“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่บิดาเขาก็เป็นคนรับปากการแต่งงานนี้เอง ไม่ว่าอย่างไรตระกูลไป๋ก็ต้องอธิบายความให้กระจ่าง” ตู้ไห่ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“ด้วยตำแหน่งในนิกายปีศาจของศิษย์น้องไป๋ตอนนี้ เกรงว่าตระกูลไป๋ทั้งตระกูลคงต้องพึ่งพาเขา ส่วนการแต่งงานนี้จะถูกยกเลิกหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องฟังคำพูดของเขาอีกที จะว่าไปแล้วเป็นข้าเองที่ติดค้างศิษย์น้องไป๋ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้านำเรื่องหมิงจูมาพัวพันกับเขา เขาก็คงไม่ถูกบีบให้ไปจากนิกายเพื่อหลบซ่อนเกาชงชั่วคราวหรอก” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“อะไรนะ ศิษย์น้องไป๋จะไปจากนิกาย?” ครั้งนี้เป็นทีของตู้ไห่ที่ต้องตกใจบ้างแล้ว
“ไม่ผิด ศิษย์น้องของเราคนนี้เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าพอเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เขาก็ไม่สามารถทำการต่อต้านใดๆ ได้ ดังนั้นจึงเตรียมหลบหนีไปไกลๆ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่าการฝึกฝนของศิษย์น้องจะถูกหน่วงเหนี่ยวไปด้วย ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่นาน ถ้าจะฝึกฝนให้ถึงระดับสมบูรณ์แบบเพื่อใช้ในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ คงต้องใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว” สีหน้าตู้ไห่เปลี่ยนไปมาก่อนที่จะกล่าว
“อืม! ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของศิษย์น้องไป๋ ต่อให้ฝึกฝนจนถึงระดับที่เพียงพอ แต่ความหวังในการเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังคงดูเลือนลางอยู่ดี ถ้าเขาทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล้มเหลว เขาคงจะอยู่ข้างนอกและไม่กลับมานิกายอีก! พอถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่แย่สำหรับเขาจริงๆ” มูอวิ๋นเซียนถอนหายใจ
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์น้องไป๋อยู่ข้างนอกคงไม่สบายอย่างที่ข้าคิด มิน่าล่ะ! เจ้าถึงไม่สนใจเรื่องการถอนหมั้นของเขา ว่าแต่มันคงไม่มีผลกระทบใดๆ กับมู่หมิงจูใช่ไหม หากว่าศิษย์น้องไป๋ถอนหมั้นไป และเมื่อเกาชงออกจากการเก็บตัวแล้วเขาจะไปหมิงจูไหม” ตู้ไห่พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“อันนี้เจ้าวางใจได้ หมิงจูกลับไปตระกูลมู่ครั้งนี้ ต่อให้ไม่แต่งกับตระกูลไป๋ ข้าก็จะเร่งรัดให้พี่ใหญ่หาคู่หมั้นหมายใหม่ให้ และแต่งออกไปให้เร็วที่สุด หลังจากเกาชงเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงไม่หน้าด้านไปฝืนใจภรรยาของคนอื่นหรอก” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นวิธีการที่ศิษย์น้องคิดไว้แล้ว นับว่าไม่เลว ว่าแต่การเก็บตัวของเกาชงในครั้งนี้มีความเชื่อมั่นในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณมากขนาดนั้นเชียวหรือ คนส่วนใหญ่ถึงคิดว่าพอเขาออกจากการเก็บตัวแล้ว ก็จะทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวได้อย่างแน่นอน” ตู้ไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวออกมา
“คุณสมบัติชีพจรจิตวิญญาณพสุธานั้นน่ากลัวมาก มันไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์อย่างพวกเราจะเข้าใจได้ แต่ในเมื่อผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายต่างก็คิดเช่นนี้ ส่วนใหญ่ก็ย่อมไม่มีข้อผิดพลาด อย่างน้อยก็คงมีความเชื่อมั่นเจ็ดถึงแปดส่วนขึ้นไป” มู่อวิ๋นเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“เชื่อมั่นเจ็ดถึงแปดส่วนว่าจะสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้! จุ๊ๆ! ถ้าเจ้ากับข้าสามารถไปถึงระดับนี้ได้ อายุขัยของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่ากว่าๆ” สีหน้าอิจฉาปรากฏขึ้นบนใบหน้าตู้ไห่อย่างอดไม่ได้
“ด้วยคุณสมบัติของเจ้าอาจจะพอมีความเป็นไปได้บ้าง แต่ข้ากลับติดค้างอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางหลายปี ชาตินี้คงไม่มีโอกาสแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินกลับมีเศร้าสลดขึ้นมา
ตู้ไห่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขารีบเดินหน้าไปจับไหล่ของนางไว้ และกล่าวคำปลอบโยนอยู่พักหนึ่งถึงทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย แล้วก็พากันทะยานขึ้นฟ้าเพื่อออกไปจากป่า
……
พอหลิ่วหมิงกลับถึงเขาเก้าทารกก็รีบร่อนลงไปที่พักของตนเองทันที จากนั้นก็เข้าไปในห้องและหยิบยันต์ผืนหนึ่งขึ้นมาฉีกทันที
ทันทีที่มีแสงเปล่งประกายออกมา ม่านแสงชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านแสง และเริ่มไตร่ตรองเรื่องที่มู่อวิ๋นเซียนบอกเขาในก่อนหน้านั้น
ตระกูลไป๋รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ แต่ยังกล้ากำหนดงานแต่งงานระหว่างเขากับมู่หมิงจูโดยไม่บอกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสมองของนายท่านตระกูลไป๋กับคุณหนูใหญ่ผู้นั้นมีปัญหา ก็คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างบีบจนพวกเขาต้องทำเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าทำแบบนี้จะผูกมัดเขาไว้กับตระกูลไป๋ได้
เมื่อเปรียบเทียบความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้ เขากลับคิดว่าอย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากสุด
แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลำพังแค่ตระกูลผู้ฝึกปราณก็สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้ และการไปจากนิกายในครั้งนี้ เดิมทีเขาก็คิดจะจัดการปัญหาตระกูลไป๋ให้เสร็จสิ้น คาดว่าฝ่ายตรงข้ามคงให้ข้อแก้ตัวที่ดีได้
หลิ่วหมิงวางแผนอยู่ในใจแล้วเก็บเรื่องนี้ไว้ทำทีหลัง จากนั้นก็ล้วงมือหยิบขวดเล็กสูงไม่กี่ชุ่นออกมาจากอก แล้วลุกไปไปหาอ่างไม้ค่อนข้างใหญ่มาใบหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่ามือพร้อมกับชี้ไปยังอ่างไม้ใบนั้น
หลังจากที่มีแสงสีฟ้าปรากฏอยู่ในอ่างเป็นจุดๆ หยดน้ำกลมๆ แต่ละหยดก็ทะลักออกมาจนกลายเป็นน้ำสะอาดครึ่งอ่าง
หลิ่วหมิงเปิดจุกขวดและเทของเหลวสีเทาออกมา พอมันสัมผัสกับน้ำสะอาดในอ่างก็โชยกลิ่นฉุนแสบจมูกทันที ขณะเดียวกันมันก็ผสมเข้ากับน้ำสะอาดอย่างดุเดือด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับแสดงสีหน้าพอใจออกมา
เขาตบแขนข้างหนึ่งเพื่อเอาหอยสังข์ย่อส่วนออกมาอีกครั้ง และร่ายคาถาส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้น
ผ่านไปไม่นานก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และเกราะเกล็ดมังกรตัวนั้นก็ปรากฏอยู่ในอ่างไม้
ภายใต้การเคลื่อนของมือทั้งสอง หลิ่วหมิงกดเกราะหนังไว้ใต้ของเหลวขุ่นข้น จากนั้นก็หลับตากำหนดลมหายใจ
สามชั่วยามผ่านไปเขาถึงลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วหยิบเกราะหนังออกมาจากอ่างไม้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือเรียกน้ำสะอาดออกมาชะล้างของเหลวขุ่นข้นที่ติดอยู่บนเกราะหนังออกมาจนหมด
ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
กลิ่นฉุนแสบจมูกหายไปแล้ว และกลิ่นไอมังกรแดงจากเกล็ดที่อยู่บนเกราะหนังก็หายไปจนหมดสิ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีคนเห็นเกราะโกโรโกโสนี้ ก็ไม่คิดไม่ถึงว่าเกล็ดที่อยู่บนเกราะหนังจะเป็นเกล็ดของมังกรแดง
หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปในเกราะหนัง ไอร้อนระอุก็ค่อยๆ แผ่ออกมา พริบตาเดียวมันก็ทำให้เกราะหนังที่เปียกโชกแห้งและอบอุ่นขึ้นมา
ต่อมาเขาก็ถอดเสื้อชั้นนอกออกไปอย่างไม่ลังเล และสวมเกราะหนังเข้าไป เมื่อเขาลองขยับตัวดูแล้วไม่พบปัญหาอะไรก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
วันที่สองหลิ่วหมิงไปหอดำเนินการอีกครั้ง เขาใช้แต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งเพื่อขอออกไปด้านนอกชั่วคราว จากนั้นก็ออกจากนิกายมุ่งหน้าไปตลาดเว่ยโจวอย่างเงียบๆ
เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป
หนึ่งเดือนผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงนิกายด้วยความเหน็ดเหนื่อย อาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นในหอยสังข์ย่อส่วนที่เขาไม่ได้ใช้ก็กลายเป็นหินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อน เหลือเพียงแผ่นป้ายสีฟ้าที่เขาไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์อันใดเท่านั้น
และในขณะเดียวกันถุงหนังที่เขาเคยใส่หัวบินก็ถูกเปลี่ยนเป็นถุงหนังสีดำที่ประณีตงดงามอีกใบหนึ่ง ดูจากที่ไอสีดำแผ่ออกมาอยู่รำไร เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของล้ำค่าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเลย
บริเวณหน้าอกของเขากับหอยสังข์ย่อส่วนก็มียันต์ โอสถ และสิ่งของอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย สิ่งของเหล่านี้ใช้หินจิตวิญญาณไปเกือบหมื่นก้อนเพื่อแลกมันมา
หลังจากกลับมาในครั้งนี้ หลิ่วหมิงก็พักผ่อนไปหลายวันแล้วถึงค่อยไปหอดำเนินการอีกครั้ง
ในห้องโถงชั้นสอง หลิ่วหมิงยืนอยู่ใต้ป้ายประกาศที่เป็นผลึกใส เขาจ้องมองภารกิจล่างสุดอยู่ไม่หยุดเหมือนกับว่ายังตัดสินใจไม่ได้
ถึงแม้เขาจะตั้งใจมาแต่เช้า แต่บริเวณนั้นก็ยังมีศิษย์ที่มารับภารกิจอยู่เจ็ดถึงแปดคน และยังมีศิษย์จำนวนหนึ่งจำหลิ่วหมิงได้ ภายใต้ความประหลาดใจพวกเขาก็พูดจากระซิบกระซาบกับคนข้างๆ อย่างอดไม่ได้
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์ทั้งหมดก็รู้สถานะของหลิ่วหมิง พวกเขาพากันมองมาด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป มีทั้งเคารพ ยำเกรง และอื่นๆ
หลิ่วหมิงย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาอันร้อนแรงเหล่านี้ เขาหันหน้ามองไปในทันที
เมื่อศิษย์เหล่านี้สบตาหลิ่วหมิงก็รู้สึกเย็นสะท้านจนต้องถอนสายตากลับไปด้วยความตกใจ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้หันกลับไปมองป้ายผลึกใสอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
ภารกิจระยะยาวที่นิกายประกาศออกมาในตอนนี้ มีแค่สามภารกิจที่เขาสามารถพิจารณาได้
ภารกิจแรกคือเขาหินแร่ที่นิกายปีศาจได้รับมาจากหอสายธารโลหิตเมื่อไม่นานมานี้ ต้องการศิษย์นิกายสายในจำนวนมากไปตั้งมั่นรักษาการณ์เป็นเวลาหลายปี
ภารกิจต่อมาคืออารามฮั่นซานที่นิกายปีศาจสังกัดอยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นเฮยสุ่ย ต้องการศิษย์ไปดูแล เนื่องจากผู้ดูแลคนเดิมสิ้นสุดภารกิจแล้ว
ภารกิจสุดท้ายคือ ที่เมืองเสวียนจิง เมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน มีศิษย์ตรวจตราที่เป็นตัวแทนของนิกายปีศาจหายตัวไป และขาดการติดต่อกับนิกาย ดังนั้นจึงต้องการศิษย์ตรวจตราคนใหม่ไปรับหน้าที่ตรวจตราแทน และตามหาเบาะแสของศิษย์ที่หายไป
ภารกิจทั้งสามอย่างนี้ ภารกิจแรกเป็นภารกิจที่ง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเมื่อหอสายธารโลหิตส่งมอบเขาหินแร่ลูกนั้นออกมา ดังนั้นก่อนการประลองใหญ่ในครั้งหน้า พวกเขาย่อมไม่กล้าส่งคนมาก่อกวนเด็ดขาด ถ้าหากไปตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่นั่นล่ะก็ คิดว่าคงจะผ่านเวลาสี่ปีไปอย่างสบายๆ แต่เรื่องของตัวเองที่ต้องจัดการ และเรื่องการรวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์ก็คงจะต้องคว้าน้ำเหลว
และตำแหน่งนี้ขอเพียงแค่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางก็สามารถรับหน้าที่ได้แล้ว
ภารกิจที่สองนับว่าอันตรายเล็กน้อย
เพราะว่านิกายในแคว้นต้าเสวียนกับนิกายในแคว้นเฮยสุ่ยเป็นศัตรูกันมานาน ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่เคยทำการต่อสู้กัน แต่ผู้ฝึกฝนของทั้งสองแคว้นมักจะต่อสู้กันบริเวณชายแดนอยู่บ่อยๆ
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว หากสามารถรับภารกิจผู้ดูแลอารามได้ ก็จะได้ตำแหน่งที่สูงและมีอำนาจมาก เพียงแค่อาศัยชื่อของนิกายปีศาจก็จะมีลูกน้องจำนวนมาก และเชื่อว่าถ้าจะประกาศตัวเป็นใหญ่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และถ้าหากเขานั่งตำแหน่งผู้ดูแลอารามได้มั่นคงแล้ว ต่อให้เกาชงจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ก็คงไม่กล้าจัดการเขาอย่างโจ่งแจ้ง
แน่นอนว่าตำแหน่งอันหอมหวานนี้ย่อมมีเงื่อนไขกับศิษย์ที่รับภารกิจค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่ต้องเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่ทุกปียังต้องส่งมอบหินจิตวิญญาณให้นิกายเป็นจำนวนมาก มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่สูญเสียตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังจะถูกลงโทษจากนิกายอย่างหนักด้วย
ส่วนภารกิจสุดท้าย…
หลิ่วหมิงจ้องมองไปยังภารกิจนี้ด้วยท่าทีเคร่งขรึม แล้วทำท่าราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
……………………………………….