ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1116 เข้าไปใน “กรงขัง” อีกหน

ในเวลาเดียวกันผิวของหลิ่วหมิงพลันเปล่งแสงสีเลือดเข้มจัด แสงค่อยๆ ก่อตัวเป็นเกราะหมอกทรงโค้งสีเลือดที่มีเส้นโลหิตกระจายถี่ยิบล้อมร่างกายเขาเอาไว้

ขณะที่เส้นเลือดบนเกราะหมอกขยายตัวยืดหด โลหิตบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่าก็แปรสภาพเป็นกระแสความร้อนจมเข้าไปในฟองอากาศต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ แสงสีเลือดที่ส่องสว่างอยู่รอบร่างหลิ่วหมิงก็อ่อนแรงลงมาก สีหน้าก็แลดูซีดเผือดเล็กน้อย

ในทะเลจิตวิญญาณ ฟองอากาศน้อยแวววาวสั่นไหวเบาๆ ก่อนที่ความเร็วในการดูดกลืนพลังเวทจะผ่อนแรงเชื่องช้าลงในที่สุด

หลิ่วหมิงดีใจอย่างยิ่ง มือที่ว่างเปล่าข้างหนึ่งพลิกหงาย ขวดหยกสีดำใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาฉีกยันต์ด้านบนออก ปราณโลหิตเข้มข้นสายหนึ่งกระจายออกมา

หลิ่วหมิงโบกมืออย่างไม่ลังเลสักนิด ของเหลวสีเลือดหยดหนึ่งลอยออกมาจากขวดหยกก่อนจะพุ่งแวบเดียวลอยหายเข้าไปในปากเขา

แสงสีเลือดที่อ่อนแสงบนร่างเขาส่องสว่างขึ้นทันที จากนั้นมันจึงหม่นแสงลงเร็วไวอย่างที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอีกหน

ในตอนที่เกราะหมอกสีเลือดรอบตัวหลิ่วหมิงบางจนเหลือเพียงชั้นเดียวอีกครั้ง ฟองอากาศในทะเลจิตวิญญาณจึงหยุดกลืนกินในที่สุด

ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็รู้สึกตาพร่า ตัวเขากับเซียเอ๋อร์โผล่มาอยู่ในมิติสีเทาหม่นของกรงขังทั้งคู่

“ฟู่…” หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาวเสมือนหนึ่งปลดภาระหนักอึ้ง หัวใจที่หวาดหวั่นในที่สุดก็สงบลง

ครั้งนี้พลังเวทที่ฟองอากาศดูดกลืนไปมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก หากไม่ใช่เพราะเขาเตรียมตัวมามากมายเช่นนี้ล่วงหน้า ต่อให้ไม่ถูกสูบจนกลายเป็นศพแห้งๆ ก็คงเสียอายุขัยไปไม่น้อยอีกครั้ง

ร่างกายของเซียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเปล่งแสงสีดำวูบหนึ่งก่อนจะกลายร่างเป็นหญิงสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำ

เวลานี้ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด ร่างกายสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่สัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากก็หม่นแสงกว่าปกติไม่น้อย สภาพอ่อนแรงเหมือนผลาญพลังเวทไปเกือบหมด

“ขอโทษนะเซียเอ๋อร์! เพราะฟองอากาศระเบิดกะทันหัน ข้าจึงไม่ทันได้บอกเจ้า แต่โอกาสกลั่นพลังเวทหายากนัก หากพลาดก็น่าเสียดายเกินไปจึงเรียกเจ้าออกมาทันที” หลิ่วหมิงมองงเซียเอ๋อร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย

“นายท่าน เซียเอ๋อร์เข้าใจ” เซียเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง สายตามองไปรอบด้าน

“ทำไมไม่เห็นเฟยเอ๋อร์เล่าเจ้าคะ” เซียเอ๋อร์ถามอย่างแปลกใจ

“จริงสิ หลายวันนี้เจ้าหลับอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ เรื่องเป็นเช่นนี้…” หลิ่วหมิงเล่าเรื่องที่เฟยเอ๋อร์ถูกเฟยจู่เรียก จึงอยู่ฝึกฝนที่สุสานราชายมโลกให้เซียเอ๋อร์ฟังสั้นๆ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลังจากเซียเอ๋อร์ฟังจบย่อมตกใจมาก สีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อยปรากฏขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“สรุปก็คือครั้งนี้คงต้องอยู่ในมิติแห่งนี้นานมาก เจ้าฝึกฝนตนเองให้ดีก็พอ” หลิ่วหมิงกำชับเช่นนี้

เซียเอ๋อร์พยักหน้า หลังจากคำนับหลิ่วหมิงก็เดินไปมุมหนึ่งของมิติกรงขังแล้วนั่งขัดสมาธิ

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบมิติกรงขังแล้วอ้าปากเรียกหลัวโหวอยู่หลายครั้ง แต่เป็นเช่นที่เขาคาดไม่มีเสียงตอบรับสักนิด

เขาถอนหายใจในใจ จากนั้นจึงเดินไปนั่งขัดสมาธิใกล้กับศิลาหุนเทียน

เดิมเขาคิดจะปรึกษาแนวทางการฝึกฝนหลังจากนี้กับหลัวโหว แต่ในเมื่อตอนนี้หลัวโหวไม่ตอบสักนิดก็ได้แต่ทำตามแผนการของเขาเองแล้ว

คำนวณดูแล้ว ครั้งนี้คงต้องอยู่ในกรงขังแห่งนี้หกสิบสี่ปี เวลายาวนานเช่นนี้ต้องใช้ให้ดีถึงจะถูก

……

เวลาประหนึ่งกระสวยทอผ้า ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเวลายี่สิบกว่าปีก็ผ่านไปแล้ว

ในมิติสีดำสนิทที่ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองข้างแน่นสนิท ยืนไม่ขยับอยู่กับที่

ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ปราณสีดำม้วนตัวโถมออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหมุนวนเร็วไวก่อตัวเป็นผีสีดำที่มีเขายาวบนศีรษะตนแล้วตนเล่าโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า มีมากถึงร้อยกว่าตัว

ผีเหล่านี้หน้าตาดุร้าย ทันทีที่ปรากฏตัวก็กวาดสายตามองไปหาหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงกลางอย่างพร้อมเพรียงแล้วคำรามคลุ้มคลั่งกระโจนเข้าไปตรงกลาง

เสียงภูตผีโหยหวนดังระงม พลังน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

หลิ่วหมิงกลับยกแขนขึ้นสะบัดแขนเสื้อ กระบี่ยาวสีม่วงเล่มหนึ่งแล่นออกมาจากแขนเสื้อดุจมัจฉาแหวกว่ายธารา

จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็ลืมขึ้น ดวงตาทอแสงเจิดจ้าวูบหนึ่ง สองมือโบกสะบัดพลิ้วไหว จี้ดัชนีเข้าใส่เงากระบี่ยาวอย่างว่องไวหลายครั้งพร้อมกับท่องมนตร์

ทันใดนั้นแสงกระบี่ก็ส่งเสียงใสกังวานกลายเป็นเงากระบี่สีม่วงมากมายในพริบตา มีมากถึงสามสิบหกสาย หมุนควงเป็นแสงสีม่วงสามสิบหกสายบินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะเขา

“ไป!”

พร้อมกับเสียงตวาดแผ่วเบา

แสงกระบี่สีม่วงทั้งหมดก็สั่นไหวเบาๆ แล้วแยกย้ายพาเงาเลือนรางสีม่วงสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดไปรอบทิศพร้อมกัน

ชั่วขณะหนึ่งอาณาเขตร้อยจั้งที่มีเขาเป็นใจกลางล้วนเห็นแต่แสงกระบี่สีม่วงร่ายรำทอประกาย

เขาวางค่ายกลกระบี่บางอย่างล้อมพื้นที่แถบนี้ไว้ในความควบคุม

ทันใดนั้นเสียงเปรี้ยงปร้างกับเสียงกรีดร้องโหวนหวนก็ดังทั่วทุกสารทิศอย่างต่อเนื่อง

ทันทีที่ภูตผีทั้งหมดสัมผัสถูกแสงกระบี่สีม่วง สายฟ้าพลันแล่นเลื้อยรัดจนพวกมันสลายกลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ทว่าปราณสีดำเพียงม้วนตัวเกี่ยวกระหวัดกันครู่หนึ่ง เพียงพริบตาก็ก่อตัวเป็นภูตผีหน้าตาเหมือนเดิมตนหนึ่งกรีดร้องคำรามโถมเข้าใส่ตรงกลางต่ออีกครั้ง

ดาหน้าตามกันมาไม่ขาดสาย

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป ผีที่ถูกหลิ่วหมิงใช้ค่ายกลกระบี่ทำลายไปไม่น้อยกว่าพันตัว และปริมาณก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด

กระบวนท่านี้ก็คือกระบวนท่ากระบี่ที่หลิ่วหมิงบรรลุมาจากเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่เพิ่งจะใช้ได้ตอนเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ มันต่อยอดมาจากวิชาแบ่งร่างแสงกระบี่ของเดิม ทำให้แสงกระบี่ที่เดิมทีแยกออกมาได้เก้าสาย เพิ่มขึ้นเป็นสามสิบหกสาย

แม้ดูเหมือนเป็นวิชาชนิดเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับเงากระบี่เก้าสายก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าพลังคนละชั้นเทียบกันไม่ได้ อีกทั้งมันยังเหมาะกับการต้านศัตรูที่ระดับพลังต่ำกว่าตนจำนวนมาก

จะว่าไปแล้วศาสตร์กระบี่เดิมทีสมควรมีพลังและความเร็วที่เหนือกว่าระดับเดียวกันมากเป็นจุดเด่น ดังนั้นวิชาที่กระจายพลังของแสงกระบี่ชนิดนี้จึงนับว่าเป็นวิชาสายที่ค่อนข้างไม่เป็นที่นิยมของเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง อีกทั้งมันยังต้องการพลังจิตไม่น้อย ดังนั้นต่อให้เป็นศิษย์ลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ หลังจากได้วิชากระบี่นี้ไป โดยทั่วไปก็ไม่เสียเวลามากมายกับกระบวนท่านี้

แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ประการแรกอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับมีเวลามากมาย ประการที่สองหลายปีนี้ เขาเผชิญกับสงครามขนาดใหญ่ไม่น้อย จึงต้องการวิชาเช่นนี้สักวิชาหนึ่งเพื่อกำจัดผู้ฝึกฝนระดับต่ำจำนวนมากให้ได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาใช้เวลาไม่น้อยศึกษาวิชากระบี่ชนิดนี้ก็ใช้เวลาอีกยี่สิบปีเต็ม กว่าจะฝึกฝนสำเร็จอย่างสมบูรณ์ในวันนี้…

……

เวลาผ่านไปไวเพียงพริบตา เวลาหลายปีผันผ่านไปอีกครั้ง

วันนี้ในถ้ำกว้างขวางแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเฉยเมย ปราณดำวนเวียนรอบตัว

ข้างใต้ตัวเขามีเสียงคำรามแทรกด้วยเสียงแสบแก้วหูคล้ายเสียงโหะเสียดสีกันดังขึ้นเป็นพักๆ

เมื่อมองตามเสียงไปก็เห็นกรงกระดูกทรงกลมที่สร้างจากกระดูกสีขาวมากมายหลายท่อน มีมากถึงยี่สิบสามสิบกรงเรียงรายเป็นระเบียบแยกอยู่บนที่ว่างรอบตัวหลิ่วหมิง

ภายในกรงแต่ละกรงมีผู้ฝึกฝนที่หน้าตาเหมือนผีดิบสวมเสื้อผ้าของสี่กองทัพใหญ่ในทางปีศาจร้ายอยู่ตนหนึ่ง พวกมันกำลังเหวี่ยงกำปั้นยักษ์ต่อยโจมตีกรงกระดูกไม่หยุดหย่อน

พวกมันก็คือภูตคนตายที่สร้างจากผู้ฝึกฝนมนุษย์เป็นๆ ซึ่งหลิ่วหมิงเคยพบในทางปีศาจร้ายในอดีต!

กรงกระดูกเหล่านี้ดูแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าถูกกำปั้นเหล็กของภูตคนตายที่พละกำลังไร้ขีดจำกัดเหล่านี้กระหน่ำโจมตีเข้า ไม่นานนักก็ถูกต่อยทะลุเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่ง

แต่ทันทีที่รูโหว่ปรากฏ หลิ่วหมิงผู้ลอยอยู่กลางอากาศก็จะยกมือขึ้น ปราณสีดำก้อนหนึ่งพุ่งหายวับไปปรากฏตรงรูโหว่ แล้วหมุนวนก่อตัวเป็นกระดูกสีขาวหลายชิ้นซ่อมกรงกระดูกจนเหมือนใหม่

การผนึกปราณเป็นกระดูกแล้วรวมกระดูกเป็นสิ่งของเช่นนี้คือพลังอย่างหนึ่งที่หลิ่วหมิงพบในเคล็ดวิชากระดูกดำส่วนท้าย วิชานี้จะรวบรวมปราณหยินในร่างสร้างเป็นกระดูกสีขาวที่แข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ใช้จัดการเจ้าพวกที่หอกดาบฟันแทงไม่เข้าจัดการยากเย็นเหล่านี้ได้ผลชะงัดทีเดียว

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองรอบด้าน เห็นภูตคนตายเหล่านี้ถูกขังจนขยับไม่ได้ก็อดไม่ไหวยิ้มน้อยๆ อยู่กลางอากาศ

……

ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้ในดวงตามายาต่อ ในเวลาเดียวกันยามว่างก็ฝึกฝนวิชาห้าธาตุอันเป็นพื้นฐานทั้งหลายเสียรอบหนึ่ง ทยอยสร้างท่าลัดของวิชาออกมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ยามศัตรูรุกประชิดย่อมใช้วิชาได้ในพริบตา และการผสานวิชาห้าธาตุเข้ากับวิชาขี่กระบี่ก็ยังทำให้พลังดัชนีกระบี่ลงแรงครึ่งเดียวได้ผลลัพธ์เป็นเท่าทวีอีกด้วย

ปีที่ห้าสิบสี่หลังจากเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับ

วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาทั้งสองข้างแน่นสนิท ร่างกายไม่ขยับคล้ายกำลังพิจารณาสิ่งใดอยู่

ในตอนนี้เองอากาศด้านหน้าไม่ไกลนักก็ไหวกระเพื่อม ต่อจากนั้นเงาคนสีน้ำเงินร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาช้าๆ

หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นทันทีแล้วรีบร้อนลุกขึ้นอย่างยินดียิ่งนัก จากนั้นประสานมือเอ่ยขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสหลัวโหว!”

เพิ่งเอ่ยจบ เงาคนสีน้ำเงินก็ค่อยๆ ก่อตัวชัดกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามถึงสิบสี่ปีคนหนึ่ง หลัวโหวนั่นเอง

“ดูท่าครั้งนี้เจ้าเตรียมตัวได้ไม่เลว เดิมข้ายังกังวลอยู่ว่าเจ้าจะเสียอายุขัยมากมายไปกับการสูบพลังเวทของกรงขังครั้งนี้เสียอีก” เด็กหนุ่มมองสำรวจหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเรียบๆ

“ผู้อาวุโส สาเหตุที่ครานี้ดูดพลังเวทเพิ่มมากขึ้นอย่างกะทันหันก็เพราะจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังกำลังจะตื่นใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังจบก็ยิ้มฝืดเฝื่อนเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“ไม่ผิด เวลาของเจ้าน้อยลงทุกทีแล้ว ช่วงนี้ข้าทุ่มความคิดไปไม่น้อยพยายามขัดขวางการตื่นของมัน ตอนนี้ในที่สุดก็ทำให้มันหลับใหลต่อได้ หลังจากนี้เจ้าจำต้องเตรียมสิ่งอื่นเพิ่มอีกเล็กน้อย ประการแรกคือลองควบคุมร่างแปลงปีศาจ หากเจ้าควบคุมร่างกายหลังจากแปลงเป็นปีศาจได้อย่างอิสระจึงจะมีคุณสมบัติเริ่มทำพันธะกับจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังแห่งนี้” หลัวโหวพยักหน้าแล้วเอ่ยดังนี้

“อะไรกัน ร่างแปลงปีศาจควบคุมได้ด้วยหรือ ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย” แรกสุดหลิ่วหมิงตกตะลึง แต่ต่อมาก็ดีใจแทบคลั่ง

“พลังจิตระดับแก่นแท้ในตอนนี้ของเจ้า แม้ยังห่างไกลจากการควบคุมร่างแปลงปีศาจได้อย่างแท้จริงอยู่มาก แต่ก็สามารถทุ่มพลังจิตไปที่ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดก่อนได้ ลองมากครั้งเข้า อาจควบคุมร่างกายได้ช่วงเวลาสั้นๆ เวลาต่อจากนี้ข้าจะให้เจ้าเข้าไปในดวงตามายาทดลองควบคุมร่างแปลงปีศาจทุกวัน” หลัวโหวเอ่ยแช่มช้า

“ผู้เยาว์จะลองทำตามคำบอกของผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงรับปาก

ต้องรู้ว่าจิตมารในร่างเป็นภัยร้ายที่ติดอยู่ในใจเขามาตลอด หากวันหนึ่งควบคุมร่างแปลงปีศาจได้จริง ภัยร้ายนี้ย่อมมลายหายไป นี่จะไม่ให้เขาทั้งตกใจทั้งยินดีได้อย่างไร

“ดี ตามข้ามาเถิด” หลัวโหวเอ่ยพลาง ร่างกายก็ขยับวูบ อึดใจต่อมาก็ปรากฏตัวข้างศิลาหุนเทียนสีดำขาว นิ้วมือชี้ไปทางภาพดวงตาแนวตั้งบนแท่งศิลา

ทันใดนั้นดวงตามายาก็หมุนวน หลิ่วหมิงได้ยินเสียง “วิ้ง” ในห้วงความคิดของตน ทันใดนั้นทิวทัศน์รอบด้านพลันพร่าเลือน อึดใจต่อมาเขาก็ปรากฏตัวบนแผ่นดินรกร้างแห่งหนึ่ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset