หลังจากทำทุกสิ่งนี้เสร็จ หลิ่วหมิงจึงก้มหน้ามองรูฉีกขาดขนาดใหญ่บนหน้าอก เลือดยังคงไหลรินออกมาจนตอนนี้ย้อมครึ่งร่างแดงฉาน
อาการบาดเจ็บดูน่ากลัว ทว่าไม่ได้อันตรายกับชีวิตเขา เพียงทำให้เสียโลหิตบริสุทธิ์ไปไม่น้อยเท่านั้น อีกประการหนึ่งเขาฝึกวิชาโล่โลหิตสำเร็จขั้นปลายแล้ว ในร่างสะสมโลหิตบริสุทธิ์ไว้จำนวนมากจึงเติมให้เต็มได้ทันที
เขากระตุ้นเคล็ดวิชาเพื่อเติมโลหิตบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งด้วยวิชาโล่โลหิต จากนั้นพลิกมือเรียกยันต์สีเขียวหยกแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้บนแผล
ฉับพลันรูขนาดใหญ่บนหน้าอกก็เปล่งแสงสีแดงระเรื่อ ก้อนเนื้อดิ้นขยุกขยิกเติมรอยแผลจนเต็มจนไม่มีเลือดไหลออกมาอีก
นอกจากสีหน้าที่ซีดเล็กน้อย หลิ่วหมิงก็ไม่มีอาการหนักหนาที่ใดอีก เขาเรียกอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินชุดใหม่ออกมาชุดหนึ่งทันที จากนั้นดวงตาก็ตวัดฉับหันหน้าไปมองทิศทางหนึ่ง
อีกฟากหนึ่งของมิติคุกมืด เงาสะท้อนอสูรเลี้ยงสองตัวกำลังต่อสู้อยู่กับเซียเอ๋อร์และเฟยเอ๋อร์ ไม่ได้สลายหายไปหลังจากเงาสะท้อนของหลิ่วหมิงสิ้นใจ
หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาก็ฉายแววเข้าใจอย่างรวดเร็ว
เงาสะท้อนอสูรเลี้ยงสองตัวนี้เกิดจากค่ายกลอนธการก่อเกิด หากไม่สังหาร มันย่อมไม่สลายไปเอง
เขาขยับตัวเหาะโฉบเข้าไป
เวลานี้ร่างกายของเซียเอ๋อร์ขยายจนใหญ่หลายจั้ง ก้ามยักษ์ทั้งสองข้างประดุจกรรไกรเล่มยักษ์ โจมตีอย่างดุดันไม่หยุด ในเวลาเดียวกันหางก็สะบัดต่อเนื่อง เส้นสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งพรวดออกมาเกิดเสียงแหวกอากาศดังฟึบๆ
อีกด้านหนึ่งเฟยเอ๋อร์ที่กลับคืนร่างเดิมเป็นหัวบิน เส้นผมสีเขียวบนศีรษะร่อนฟาดทั่วท้องฟ้า บางครั้งก็พุ่งพรวดออกมาประหนึ่งลูกธนู ปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาสายแล้วสายเล่ากระหน่ำโจมตี
หากเป็นปีศาจอสูรทั่วไปในระดับเดียวกัน หากเผชิญหน้ากับการโจมตีอันดุร้ายเช่นนี้คงสู้ไม่ได้เสียนานแล้ว ทว่าเงาสะท้อนอสูรเลี้ยงฝั่งตรงข้ามสองตัวนี้กลับมีชั้นเชิงการโจมตีเหมือนกับทั้งสองทุกประการ
ด้วยเหตุนี้แม้เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์จะทุ่มเต็มกำลังเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือดระลอกแล้วระลอกเล่าก็ยังจัดการฝั่งตรงข้ามไม่ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงสะบัดมือข้างหนึ่งทั้งที่ร่างยังอยู่กลางอากาศ แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากในแขนเสื้อ มันเลือนหายไปแวบหนึ่งก่อนจะโผล่มาเหนือร่างของเงาสะท้อนแมงป่องกระดูก
แสงกระบี่ทอแสงก่อนจะกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงขนาดยักษ์สิบกว่าจั้งที่มีอสนีบาตสีม่วงเลื้อยเวียนวนแล้วฟันลงมาอย่างแรง
เงาสะท้อนแมงป่องกระดูกเหมือนสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี มันจึงกรีดร้องอย่างหวาดผวาทันที หางด้านหลังกลายเป็นเส้นสีดำถี่ยิบขวางการโจมตีของเซียเอ๋อร์ไว้ ขณะที่ก้ามยักษ์สองข้างเปล่งแสงสีเงินแล้วยกไขว้กันพยายามจะขวางแสงกระบี่
ทว่าแสงกระบี่สีม่วงกลับเลือนหายไป อึดใจต่อมากลับโผล่มาอีกครั้งใต้ร่างเงาสะท้อนแมงป่องกระดูก
แสงสีม่วงฉายวาบ!
เงาสะท้อนแมงป่องกระดูกไม่ทันป้องกัน ร่างกายก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ” ถูกแสงกระบี่สีม่วงฟันจากล่างขึ้นบนสะบั้นเป็นสองส่วนทั้งอย่างนั้น เลือดสีเขียวทะลักออกมาจากบาดแผลในทันใด
เซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้พลันดีใจยิ่ง ดวงตาสองข้างเรืองแสงสีแดง อ้าปากพ่นปราณดำสายหนึ่งออกมาม้วนศพของเงาสะท้อนแมงป่องกระดูกลากเข้าปาก มันอ้าปากกว้างกัดดังกร้วมครู่เดียวก็กลืนกลืนลงไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง แต่เมื่อครุ่นคิดดูก็ไม่ได้พูดอันใดหันไปมองอีกด้านหนึ่ง
เงาสะท้อนหัวบินตรงนั้นเหมือนจะรู้สึกถึงลางไม่ดี มันอ้าปากกรีดร้องอย่างร้อนรน แล้วกลายร่างเป็นเด็กน้อยชุดเขียวทันที
จากนั้นเขาก็กระชากสร้อยลูกประคำที่คอลงมาแปลงเป็นเด็กน้อยชุดเขียวหน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าคนล้อมเฟยเอ๋อร์เอาไว้ ปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาสายแล้วสายเล่า เส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะส่ายสะบัดประหนึ่งงูพิษ พยายามใช้วิธีเด็ดขาดดุดันสังหารเฟยเอ๋อร์ให้ได้ในทันที
เฟยเอ๋อร์โกรธจัด เขาย่อมไม่มีทางให้อีกฝ่ายสมหวัง เขากลับเป็นร่างเด็กน้อยบ้างก่อนจะใช้กระบวนท่าเดียวกันแยกร่างจากหนึ่งเป็นเก้า ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันยื้อเขาเอาไว้
หลิ่วหมิงยิ้มนิดๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อ กระบี่ขู่หลุนเลือนหายไปกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งบินมาถึงท้องฟ้าเหนือร่างเงาสะท้อนหัวบิน
เสียงใสกังวานดังขึ้นครั้งหนึ่ง มันกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงคมกริบเก้าสายพุ่งพรวดเข้าใส่เงาสะท้อนหัวบินทั้งเก้าตน
เงาสะท้อนหัวบินทั้งเก้าตนหน้าถอดสี เส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะรัดพันกันกลายเป็นตาข่ายเส้นไหมสีเขียวผืนหนึ่งหมายจะขวางแสงกระบี่สีม่วงเอาไว้
ผลปรากฏว่าเปล่าประโยชน์!
ทันทีที่ตาข่ายเส้นไหมสีเขียวสัมผัสถูกแสงกระบี่สีม่วงก็พังทลายประหนึ่งโค่นไม้ผุ
อึดใจต่อมาแสงสีม่วงพลันกะพริบวูบวาบ เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย!
เงาสะท้อนของเฟยเอ๋อร์แปดตนในนั้นถูกแสงกระบี่สีม่วงแทงทะลุร่างทันที ส่วนเงาสะท้อนเฟยเอ๋อร์ร่างสุดท้าย แม้จะหลบการโจมตีถึงชีวิตของแสงกระบี่ได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ถูกเฟยเอ๋อร์อีกเก้าตนไล่ตามติดไปล้อมไว้!
เปลวเพลิงสีเทาแถบใหญ่กลบเงาสะท้อนของเฟยเอ๋อร์ไปในพริบตา เสียงกรีดร้องแผ่วเบาดังออกมาจากด้านในแล้วเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงกวักมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีม่วงเก้าสายพุ่งกลับมา ก่อนจะกลับคืนเป็นกระบี่บินสีม่วงเล่มหนึ่งระหว่างทางแล้วบินกลับมาอยู่ในมือเขา
เงาสะท้อนเฟยเอ๋อร์ตายสนิทอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเทาที่โหมกระหน่ำ
เฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็ร้องตะโกนอย่างดีใจ ร่างจริงของเขาทำเช่นเดียวกับเซียเอ๋อร์ อ้าปากพ่นแสงสีเทาผืนหนึ่งออกมาสูดศพไหม้เกรียมด้านในเปลวเพลิงตรงหน้ากลับเข้าปากแล้วกลืนลงไป
อีกฝั่งหนึ่งหลังจากเซียเอ๋อร์กลืนศพเงาสะท้อนของตนไปแล้ว ปราณดำก็ทะลักออกมารอบตัวกลายร่างเป็นหญิงสาวชุดตาข่ายดำ ร่างกายฉับพลันเปล่งแสงสีแดงอ่อนชั้นหนึ่ง ลมปราณในร่างกลับห่อเหี่ยว
“เซียเอ๋อร์ เป็นอะไรไป?”
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าทันที เขาขยับวูบเดียวก็พุ่งมาตรงหน้าเซียเอ๋อร์แล้วยกมือส่งปราณดำสายหนึ่งมาประคองร่างของเซียเอ๋อร์ไว้ก่อนจะเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“นายท่าน ข้าไม่เป็นอัน…” เซียเอ๋อร์อ้าปากเอ่ยระโหยโรยแรงได้คำหนึ่ง ดวงตาก็ปิดลงอย่างเชื่องช้าแล้วหลับใหล
หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้พลันเลิกคิ้ว
อีกด้านหนึ่ง เฟยเอ๋อร์ที่กลืนเงาสะท้อนของตนลงท้องไปก็มีท่าทางซึมกะทือเช่นกัน จากนั้นก็ตกสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกับเซียเอ๋อร์
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับวางใจ
สภาพเช่นนี้ของอสูรเลี้ยงทั้งสองตัว ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว ในสิบมีแปดเก้าส่วนน่าจะเป็นอาการก่อนเลื่อนระดับ
คิดดูแล้วก็ปกติ เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์บรรลุจุดสูงสุดของระดับผลึกมานานแล้ว ไม่รู้ว่าสะสมพลังมานานเท่าไร ครั้งนี้แต่ละตนกลืนกินร่างแยกเงาสะท้อนของตนไป จะทะลุคอขวดกะทันหันก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อหลิ่วหมิงคิดถึงตรงนี้ก็วางใจอย่างสิ้นเชิง เขาโบกมือส่งปราณดำสองสายไปล้อมอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวเอาไว้แล้วเก็บพวกมันเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
จากนั้นเขาก็โบกมือข้างหนึ่ง มิติคุกมืดส่งเสียงดังสนั่นแล้วสลายตัว ภาพเบื้องหน้าสั่นไหววูบหนึ่ง หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงมิติสีเทา
เขาเพิ่งปรากฏตัว เบื้องหน้าก็พลันเกิดแสงสว่างวาบ เสียงดังสนั่นดังลอยมา เปลวเพลิงลำหนาเส้นหนึ่งพุ่งพรวดมาเหนือศีรษะของเขา
หลิ่วหมิงตกใจ เท้าขยับเคลื่อนร่างหลบไปหลายจั้ง เปลวเพลิงพุ่งเฉียดร่างของเขาไป
ร่างกายเขาส่ายโอนเอนวูบหนึ่งก่อนจะหยัดเท้ายืนมั่นคง เมื่อเห็นสถานการณ์รอบด้านกระจ่าง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ยามนี้มิติสีเทาปั่นป่วนรุนแรงประหนึ่งน้ำเดือด เปลวเพลิงสีแดงฉานลำหนานับไม่ถ้วนพุ่งพรวดไปทั่วทุกสารทิศ ใจกลางเปลวเพลิงคือร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินขนาดร้อยจั้งสองตนที่กำลังเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด
“ระดับดาราพยากรณ์!”
หลิ่วหมิงรูม่านตาหดเล็กลงทันที!
ด้านในร่างพลังเวททั้งสองตนพอเห็นเงาร่างของอินหลิวกับเงาสะท้อนของเขาอยู่รางๆ
แม้เขาเดาได้นานแล้วว่าระดับพลังของอินหลิวไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาจะเป็นเผ่ายมโลกระดับดาราพยากรณ์ตัวจริงตนหนึ่ง!
บึ๊ม!
พลังเวทปะทะกันดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ร่างพลังเวทของทั้งสองที่เดิมทีโรมรันกันอยู่ผละออกจากกัน แรงกดดันจิตวิญญาณดุดันพุ่งพรวดออกมารอบทิศ
หลิ่วหมิงรีบยกมือใช้เคล็ดวิชา ปราณดำพลุ่งพล่านบนร่าง เท้าสะกิดเบาๆ ลอยไปด้านหลัง
เขาถอยห่างออกไปร้อยจั้งก่อนจะยืนตั้งหลัก
ร่างของอินหลิวเวลานี้มีร่างพลังเวทล้อมอยู่ แสงสีแดงแสบตาหุ้มอยู่รอบตัว เขาหันมามองหลิ่วหมิงที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนกลับไปบนร่างแยกเงาสะท้อนฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
เขายื่นแขนออกมา แหวนสีดำวงหนึ่งบนนิ้วเรียวยาวทั้งห้าเปล่งแสง
แสงสีดำฉายวูบหนึ่งรอบตัวเงาสะท้อนของอินหลิว หัวผีหน้าตาดุร้ายสีดำขนาดหนึ่งจั้งกว่าสี่หัวลอยออกมา พวกมันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีดำสนิทสี่สายกลืนเงาสะท้อนของอินหลิวเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้า แผ่จิตสัมผัสเข้าไปแตะเปลวเพลิงสีดำ ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดเผือด
เปลวเพลิงสีดำนี่หนาวเย็นยิ่งนัก ทันทีที่จิตสัมผัสแตะถูกก็รู้สึกเหมือนถูกเยือกแข็งทันที
ด้านในเปลวเพลิงสีดำที่โหมกระหน่ำ ใบหน้าของร่างสะท้อนอินหลิวพร่าเลือน ก่อนที่แสงสีดำจะสว่างวาบบนฝ่ามือ เรียกกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งออกมา
เพียงสะบัดเบาๆ ปราณกระบี่สีดำสนิทนับไม่ถ้วนก็ฟาดฟันออกมารอบด้าน แสงกระบี่สายแล้วสายเล่าก่อตัวเป็นเงาดอกบัวดอกใหญ่ กลีบดอกบัวแต่ละกลีบคือปราณกระบี่แวววาว
ดอกบัวสีดำหมุนวนอย่างรวดเร็ว เพลิงเย็นสีดำถูกปราณกระบี่ปัดออกจนไม่อาจสัมผัสใกล้ร่างได้สักนิด
หัวผีสีดำทั้งสี่เห็นเช่นนี้พลันร้องคำรามอย่างดุร้าย ร่างกายขยายขนาดแล้วโถมพรวดเข้าใส่ดอกบัวสีดำ
ฉึบ ฉึบ ฉึบ!
หัวผีสีดำเพิ่งจะบินมาถึงข้างดอกบัว ดอกบัวสีดำก็เปล่งแสงสว่างจ้า ปราณกระบี่แวววาวนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกไปรอบด้าน
หัวผีสีดำทั้งสี่หัวดาหน้ารับการโจมตีแล้วถูกกลืนหายไปท่ามกลางปราณกระบี่ในพริบตา ไม่ทันได้กรีดร้องก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างสมบูรณ์
ในตอนนี้เองแหวนสีดำในมืออินหลิวก็ส่งเสียงดังปังแล้วปริแตก แต่ดูเขาไม่มีสีหน้าปวดใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับอ้าปากท่องมนตร์ พร้อมกับที่มือข้างหนึ่งมีโครงกระดูกสีทองร่างหนึ่งเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ เมื่อยกแขนขึ้น รอบโครงกระดูกก็เปล่งแสงสีทองสว่างขึ้นเรื่อยๆ
อึดใจต่อมาเสียงท่องมนตร์ของอินหลิวก็ชะงัก ห้านิ้วกำของที่อยู่ในมือ
“โพล๊ะ” โครงกระดูกสีทองแตกกระจายพร้อมกับเสียงดังสนั่น
ชั่วพริบตามิติสีเทาก็สั่นอย่างรุนแรง เหนือศีรษะของอินหลิวปริแยกเป็นรอยแยกสีดำมหึมาเส้นหนึ่ง แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดกลัวสายหนึ่งทะลักบ้าคลั่งออกมาจากด้านในก่อนจะขยายไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งเห็นเช่นนี้ หัวใจก็หวาดหวั่น แสงสีดำรอบร่างสว่างจ้า ก่อนที่ร่างกายจะขยับวูบเดียวเหาะถอยไปอีกสองร้อยกว่าจั้ง เขามองรอยแตกสีดำบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เวลานี้ปลายสองข้างของรอยแยกสีดำกำลังยืดยาวและแคบลงอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนดวงตาขนาดยักษ์อันน่าหวาดกลัวดวงหนึ่ง
“เนตรมารโทสะ!”
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงหลัวโหวดังขึ้นในหู น้ำเสียงเหมือนคิดไม่ถึงอยู่เล็กน้อย