“ด้านหน้ามีหุบเขาชันแห่งหนึ่ง แต่บนแผนที่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับชั้นจำกัดด้านใน ดูท่าพวกเราคงได้แต่คลำหาเองแล้ว” อินหลิวไม่มีเจตนาจะถามอันใดเพิ่มอีก เขาแนบหยกบันทึกแผนที่ในมือกับหน้าผากครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าบอก
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ก็หัวเราะฝืดเฝื่อน
ข้อมูลที่เขาได้มาจากต้งหาวบอกว่าหุบเขาชันตรงหน้านี้มีชื่อว่า “หุบเขาวาโยแยกร่าง” เห็นชัดว่าไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย แต่ข้อมูลไม่ได้มีบอกกล่าวถึงชั้นจำกัดด้านในไว้เป็นพิเศษ
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งสองน่าจะมาถึงตรงกลางของเขตรอบนอกแล้ว เหลือระยะห่างจากสุสานราชายมโลกเพียงไม่ถึงสามสี่ร้อยลี้ ไม่อาจไม่พูดว่านี่เป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง
เพียงแต่ว่าในสภาวะที่พลังเวทถูกจำกัด การรับมือชั้นจำกัดแปลกประหลาดสารพัดหลายชั้นเหล่านี้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนอย่างหลิ่วหมิง ไม่ว่าพลังกายหรือพลังเวทก็รู้สึกจะไม่พออยู่บ้างแล้ว
ทั้งสองคนพักอยู่ที่เดิมเป็นเวลาสั้นๆ พักหนึ่ง หลังจากฟื้นพลังเวทมาได้บางส่วนจึงลุกขึ้นออกเดินทางไปข้างหน้าต่อ
ไม่นานทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในหุบเขาชันที่ถูกขนาบด้วยภูเขาสูงตระหง่านซ้ายขวาซึ่งทอดยาวจนไม่เห็นสุดปลาย
ทันทีที่พวกเขาเหยียบเข้ามาในหุบเขาก็ผ่อนฝีเท้า พวกเขากวาดสายตามองรอบด้านไปพลางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ในใจก็หวาดหวั่น
บนหน้าผาสูงชันที่ตั้งตระหง่านอยู่สองฟากฝั่งของหุบเขาแห่งนี้มีร่องรอยของมีคมบางอย่างกรีดสลักตัดกันไปมาสะเปะสะปะยิ่งนัก
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก อินหลิวก็พลันยื่นมาออกมาขวางหน้าหลิ่วหมิง ส่งสัญญาณให้เขาหยุด พร้อมกับที่ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงเหมือนสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นอินหลิวก็ลืมตาสองข้างขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วหันมาเอ่ยเรียบๆ กับหลิ่วหมิง
“พี่อิ่น ที่แห่งนี้ผิดปกติอยู่เล็กน้อย ท่านตรวจสอบดูสักหน่อยก็จะรู้”
หลิ่วหมิงได้ยินก็เพ่งจิตแล้วหลับตาลงบ้าง
ผลปรากฏว่าอึดใจต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงสายลมดุดันดังหวีดหวิวในหู เขาตกตะลึงอยู่ในใจก่อนจะแผ่จิตสัมผัสออกไปหมายจะพยายามค้นหาที่มาของเสียงนี้
ทว่าจิตสัมผัสแผ่ไปตามเสียงลมได้ไม่ไกลเท่าไร หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเฉียบ จิตสัมผัสถูกพลังงานประหลาดสายหนึ่งผลักกลับมาดื้อๆ
ทั้งร่างเขาสะท้านเฮือกถอยหลังไปครึ่งก้าวกว่าจะตั้งหลักได้ ใบหน้าแดงเป็นปื้น
“พี่อิ่น เมื่อครู่ลืมบอกว่าชั้นจำกัดที่นี่ค่อนข้างประหลาด ไม่อาจใช้จิตสัมผัสฝืนแทรกเข้าไปสำรวจได้…ข้าใช้วิชาลับเข้าสมาธิ สิ้นเปลืองพลังปราณจำนวนหนึ่งจึงสัมผัสได้ แต่ก็ทำได้เพียงได้ยินเสียงสายลมที่ซุ่มซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพียงเลือนรางเท่านั้น ต้นตอกลับไม่ทราบ” อินหลิวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ที่นี่ไม่สงบอย่างที่เห็นบนเปลือกนอก” หลิ่วหมิงเห็นด้วย
“ยามนี้ก็ได้แต่เพิ่มการป้องกันระหว่างทางเท่านั้น” อินหลิวเอ่ยอย่างเชื่องช้า
หลิ่วหมิงพยักหน้าให้เขา แล้วทั้งสองคนก็ออกเดินทางต่อ
ผิดจากที่ทั้งสองคนคาดคิด เส้นทางต่อจากนั้นในหุบเขาชันทุกสิ่งกลับนิ่งสงบ ไม่เพียงไม่มีร่องรอยอันตรายแต่อย่างใด แม้แต่สายลมแรงสักหน่อยก็ไม่พัดมาเลย
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงยิ่งตื่นตัวเป็นพิเศษ
เทือกเขาสองฝั่งซ้ายขวาคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปเบื้องหน้าราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่รู้ว่ายามใดจึงจะถึงสุดปลาย
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หลิ่วหมิงกับอินหลิวสองคนก็หยุดยืนอยู่กับที่ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
ไม่มีทางให้ไปถึงสุดปลายหุบเขาแห่งนี้แล้ว ยอดเขามหึมาสูงตระหง่านลูกหนึ่งพาดขวางอยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน
“นี่คือเส้นทางที่ต้องผ่านหรือ ไม่ได้เดินผิดทางกระมัง” หลิ่วหมิงมองภูเขาลูกยักษ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยถามแช่มช้า
“หุบเขาแห่งนี้มีทางเส้นเดียวเช่นนี้ ไม่น่าจะผิดไปได้ หรือจะต้องข้ามเขาไป? แม้ภูเขาลูกนี้จะไม่สูง แต่มีชั้นจำกัดผนึกนภาอยู่ คิดจะข้ามไปคงไม่ง่าย ไม่สู้…” อินหลิวลูบปลายคางแล้วเอ้ยขึ้นเหมือนคิดอันใดอยู่
ผลปรากฏว่าในตอนนี้เองก็มีเสียงบึ๊มดังสนั่นจากความว่างเปล่าด้านหลังทั้งสองคน
ทั้งสองคนประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อหันหลังกลับไปมองกลับถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึง
เส้นทางด้านหลังพวกเขาสองคนถูกยอดเขามหึมาที่ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบลูกหนึ่งปิดเอาไว้แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ยามนี้ทั้งสองจึงถูกขังอยู่ในหุบเขาปิดตายที่ถูกขุนเขาโอบล้อมสี่ด้าน และไม่อาจใช้วิชาเหาะเหินได้
ระหว่างที่ทั้งสองคนตะลึงพรึงเพริดและใช้ความคิดอย่างเร่งด่วนอยู่นั่นเอง
“ฉึบ” เสียงดังสนั่นก็ดังขึ้นต่อเนื่องจากทั่วทุกสารทิศ
บนหน้าผาสี่ด้านมีรอยแตกแคบยาวหลายเส้นปรากฏ
ต่อจากนั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังออกมา คมดาบสายลมสีเทาอันเย็นยะเยือกอย่างยิ่งสายแล้วสายเล่าซัดกระหน่ำออกมาจากรอยแตกมากมายถี่ยิบมืดฟ้ามัวดิน
คมดาบสายลมเหล่านี้คล้ายคมดาบสายลมธรรมดา แต่ภายในแฝงพลังไอเย็นอันเข้มข้นอย่างยิ่งสายหนึ่งเอาไว้ อีกทั้งคมดาบสายลมหลายสายในนั้นยังยาวถึงหลายจั้ง ส่วนสายที่เล็กกลับเพียงไม่กี่ชุ่น
พริบตาเดียวอากาศรอบตัวทั้งสองคนก็ถูกคมดาบสายลมสีเทามากมายถี่ยิบยึดครอง
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึมไปทันที เขาตวาดลั่น ปราณสีดำที่ดำสนิทดุจหมึกนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากร่างแล้วก่อตัวด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว
เสียงมังกรคำรามดังขึ้นมา!
มังกรหมอกสีดำยาวสี่ห้าสิบจั้งห้าตัวพุ่งออกมาจากหลังร่างเขาอย่างเร็วไว พวกมันบินวนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วพุ่งเข้าใส่คมดาบสายลมมากมายทันที
ทว่าพลังของคมดาบสายลมไม่อาจดูแคลนได้
“ฟุบ”
คมดาบสายลมยักษ์สายหนึ่งฟันผ่านเอวของมังกรหมอกสีดำตัวหนึ่ง แสงสีดำสว่างวูเดียวก็สะบั้นมันจากหนึ่งร่างกลายเป็นสอง
ส่วนคมดาบสายลมที่ค่อนข้างเล็กเหล่านั้น แม้ไม่มีพลังมากมายเช่นนี้ แต่ก็ดูถูกไม่ได้เช่นกัน เพียงสองสามลมหายใจ พวกมันก็กรีดมังกรหมอกสีดำหลายตัวที่เหลือจนเป็นแผลทั่วร่าง ร่างกายโงนเงน
“คุกมืด”
หลิ่วหมิงสายตาเย็นเยียบ เคล็ดวิชาที่มือแปรเปลี่ยน มังกรหมอกห้าตัวที่ตกเป็นรองอยู่ทยอยระเบิดตัวเอง ไอหมอกสีดำเต็มฟ้ากลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่าล้อมตัวเขาไว้ พร้อมกับที่เสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น เงาพยัคฆ์มหึมาสีดำสูงสิบกว่าจั้งห้าตัวพุ่งออกมาล้อมด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย ด้านขวาของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้าง!
พยัคฆ์หมอกสีดำทั้งห้าฝืนขวางคมดาบสายลมส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่จนปัญญาที่คมดาบสายลมมีจำนวนมากเกินไป จึงยังมีคมดาบสายลมไม่น้อยลอดผ่านช่องว่างมาพุ่งเข้าใส่จุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ แสงสีเงินพลันสว่างขึ้นบนแผ่นหลัง ปีกเนื้อคู่หนึ่งโผล่ออกมาแล้วพาเขาลอยเรี่ยพื้นดินขยับหลบหลีกซ้ายขวา
ในเวลาเดียวกันนี้อินหลิวที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ใช้วิชาขี่กระบี่หลบพ้นการจู่โจมของคมดาบสายลมระลอกหนึ่งมาได้ จากนั้นเขาจึงหยิบขนนกสีขาวเส้นหนึ่งจากเอวออกมาตบลงบนร่างเบาๆ แสงสีขาวม้วนรอบตัวเขาแล้วกลายเป็นเงาขนนกสีขาวบอบบางดุจกระดาษกลุ่มหนึ่งทันที
“ฉึบ”
คมดาบสายลมสีดำขนาดเท่าบานประตูสายหนึ่งพุ่งเร็วจี๋ใส่เขา ทว่าเงาขนนกสีขาวกลับเบี่ยงเล็กน้อยอย่างไม่รีบร้อนแล้วใช้มุมอันน่าเหลือเชื่อทำให้คมดาบสายลมเฉียดผ่านร่างไป
หลังจากนั้นขนนกสีขาวทั้งกลุ่มก็ลอยละล่องไปมาอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าคมดาบสายลมจะรวมตัวกันหนาแน่นเพียงไร ทุกสายก็ทำได้เพียงเฉียดผ่านร่างเขาไปอย่างไร้อันตราย ทำร้ายขนนกไม่ได้แม้แต่น้อย
พริบตาที่หลิ่วหมิงแบ่งสมาธิไปสังเกตอินหลิวนั่นเอง คมดาบสายลมเต็มฟ้าที่ร่วงลงมาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลัน
หลิ่วหมิงได้แต่กระพือปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลัง ใช้เงาพยัคฆ์หมอกไปพลาง กลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งหลบหลีกไปพลาง
คมดาบสายลมเต็มฟ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ราวกับสายฝนกระหน่ำ
ต่อให้หลิ่วหมิงมีวิชาท่าร่างพิสดารอีกเท่าใดก็จะต้องฝืนรับคมดาบสายลมบางส่วน
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่ง แม้คมดาบสายลมเหล่านี้จะฟันแหวกปราณสีดำที่คุ้มครองกายเขามาได้ อย่างมากที่สุดก็ทิ้งรอยเลือดเล็กน้อยไว้บนผิวของเขาเท่านั้น เพียงครู่เดียวเลือดเนื้อก็ขยับยุกยิกฟื้นกลับคืนดังเดิม
ยามนี้หลิ่วหมิงนับว่าเข้าใจที่มาของนามของหุบเขาแห่งนี้แล้ว
ความน่ากลัวของชั้นจำกัดนี้ เกรงว่าหากเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไป ตกอยู่ในค่ายกลคมดาบสายลมนี้คงถูกฟันเป็นหลายท่อนไปนานแล้ว
แต่เมื่อพลังเวทไหลหายไปอย่างเร็วไว หลิ่วหมิงก็เริ่มรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
“ต้องเร่งหาวิธีรับมือ ออกไปจากที่แห่งนี้ถึงจะรอด! หากแผนที่ไม่มีปัญหา ทางตันตรงนี้จะต้องมีจุดที่ให้พวกเราสองคนผ่านไปได้แน่ แต่พวกเราสองคนยังไม่ทันหา ชั้นจำกัดก็ทำงานจนถูกขังไว้เสียก่อน”
หลิ่วหมิงใช้วิชาแบ่งสมาธิทำสองอย่าง ขบคิดไปพลางใช้ปลายหางตากวาดมองสภาพรอบด้านอย่างเร็วไวไม่หยุดไปพลาง
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ดวงตาเขาก็เป็นประกาย
ตรงมุมของหน้าผาหินห่างไปหลายร้อยจั้งด้านหน้ามีศิลายักษ์สีดำมหึมาสิบจั้งก้อนหนึ่ง เมื่อคมดาบสายลมที่กระจัดกระจายอยู่สัมผัสถูกตัวมัน พวกมันกลับหายเข้าไปด้านในราวกับตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเล ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงขยับร่างกายอย่างไม่ลังเลสักนิด พุ่งพรวดไปยังศิลาก้อนนั้น
ตอนที่ระยะห่างจากศิลายักษ์สีดำก้อนนั้นเหลือไม่ถึงยี่สิบสามสิบจั้ง เขาก็ยกมือขึ้น แสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกไป มันเปล่งแสงวูบหนึ่งก่อนที่แสงกระบี่สีเทาหม่นนับไม่ถ้วนจะปรากฏออกมา
“ฉึบๆ” เสียงดังลั่น!
แสงกระบี่ทั้งหมดกลายเป็นเส้นไหมกระบี่สีเทาเส้นแล้วเส้นเล่า ฟันไขว้กันจนกลายเป็นตาข่ายผืนยักษ์ครอบลงไปหาศิลายักษ์ด้านหน้าทั้งก้อน
ผลปรากฏว่าทันทีที่เส้นไหมกระบี่สีเทาประหนึ่งห่าฝนโจมตีลงบนนั้น อักขระบนผิวของศิลายักษ์พลันทอแสง พวกมันทยอยจมหายเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบดุจเดียวกัน
เวลานี้เองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงสายลมหนาวที่ทิ่มแทงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คมดาบสายลมมากมายถี่ยิบฟาดฟันมาถึง เงาพยัคฆ์หมอกสีดำที่บินร่อนวนเวียนอยู่รอบตัวเลือนรางประหนึ่งว่าทนคมดาบสายลมทั่วท้องฟ้าเหล่านี้ไม่ไหวใกล้จะสลายไปเต็มที
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นเงาสี่ร่างพุ่งเร็วจี๋ไปด้านหน้าต่อ
“ฟึบ” “ฟึบ” เกิดเสียงดังขึ้นหลายครั้ง!
เงาสามร่างในนั้นพร้อมกับพยัคฆ์หมอกห้าตัวจมหายไปท่ามกลางคมดาบสายลมมหาศาลกลายเป็นไอหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าในพริบตา
ส่วนร่างจริงของหลิ่วหมิงกลับโฉบหายไปติดกันหลายครั้งแล้วพุ่งเข้าไปในศิลาก้อนยักษ์สีดำ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พริบตานั้นที่ทะลุผ่านหินผา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าดำมืดไปวูบหนึ่ง เสียงสายลมหวีดหวิวที่ดังก้องในหูเงียบลงอย่างฉับพลัน ต่อจากนั้นลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็โถมเข้าใส่ใบหน้า ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปในทันใด
เมื่อเขามองเห็นสภาพเบื้องหน้าชัดเจนอีกครั้ง เขาก็มาโผล่อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบใสกระจ่างที่มีระลอกคลื่นสีเขียวแห่งหนึ่งแล้ว
เขารีบใช้เคล็ดวิชาตั้งร่างให้มั่นคงแล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปรอบด้าน
รอบด้านของที่แห่งนี้เงียบสงบ สองฝั่งของทะเลสาบมีเนินเขาน้อยสูงต่ำไม่เท่ากันจำนวนหนึ่งอยู่ แต่เขาหาเส้นทางเดินหน้าต่อไม่พบ
ในตอนนี้เองอากาศด้านหลังของหลิ่วหมิงก็ไหวเป็นระลอก เงาขนนกสีขาวกลุ่มหนึ่งแหวกอากาศออกมา ลอยละล่องกลางท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า
แสงสีขาวสาดส่องออกมาก่อนจะเผยร่างชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่ง เขาก็คืออินหลิวนั่นเอง
“ครั้งนี้รอดพ้นจากอันตรายได้อย่างราบรื่นต้องขอบคุณพี่อิ่นยิ่งนักที่หาทางออกอันไม่สะดุดตาท่ามกลางหมู่เขากว้างใหญ่นี่พบ” อินหลิวเก็บขนนกในมือแล้วประสานมือเอ่ยกับหลิ่วหมิง
“เพียงโชคดีเท่านั้น วิชาลับของพี่อินสิทำให้ผู้แซ่อิ่นเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง จริงสิ พี่อินทราบหรือไม่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด อยู่ห่างจากสุสานราชายมโลกไกลเท่าใดแล้ว” หลิ่วหมิงชมอีกฝ่ายกลับประโยคหนึ่งแล้วเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาทันที