“ตอนแรก ที่ข้าเชิญเจ้ามาร่วมเดินทาง ความจริงเพราะต้องการใช้ตัวตนผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ของเจ้าทำลายชั้นจำกัดพิเศษบางแห่งในสุสานราชายมโลก” อินหลิวเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“หากต้องการพลังของศิษย์ ก่อนผู้เยาว์ไปค้นหาอนธการธาตุเก้าแปรผันย่อมช่วยเหลือผู้อาวุโสก่อนได้” หลิ่วหมิงคิดในใจหนึ่งตลบก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ชั้นจำกัดแห่งนั้นค่อนข้างพิเศษ หากผู้ฝึกฝนที่ไม่ใช่เผ่ายมโลกทำลายจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาก ทว่าพริบตาที่ชั้นจำกัดถูกทำลายจะเกิดกระแสพลังผันผวนยามมิติสลาย แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ยากจะโชคดีพ้นภัย ตอนนี้ในเมื่อรู้ตัวตนของเจ้าแล้ว แล้วเจ้ายังมีความสัมพันธ์กับชาติก่อนของข้าอีก ย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ สหายหลิ่ว ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจจะแลกเปลี่ยนกับข้าสักครั้งหรือไม่” อินหลิวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“แลกเปลี่ยนหรือ?” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าไม่เข้าใจออกมา
“ไม่ผิด เหมือนที่เจ้าเห็น ในอดีตข้าเคยมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงรู้จุดที่ราชายมโลกละสังขารในสุสานราชายมโลกอยู่หลายแห่ง ชั้นจำกัดของที่แห่งหนึ่งในนั้นน่าจะเข้าไปได้ค่อนข้างง่ายสำหรับเจ้าที่เป็นเผ่ามนุษย์ อีกอย่างตอนนี้เจ้าน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเป็นวิชาหลัก วิชานี้เผยแพร่ในโลกภายนอกน้อยนัก เชื่อว่าในมือเจ้าน่าจะยังไม่มีวิชาฉบับสมบูรณ์ที่แท้จริงสินะ?” อินหลิวเอ่ยอย่างแฝงความนัย
หลิ่วหมิงได้ยิน ร่างกายก็สะท้าน สีหน้าตื่นเต้นที่น้อยครั้งจะมีปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ก็หายไปในชั่วพริบตา
อนธการธาตุเก้าแปรผันเกี่ยวพันถึงเขาจะออกจากแดนยมโลกได้หรือไม่ แต่นอกเหนือจากนั้นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งก็คือการค้นหาส่วนท้ายของเคล็ดวิชากระดูกดำ
หลายปีนี้เขาสืบหามาตลอด น่าเสียดายที่ไม่ได้ผลสักนิด ในใจถึงขั้นเคยคิดละทิ้งการฝึกฝนวิชานี้แล้วเลือกวิชาอื่น ยามนี้ได้ฟังคำนี้จะไม่ดีใจได้เช่นไร!
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสลิ่วยินต้องการให้ข้าน้อยทำสิ่งใด?” หลิ่วหมิงสูดหายใจลึกๆ บังคับอารมณ์ให้นิ่งสนิทแล้วถามขึ้นมา
“ไม่ใช่เรื่องทำยากอันใด สหายหลิ่วพลังแข็งแกร่ง สติปัญญาเหนือผู้อื่น วันหน้าเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะบรรลุระดับดาราพยากรณ์หรือกระทั่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ข้าเพียงต้องการให้ท่านสัญญาข้อหนึ่ง วันหน้ายามชีวิตท่านรุ่งโรจน์ ขออย่าลืมดูแลตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงินและนิกายปีศาจแห่งเกาะอวิ๋นชวนก็พอ” อินหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง
“ในอดีตผู้เยาว์เคยเป็นศิษย์นิกายปีศาจ ศิษย์พี่หลงก็เป็นสหายสนิทของข้า สองเรื่องนี้ล้วนไม่เป็นปัญหา” หลิ่วหมิงอึ้งเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“สหายช่างตรงไปตรงมาเสียจริง” อินหลิวพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาไม่ได้เรียกร้องให้หลิ่วหมิงสาบานอย่างใด แต่พลิกมือเรียกคัมภีร์หยกว่างเปล่าเล่มหนึ่งขึ้นมาแนบกับหน้าผาก หลับตาสองข้างสลักบางสิ่งลงไป
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็สลักเสร็จสิ้น สะบัดมือโยนคัมภีร์หยกมาให้แล้วบอกว่า
“ข้าทำเครื่องหมายตำแหน่งสองแห่งกับชั้นจำกัดจำนวนหนึ่งที่ต้องระวังระหว่างทางไว้ด้านใน นอกจากตำแหน่งที่อนธการธาตุเก้าแปรผันอยู่ อีกแห่งหนึ่งคือสถานที่ซึ่งราชายมโลกตนหนึ่งในอดีตที่โด่งดังด้วยเคล็ดวิชากระดูกดำละสังขาร ที่นั่นน่าจะมีวิธีการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำฉบับเต็ม ชั้นจำกัดที่นั่นร้ายกาจมาก แต่ด้วยตัวตนเผ่ามนุษย์ของสหายหลิ่ว น่าจะได้มาไม่ยาก”
หลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกไปตรวจดูครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเอ่ยสาบานเสียงกังวาน
“ตัวข้าหลิ่วหมิงขอสาบาน ณ ที่นี่ หากตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงินกับนิกายปีศาจมีภัย ขอเพียงข้ามีกำลังช่วยเหลือได้จักต้องทุ่มเต็มกำลังช่วยเหลือแน่นอน”
อินหลิวเห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มนิดๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับข้าก็แยกทางกันตรงนี้เถิด สามเดือนหลังจากนี้มาพบกันที่ปากหุบเขาแห่งนี้ ข้ามีวิธีพาเจ้าออกไป” อินหลิวเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขยับร่างกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะตรงเข้าไปในปากทางเข้าหุบเขา
หลิ่วหมิงมองเงาแผ่นหลังของอินหลิวที่เคลื่อนไกลออกไปแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแนบคัมภีร์หยกที่อินหลิวมอบให้แนบกับหน้าผากแล้วสำรวจอย่างละเอียด
เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น เขานำแผนที่ซึ่งได้จากต้งหาวมาเรียงร้อยด้วยกัน ในที่สุดสมองก็เข้าใจสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า “สุสานราชายมโลก” แห่งนี้อย่างชัดเจน
แม้อาณาเขตแห่งนี้จะตั้งอยู่ตรงกลางของเทือกเขาอันไร้ที่สิ้นสุดระหว่างแดนมืดสองแห่ง ทว่ามันกว้างใหญ่จนไร้ขอบเขต หุบเขาขนาดยักษ์ตรงหน้าคือใจกลาง ทางใต้คือผืนดินที่หิมะกับน้ำแข็งจรดนภา ทางเหนือคือป่าทึบ ทางตะวันออกคือทะเลทรายรกร้างหมื่นลี้ ส่วนทางตะวันตกคือแม่น้ำมืดอันเชี่ยวกราก เกิดเป็นโลกที่เป็นเอกเทศใบหนี่ง
จุดที่ราชายมโลกจากดินแดนต่างๆ ของยมโลกรุ่นแล้วรุ่นเล่าละสังขารแยกกระจัดกระจายอยู่คนละทิศละทาง
หลิ่วหมิงเก็บคัมภีร์หยกไปทันที สายตาเคลื่อนไปยังทิศใต้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ปราณดำก็โถมออกมารอบร่างกลายเป็นรุ้งสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป เวลาเพียงสองสามลมหายใจก็หายลับขอบฟ้า
หลายวันจากนั้น
หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เกล็ดหิมะสีเทาหม่นนับไม่ถ้วนแทรกอยู่กลางสายลมหนาวที่พัดดังหวีดหวิว ทำให้สุสานราชายมโลกที่เดิมทีมืดสลัวอยู่แล้วหนาวยะเยือกทิ่มแทงกระดูก
บนพื้นหิมะสีเทารอยเท้าทอดเป็นเส้นตรงไปเบื้องหน้าที่เดิมทีเห็นชัดเจน เพียงสายลมหนาวพัดผ่านหอบเดียวก็เลือนราง
ด้านหน้าสุดของรอยเท้าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งกำลังเดินฝ่าพายุหิมะมุ่งไปข้างหน้าทีละก้าว
คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิง
ตัวเขาในเวลานี้มีปราณสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ทั่วร่างและอาศัยสิ่งนี้ต้านพายุหิมะไม่ให้กล้ำกราย
สถานที่ซึ่งเขาต้องการไปเยือนคือจุดที่อินหลิวบอกว่าได้อนธการธาตุเก้าแปรผันมาค่อนข้างง่าย จากที่เขาบอกลึกเข้าไปในแดนหิมะทางใต้แห่งนี้ มีวัดฮวงหานซึ่งเป็นสถานที่ละสังหารของ “ฮวงหาน” อดีตราชายมโลกอยู่
ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเดินทางตามที่แผนที่ของอินหลิวชี้บอกจึงหลบเลี่ยงและทำลายชั้นจำกัดอันตรายมาได้แห่งแล้วแห่งเล่า ส่วนภูตผีที่เตร็ดเตร่อยู่รอบด้านที่พบระหว่างทาง ระดับพลังส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายจนถึงระดับแก่นแท้ พวกมันจึงล้วนถูกเขาสังหารอย่างฉับไว
หลิ่วหมิงเดินทางไปพลางพักไปพลาง แม้จะช้ายิ่งนัก แต่ในที่สุดก็เหยียบเข้ามายังแดนหิมะสีเทาที่พายุหิมะโปรยปรายแห่งนี้
ทว่าทันทีที่เขาเข้ามาในอาณาเขตนี้ก็พบว่าที่แห่งนี้วางชั้นจำกัดผนึกนภาบางอย่างเอาไว้ หากเดินทางด้วยการเหาะ เกล็ดหิมะสีเทาเต็มฟ้าเหล่านี้จะก่อตัวเป็นลิ่มน้ำแข็งคมกริบแท่งแล้วแท่งเล่าพุ่งเร็วจี๋มืดฟ้ามัวดินเข้ามา
ลิ่มน้ำแข็งแต่ละแท่งเทียบเท่ากับการโจมตีเต็มกำลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกหนึ่งคน แม้หลิ่วหมิงจะมีกายเนื้อแข็งแกร่ง แต่ก็รับการโจมตีถี่รัวเช่นนี้ไม่ไหว
เขาจนปัญญาจึงได้แต่เดินทางด้วยเท้า
ผ่านไปไม่นาน ทันใดนั้นสองเท้าของหลิ่วหมิงก็หยุดอยู่กับที่แล้วหรี่ตาสองข้างมองไปเบื้องหน้า
เห็นเงาภูเขาหิมะโดดเดี่ยวหลายลูกอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ผ่านเกล็ดหิมะสีเทา
ยอดเขาหิมะที่ค่อนข้างเตี้ยลูกหนึ่งในนั้นเห็นวัดขนาดเล็กที่ไม่ใหญ่นักแห่งหนึ่งอยู่เลือนราง
“ถึงแล้ว!”
ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเปล่งประกาย เร่งความเร็วฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าทันที
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น บนลานเรียบแห่งหนึ่งบนยอดเขาหิมะน้อย หลิ่วหมิงหยุดฝีเท้า เบื้องหน้าเขาร้อยจั้งมีวัดหลังน้อยที่สร้างหยาบๆ สูงสองชั้นหลังหนึ่งตั้งอยู่ที่นั่น
บนตัววัด นอกจากหิมะสีเทาปลอดที่ปกคลุมหนาเตอะก็ไม่มีเครื่องตกแต่งอื่นใด แม้แต่ป้ายสักแผ่นก็ไม่มี
หากไม่ใช่เขาอยู่ในแดนยมโลก อีกทั้งบนแผนที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือสถานที่ละสังขารของราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้เคยทรงอำนาจในแดนเหมันต์มืด หลิ่วหมิงก็เกือบจะคิดว่าตนเองมาถึงวัดโทรมๆ ขนาดเล็กอันไร้ชื่อสักแห่งบนเขาร้าง
เขามองสำรวจอยู่หลายหน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ครู่หนึ่งหลังจากนั้นมือข้างหนึ่งจึงตบบนหัวไหล่เบาๆ แสงสีน้ำเงินส่องสว่าง เงาเชอฮ่วนที่เสมือนมีร่างจริงปรากฏตัวออกมาร้องคำรามอย่างเงียบเชียบก่อนจะหดกลับเข้าไปอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงเผยสีหน้าโล่งอกแล้วยกเท้าเดินไปยังประตูวัด
ตามที่แผนที่ของอินหลิวบอกไว้ วัดน้อยแห่งนี้แม้ดูเงียบสงบ แต่ความจริงด้านในและด้านนอกวางชั้นจำกัดไว้มากมาย ทว่าชั้นจำกัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีผลต่อเผ่ายมโลกหรือภูตผีเท่านั้น ส่วนชั้นจำกัดที่เหลือเหล่านั้นสำหรับหลิ่วหมิงแล้วน่าจะไม่นับเป็นเรื่องยาก
แต่เมื่อครู่นี้เอง หลัวโหวกลับส่งกระแสจิตมากะทันหันบอกให้เขาซ่อนลมปราณทั่วร่างเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปต่อในสภาพของคนธรรมดา
เมื่อเขาเอ่ยปากถามเหตุผล หลัวโหวกลับไม่พูดสักคำ
แรกเริ่มแม้หลิ่วหมิงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลองดู
ผลปรากฏว่าภาพที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้เขาดีใจยิ่งนักอย่างห้ามไม่ได้
เขาเดินตรงดิ่งทะลุประตูวัดเข้ามาราวกับว่าวัดแห่งนี้ไม่มีการป้องกันสักนิดจริงๆ ไม่มีสถานการณ์ผิดปกติแม้แต่น้อย
ห้องโถงชั้นหนึ่งของวัดไม่ใหญ่โต ขนาดเพียงร้อยจั้ง สามมุมในนั้นแต่ละมุมมีแท่นศิลาอยู่แท่นหนึ่ง ด้านบนมีรูปสลักบุรุษเผ่ายมโลกสวมชุดเกราะสีฟ้าตนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
นอกเหนือจากนี้สิ่งอื่นล้วนแลดูเละเทะอยู่บ้าง พอดูออกว่ามีร่องรอยการต่อสู้อันดุเดือดทิ้งอยู่ไม่น้อย
“ดูท่านี่คงจะเป็นองครักษ์ระดับดาราพยากรณ์สามตนที่เป็นลูกน้องของราชายมโลกฮวงหานเมื่อยามนั้น พวกเขาสังเวยตนเองทั้งเป็นกลายเป็นหุ่นเฝ้าอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ช่างจงรักภักดีน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริงๆ” หลิ่วหมิงกวาดสายตารอบหนึ่งแล้วมองรูปสลักสามตัวนี้อีกหน ก่อนจะพึมพำกับตนเองอย่างอดไม่ได้
ในอดีตเมื่ออินหลิวเข้ามาในสุสานราชายมโลกในฐานะของลิ่วยิน เขาก็เคยผ่านที่แห่งนี้แล้วนำสมบัติที่ “ฮวงหาน” ทิ้งไว้ไปไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือบันทึกที่เขาเขียนถึงชั่วชีวิตของตนซึ่งกล่าวถึงองครักษ์ผู้จงรักภักดีสามตนนี้ พวกเขาแต่ละตนล้วนพลังไม่เป็นรองระดับดาราพยากรณ์ ทว่ากลับสมัครใจติดตามฮวงหานมาถึงที่นี่
ตอนที่อินหลิวมอบแผนที่คัมภีร์หยกให้หลิ่วหมิง สิ่งเหล่านี้ล้วนบันทึกไว้ในนั้น
ในอดีตลิ่วยินไม่ทันระวังปลุกองครักษ์สามตนนี้ขึ้นมา ตอนสุดท้ายจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือดยกหนึ่ง กว่าจะนำสมบัติทั้งหมดนอกเหนือจากอนธการธาตุเก้าแปรผันจากไปได้
ทันทีที่มีปราณหยินของเผ่ายมโลกหรือภูตผีเล็ดลอดออกมาแม้เพียงสายน้อย หุ่นระดับดาราพยากรณ์สามตัวนี้ก็จะถูกปลุกขึ้นมามีชีวิตและเปิดฉากสังหารผู้บุกรุกทันที
หลิ่วหมิงมองสำรวจห้องโถงชั้นหนึ่งอยู่หลายครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังมุมที่ไม่มีองครักษ์มุมนั้น
เมื่อหลิ่วหมิงขึ้นบันไดไม้ไปที่ชั้นสองก็อดไม่ได้นิ่งอึ้ง
ชั้นสองมีห้องลับเรียงกันอยู่สามห้อง ตรงกลางกับด้านขวาถูกเปิดไว้อยู่ก่อนแล้ว
ด้านในห้องด้านขวาเห็นชัดว่าว่างเปล่า สิ่งของด้านในถูกขนไปจนเกลี้ยง
แต่ห้องลับตรงกลางนั่น พื้นที่คับแคบยิ่งนัก กว้างยาวไม่ถึงสามจั้ง
บนเบาะกลมเบาะหนึ่งในห้องลับมีบุรุษหนุ่มที่ดูราวกับยังมีชีวิตผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
เขาสวมกวานหยกสีครามกับอาภรณ์สีครามเข็มขัดหยก หน้าตาทรงภูมิ ตรงคางมีหนวดสั้นสีดำสนิทปอยเล็กๆ ดูเป็นบุรุษรูปงามผู้มีท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่ง
“นี่ก็คือฮวงหานผู้ไร้เทียมทานเมื่อตอนนั้น”
หลิ่วหมิงมองเขาแล้วปล่อยจิตสัมผัสสำรวจอย่างละเอียดเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป จากนั้นจึงถอนหายใจยาว พึมพำออกมาหนึ่งประโยค