินและไอเย็นรอบด้านแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงขยับร่างกายที่แข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งแล้วเรียกตำราสีดำเล่มหนึ่งออกมา
สิ่งนี้ย่อมเป็นเคล็ดวิชากระดูกดำสิบขั้นแรกที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงมอบให้เขาเมื่อครั้งนั้น หลายปีนี้เขาศึกษาเคล็ดวิชาในตำราเล่มนี้จนแตกฉานนานแล้ว
เขาเคลื่อนพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณโคจรไปยังเส้นลมปราณตามเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่ห้าทันที
ปราณหยินกับไอเย็นของแม่น้ำมืดที่รุกล้ำเข้ามาในร่างหลิ่วหมิงราวกับร้อยสายน้ำไหลสู่มหาสมุทร พวกมันทยอยไหลเข้าสู่เส้นลมปราณและกระดูกทั่วทั้งร่าง
เวลาผันผ่านไปทีละน้อย ครึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็ลืมตาขึ้นช้าๆ สีหน้าฟื้นกลับมาเป็นปกติ
เคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่ห้าต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำมืดชำระร่างจึงจะฝึกฝนได้ ตอนนี้ตัวเขาอยู่ที่ก้นแม่น้ำมืด น้ำจากแม่น้ำมืดแค่ยกมือก็หามาได้
เดิมทีหลิ่วหมิงคิดจะกลั่นหยดพลังวารีแล้วหลอมมุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูกให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ อย่างไรที่แห่งนี้ก็คือก้นแม่น้ำมืด ยามใดอันตรายจะมาเยือน ผู้ใดก็ไม่อาจคาดเดาได้ การเพิ่มพูนพลังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แต่ตอนนี้ดูแล้วการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำคงต้องเลื่อนขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่อาจอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้
แม้ทำเช่นนี้จะถ่วงความเร็วการกลั่นหยดพลังวารี แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงใช้ความสามารถในการแบ่งสมาธิทำสองสิ่ง จิตครึ่งหนึ่งโคจรเคล็ดวิชาพันกลั่นวารี กลั่นหยดพลังวารีไม่หยุด ส่วนจิตอีกครึ่งหนึ่งตรากตรำฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ
เวลาล่วงเลยอย่างรวดเร็ว ก้นแม่น้ำมืดเงียบสงบดุจดั่งยามแรก ไม่เคยมีผู้ใดรบกวน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี
วันนี้เวลานี้ด้านในชั้นจำกัดที่ก้นแม่น้ำมีไอหมอกสีเหลืองหม่นที่มีประกายน้ำสีดำไม่น้อยแทรกอยู่ด้านในแผ่อยู่เต็มไปหมด
ทั้งสองสิ่งผสานรวมกันสาดซัดดั่งคลื่นสมุทรท่วมเต็มทั้งชั้นจำกัด
ใจกลางหมอกสีเหลืองกับแสงสีดำ เสียงท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาดังออกมาเลือนราง มีคลื่นพลังเวทมหาศาลสายแล้วสายเล่าส่งออกมาไม่หยุด ชั้นจำกัดสีดำเกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก
วันนี้ใจกลางไอหมอกสีเหลืองมีเสียงหวีดแหลมดังก้อง ไอหมอกกับประกายน้ำทั้งหมดทะลักเข้าไปที่จุดหนึ่งราวกับวาฬสูบน้ำ หายไปไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็ว
หลังจากไอหมอกหดหายไป รอบตัวมนุษย์ผู้สวมชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นก็มีมุกกลมสีเหลืองเข้มสิบสองลูกลอยก่อตัวเป็นรูปแบบประหลาด เคลื่อนวนอย่างเชื่องช้า
มนุษย์ผู้สวมชุดสีน้ำเงินผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิง
ในเวลาสิบปีนี้เขากลั่นทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก ในที่สุดก็กลั่นหยดพลังวารีออกมาได้เพียงพอ ไม่เพียงหลอมมุกบรรพตรธาราที่สำเร็จกึ่งหนึ่งลูกนั้นจนเสร็จสมบูรณ์ ยังหลอมมุกบรรพตธาราสิบเอ็ดลูกที่เหลือจนสำเร็จเป็นอาวุธเวทที่แท้จริงจนหมดอีกด้วย
มุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูกมีหมอกสีเหลืองเข้มเบาบางลอยวนเวียนอยู่บนผิว มองทะลุผ่านหมอกบางจะเห็นเลือนรางว่าด้านในมุกแต่ละลูกมีภาพขุนเขากับสายน้ำที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่ภาพหนึ่ง ภูเขาสูงตระหง่าน สายธารไหลไม่ขาดสาย พลังชีวิตเปี่ยมล้น
หากพินิจให้ละเอียดจะพบว่าสายน้ำที่อยู่ในมุกบรรพตธาราที่สำเร็จมาก่อนครึ่งหนึ่งลูกนั้นเหนียวข้นและกว้างขวางสู้สิบเอ็ดลูกที่เหลือไม่ได้ นี่คงเป็นเพราะในตัวมันไม่ใช่น้ำจากแม่น้ำมืดทั้งหมดกระมัง
แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสามารถดึงหยดพลังวารีธรรมดาที่ผสานเข้าไปด้านในแล้วออกมาได้
สองมือของหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชา ก่อนจะอ้าปากพ่นแสงเรืองรองสีเหลืองสายหนึ่งออกมา มุกบรรพตธาราสิบสองลูกเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงสีเหลืองถูกแสงเรืองรองม้วนเข้าไปในร่าง
“ยินดีกับนายท่าน ในที่สุดก็หลอมอาวุธเวทมุกบรรพตธาราสำเร็จ!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลด้านหลังหลิ่วหมิงรีบเอ่ยแสดงความยินดี
ในเวลาสิบปีนี้ทั้งสองตรากตรำฝึกฝนไม่หยุดหย่อน พลังเวทจึงก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย
ตราประทับมงกุฎสีทองบนหน้าผากเซียเอ๋อร์แจ่มชัดยิ่งกว่าเดิมจนเหมือนเปลวเพลิงสีทองดวงหนึ่ง ส่วนร่างกายของเฟยเอ๋อร์ก็ดูเติบใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วนเช่นกัน