ภายในมิติสีเทาของ “กรงขัง” เงาคนวูบไหว หลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นด้านใน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ข้าหาโอกาสเลื่อนสู่ระดับแก่นแท้พบแล้ว ขอผู้อาวุโสปรากฏตัวมาพบด้วย!” เขากวาดสายตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงกังวาน
เสียงกังวานลอยไปไกลด้านในมิติกรงขังซึ่งตอนนี้มีขนาดหลายลี้แล้ว
ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้หลิ่วหมิงเคยเรียกหลัวโหวอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้ผลเลยสักนิด แต่ครั้งนี้เสียงของเขาเพิ่งจางหาย เงาคุ้นเคยร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลิ่วหมิงประสานมือคำนับด้วยสีหน้ายินดี
ผู้ที่มาก็คือหลัวโหวนั่นเอง!
สายตาของหลัวโหวพิจารณาหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าหลายครั้งแล้วพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า
“ไม่เลวทีเดียว ระหว่างที่ข้าหลับใหล ระดับพลังของเจ้าก้าวหน้าขึ้นเร็วนัก!”
“คำพูดก่อนหน้านี้ของผู้อาวุโสหลัวโหว ผู้เยาว์ย่อมจำขึ้นใจอยู่ตลอด มิกล้าไม่ตรากตรำฝึกฝนสุดชีวิต” หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อน
หลัวโหวหัวเราะหึๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา
“ตอนนั้นผู้อาวุโสรับปากว่าถึงเวลาจะใช้พลังของกรงขังช่วยผู้เยาว์เลื่อนสู่ระดับแก่นแท้ วันนี้ผู้เยาว์เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นมา
“เหอะ ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้วย่อมทำตามนั้น แต่โอกาสเช่นนี้มีเพียงครั้งเดียว เจ้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วจริงหรือ?” หลัวโหวเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“หลายสิบปีนี้ข้าน้อยรวบรวมวิธีมาไม่น้อยเพื่อการผนึกแก่นแท้ มั่นใจไม่น้อยทีเดียว!” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างแน่วแน่
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อน ข้าอยู่ที่นี่ใช้พลังของกรงขังช่วยเจ้าได้ตลอดเวลา” หลัวโหวฟังแล้วก็พยักหน้าตอบ
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงประสานมือคำนับหลัวโหวอีกครั้ง จากนั้นร่างกายก็เลือนหายออกไปจากมิติของกรงขัง
หลิ่วหมิงที่อยู่ในหลุมลึกลืมตาขึ้น ร่างกายขยับวูบเดียวเหาะออกมาแล้วร่อนลงบนพื้นที่ว่างราบเรียบแห่งหนึ่ง
“เซียเอ๋อร์ หลังจากนี้ข้าจะเริ่มลองผนึกแก่นแท้ นี่คือธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลของมหาค่ายกลโปรดสัตว์ เจ้าช่วยข้าวางไว้รอบด้าน หลังจากนั้นคุ้มครองข้า อย่าให้สิ่งใดมารบกวนข้าได้” หลิ่วหมิงพูดพลางพลิกฝ่ามือเรียกธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลสีเหลืองตั้งหนึ่งออกมาส่งเซียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่ให้ผู้ใดรบกวนท่านได้!” เซียเอ๋อร์ยื่นมือไปรับธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลแล้วพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากนั้นร่างกายขยับวูบหนึ่งไปปรากฏตัวไม่ไกลเริ่มเตรียมการ
หลิ่วหมิงละสายตากลับมาจากร่างเซียเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนมาเคร่งขรึม
โอกาสผนึกแก่นแท้ครั้งนี้มาอย่างกะทันหันไปบ้าง แต่ตนก็คาดคิดเอาไว้แล้ว อย่างไรสิ่งที่ตนฝึกฝนก็คือวิชาสายวิญญาณ เมื่อเทียบกับทางปีศาจร้าย ยมโลกย่อมเหมาะแก่การผนึกแก่นแท้มากกว่า
อาจถึงขั้นพูดได้ว่า ยมโลกคือหนึ่งในแหล่งกำเนิดของวิชาสายวิญญาณ
ส่วนชั้นจำกัดลึกลับก้นแม่น้ำมืดอันนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง มันเพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ให้แก่เขาอีกหลายส่วนอย่างอ้อมๆ
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องคว้าโอกาสอันหายากครั้งนี้เอาไว้!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็หลับตาลงช้าๆ เริ่มทำสมาธิโคจรปราณ
หลังจากนั้นครึ่งวันเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้าและมีแสงสีดำไหลอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงในเวลานี้ ไม่ว่ากาย จิตหรือพลังเวทล้วนอยู่ในสภาพยอดเยี่ยมที่สุด
เขาโบกมือ แสงสีน้ำเงินสว่างวูบหนึ่งบนพื้น หินจิตวิญญาณสีน้ำเงินกองน้อยปรากฏขึ้น มีอยู่ราวสี่ห้าสิบก้อน พวกมันก็คือศิลารวมจิตวิญญาณที่ได้รับส่วนแบ่งมาจากตอนที่ไปฝึกวิชาในเศษซากโลกบนก่อนหน้านี้นั่นเอง
สองมือของหลิ่วหมิงโบกต่อเนื่อง ยันต์แผ่นแล้วแผ่นเล่าแยกย้ายกันพุ่งเข้าไปในพื้นดินรอบตัว
ไม่นานนักพื้นที่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าซึ่งมีเขาเป็นศูนย์กลางก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินอ่อนเส้นแล้วเส้นเล่าสลักล้อมไว้เป็นรูปวงกลม
หลังจากทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ปราณสีดำสายแล้วสายเล่าจึงม้วนตัวออกมาจากสองมือ รัดศิลารวมจิตวิญญาณก้อนแล้วก้อนเล่าเบื้องหน้ามาวางลงบนลวดลายค่ายกลอย่างแม่นยำ
ค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กค่ายกลหนึ่งวางเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
พริบตาที่ค่ายกลรวมจิตวิญญาณวางเสร็จ แรงดึงดูดล่องหนสายหนึ่งก็แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศในทันใด ปราณหยินรอบด้านโถมเข้ามาในค่ายกลรวมจิตวิญญาณตามการชักนำของพลังสายนี้
ก้นแม่น้ำมืดซึ่งเดิมทีปราณหยินเข้มข้นอยู่แล้ว เมื่อมีค่ายกลรวมจิตวิญญาณเสริมส่งก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกหลายเท่าในทันใด ปราณหยินรอบตัวหลิ่วหมิงกลายสภาพเป็นหมอกสีดำ ด้านบนเกิดพายุหมุนปราณหยินสีดำสนิทดุจหมึกลูกหนึ่งขึ้นเลือนราง ลมปราณหนาวยะเยือกที่เดิมทีก็เสียดแทงกระดูกอยู่แล้วฉับพลันแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจนแทบทะลุไปถึงแก่นกระดูก
ยังดีที่หลายปีนี้หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำได้จนถึงขั้นเก้าแล้ว ความสามารถในการต้านทานลมปราณอันหนาวเย็นจึงเพิ่มขึ้นมาก แม้สัมผัสถึงความเย็นแต่ไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก
“แย่แล้ว ลืมไปเลยว่าปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินในยมโลกมีน้อยนิดยิ่งนัก แม้จะวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณ แต่สิ่งที่รวบรวมมาก็มีแต่ปราณยมโลก!” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ตบต้นขาดังฉาด แล้วตระหนักถึงปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เคล็ดวิชากระดูกดำที่เขาฝึกฝน แม้จะเปลี่ยนปราณหยินเป็นพลังเวทสะสมไว้ในทะเลจิตวิญญาณได้ แต่ย้อนไปถึงต้นตอแล้วเขาก็เป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ยามนี้ต้องการผนึกแก่นแท้ หากไม่มีปราณจิตวิญญาณฟ้าดินจำนวนมากช่วยเสริมย่อมทำสำเร็จได้ยากนัก
การใช้ค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กค่ายกลนี้รวบรวมปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดิน เจตนาดั้งเดิมก็เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณในอากาศรอบด้าน แต่เวลานี้ปราณจิตวิญญาณฟ้าดินรอบด้านเบาบางผิดปกติ สิ่งที่ค่ายกลรวมจิตวิญญาณรวบรวมมาได้ส่วนใหญ่จึงมีแต่ปราณหยินอันเสียดแทงกระดูกเท่านั้น
จะว่าไปแล้วสิบกว่าปีนี้ที่เขาเข้ามาในแดนยมโลก เขาก็อาศัยโอสถกับพลังของหินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวทมาตลอด พึ่งพาปราณจิตวิญญาณฟ้าดินไม่เท่าไร ดังนั้นตอนนี้จึงเพิ่งตระหนักถึงความยุ่งยากประการนี้ขึ้นมา
“ประเดี๋ยวก่อน หินจิตวิญญาณ ใช่แล้ว!” หลิ่วหมิงฉุกคิดบ้างสิ่งขึ้นมาได้เลาๆ
เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ภายในค่ายกลรวมจิตวิญญาณก็ปรากฏหินจิตวิญญาณกองเท่าภูเขาน้อยกองแล้วกองเล่า ส่วนใหญ่ที่อยู่ในนั้นล้วนเป็นหินจิตวิญญาณระดับสูง มีมากนับหมื่นก้อน หินจิตวิญญาณระดับกลางกับหินจิตวิญญาณระดับล่างกลับค่อนข้างน้อย
พวกนี้คือสมบัติทั้งหมดที่หลิ่วหมิงเก็บสะสมมาหลายปีนี้ มีหินจิตวิญญาณมากถึงร้อยล้านก้อน ยามนี้ไม่มีเวลาให้สนใจมากมายปานนั้น เขาจึงเอาออกมาจนหมด
แม้ใบหน้าของเขาจะเผยสีหน้าเจ็บปวดใจออกมาเล็กน้อย แต่จากนั้นเขาก็พรูลมหายใจออกมาเบาๆ ปราณสีดำทะลักออกมารอบร่างม้วนหินจิตวิญญาณบนพื้นเอาไว้
แครก แครก แครก!
หินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อนทยอยถูกบีบรัดจนแตก
ทันใดนั้นปราณจิตวิญญาณฟ้าดินอันบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายแล้วสายเล่าก็เอ่อล้นทั่วทุกสารทิศ หลังจากนั้นด้วยผลของค่ายกลรวมจิตวิญญาณ พวกมันก็ม้วนกลับมารวมอยู่ตรงกลางผสานเข้าไปในพายุปราณหยินสีดำที่อยู่ตรงกลางก่อนแล้ว
ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินซึ่งมีสภาพเหมือนหมอกสีน้ำนมปะปนอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีดำ พวกมันล้อมร่างกายของหลิ่วหมิงไว้ตรงกลาง ส่วนพายุหมุนเหนือศีรษะก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำกับสีขาวด้วย
เซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้พลันรีบร้อนท่องมนตร์ ธงค่ายกลในมือโบกสะบัดระรัว
มหาค่ายกลโปรดสัตว์ต้องใช้สองคนจึงจะทำงานได้เป็นปกติ แต่เวลานี้ไม่จำเป็นต้องใช้มันต่อกรศัตรู เพียงปกปิดคลื่นพลังเวทยามเลื่อนระดับของหลิ่วหมิงไม่ให้นำเรื่องยุ่งยากมาเท่านั้น เซียเอ๋อร์คนเดียวจึงเพียงพอ
เมื่อมีเซียเอ๋อร์คอยจัดการ ม่านแสงสีทองอ่อนชั้นหนึ่งก็แผ่ออกมาไปสี่ด้านแปดทิศครอบหลิ่วหมิงกับค่ายกลรวมจิตวิญญาณเอาไว้ด้านใน แรงสั่นสะเทือนแม้เพียงเศษเสี้ยวก็ไม่หลุดลอดไปนอกชั้นจำกัด
หลิ่วหมิงที่อยู่ใจกลางค่ายกลรวมจิตวิญญาณรู้สึกราวกับร่างกายอยู่ท่ามกลางน้ำพุร้อนที่มีความร้อนกับความเย็นสลับกัน ความรู้สึกสบายอันบรรยายไม่ถูกเคลื่อนจากสี่แขนขาร้อยกระดูกเข้าสู่ทะเลจิตรับรู้
เขาหลับตาทั้งสองข้างแน่น จิตค่อยๆ เข้าสู่สภาวะลืมเลือนตนเองและสรรพสิ่ง
หลังจากนั้นเนิ่นนานเขาจึงลืมตาขึ้นช้าๆ พลังเวทอันบริสุทธิ์อย่างที่สุดเริ่มโคจรอย่างเชื่องช้าในทะเลจิตวิญญาณ
“ผู้อาวุโสหลัวโหว เริ่มได้แล้ว!” เขาคิดในใจเงียบๆ จากนั้นจึงพลิกฝ่ามือ เรียกขวดน้อยเจ็ดแปดใบออกมาเทโอสถหลากหลายชนิดที่ช่วยในการนี้ซึ่งเตรียมไว้เรียบร้อยก่อนหน้าออกมา พวกมันมีประโยชน์ต่อการผนึกแก่นแท้ของเขาไม่มากก็น้อย เขากินลงไปรวดเดียว
ทันใดนั้นเสียง “ฟู่” แผ่วเบาก็ดังขึ้นในทะเลจิตวิญญาณ ฟองอากาศน้อยขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองฟองหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้น มันสั่นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นพลังเวทอุ่นร้อนสายหนึ่งก็ท่วมทะลักออกมาจากด้านในอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงประหนึ่งบรรลุธรรม ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เหนือทะเลจิตวิญญาณภายในร่าง “แก่นเสมือน” ที่เกิดจากผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดรวมเข้าด้วยกันถูกพลังจิตวิญญาณอุ่นร้อนสายนี้พุ่งโจมตีจนผิวเปล่งแสงจิตวิญญาณวูบวาบแล้วสั่นไหวเป็นจังหวะ
พายุหมุนลมปราณสีขาวกับดำที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นทรงกรวย ปราณจิตวิญญาณสีขาวกับสีดำอันบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายแล้วสายเล่าโถมเข้ามาในกระหม่อมของหลิ่วหมิงราวกับวาฬสูบน้ำ หลังจากนั้นไหลผ่านเส้นลมปราณเส้นแล้วเส้นเล่าในร่างเขาไปรวมตัวกันในทะเลจิตวิญญาณ แล้ววนเวียนรอบ “แก่นเสมือน” ก่อนจะจมเข้าไปด้านใน
เมื่อเวลาผ่านไป “แก่นเสมือน” ที่เปล่งแสงแวววาวก็เริ่มถูกไอหมอกสีดำกับขาววนเวียนล้อมไว้…
เวลาวันแล้ววันเล่าผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปี
วันนี้ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำมืดซึ่งเดิมสีเทาขมุกขมัว ฉับพลันมีพายุหมุนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ต่อจากนั้นสายลมคลั่งก็โหมพัดปั่นกระแสลมหลายร้อยลี้รอบด้านจนกลายเป็นข้าวต้มหม้อหนึ่ง แม่น้ำมืดเบื้องล่างที่แต่เดิมสงบนิ่งเกิดคลื่นมหึมาโถมซัดระลอกแล้วระลอกเล่า
เวลาผ่านไปเมฆดำทะมึนขนาดมโหฬารกลุ่มหนึ่งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนท้องนภา
อึดใจต่อมาเสียงเปรี้ยงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็ดังออกมาจากเมฆดำไม่ขาด อสรพิษอสนีบาตสีม่วงนับไม่ถ้วนเปล่งแสงแปลบปลาบราวกับน้ำหลาก!
พวกมันเริงระบำฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงครืนครางทุ้มต่ำดังเลือนลั่นลอยไปทั่วทุกสารทิศ
ใต้ผืนเมฆอสนีบาตสีดำ อสูรแห่งความืดในแม่น้ำมืดทั้งหมดสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าตกตะลึงของเมฆอสนีบาตกลุ่มนี้ สัญชาตญาณต่างสั่งให้พวกมันทั้งหมดหลบเร้นไปให้ไกล
ในตอนนี้เองแม่น้ำมืดสีดำทะมึนเบื้องล่างก็พลันมีน้ำวนใหญ่หนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมา มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็วจนพริบตาเดียวใหญ่ยักษ์ยี่สิบสามสิบจั้ง
“ซ่า!”
เงาสีดำร่างหนึ่งเหาะออกมาจากใจกลางน้ำวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลอยอยู่ใต้เมฆอสนีบาตสีดำ ปราณดำกระจายออกไป เผยให้เห็นบุรุษหน้าตาธรรรมดาเปลือยท่อนบนผู้หนึ่ง
เขาก็คือหลิ่วหมิง
แต่เวลานี้กล้ามเนื้อทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขากำลังขยับขยุกขยิก เส้นเอ็นยึกยือปูดนูนขึ้นมา รอบร่างมีปราณดำหนาสายแล้วสายเล่าวนเวียนอยู่ราวกับอสรพิษตัวใหญ่หลายตัว
ทันทีที่หลิ่วหมิงปรากฏตัว เมฆอสนีบาตบนท้องฟ้าก็ราวกับหาที่ระบายพบ เสียงอสนีบาตคำรามดังลั่นทันใด เส้นอสนีบาตสีม่วงเส้นแล้วเส้นเล่าส่องสว่างร่วงลงมาจากเมฆอสนีบาต เป้าหมายรวมอยู่ที่ร่างของมนุษย์เบื้องล่าง