ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1119 แมลงยักษ์

ตะขาบสีเหลืองทั้งหมดกระจายอยู่รอบนอกของสนามรบ เกิดเป็นเกราะป้องกันขนาดยักษ์สีเหลืองอ่อน ล้อมตะขาบสีดำกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหมดไว้ด้านใน ประหนึ่งว่ากำลังป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หนีออกไปได้ วงแหวนแสงสีเหลืองเหนือเขาบนหัวก่อตัวเป็นเส้นไหมแวววาวสีเหลืองเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ในเกราะป้องกันเป็นระยะ

หากผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านั้นไม่ระวังถูกเส้นไหมสีเหลืองรัดเข้า แม้จะไม่ได้บาดเจ็บอันใด แต่การเคลื่อนไหวก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย

นอกเหนือจากนี้เกราะสีเหลืองอ่อนขนาดยักษ์นี่ยังเหมือนจะมีพลังดูดกลืนปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินอีกด้วย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินภายในเกราะกำลังถูกมันสูบเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทำให้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินที่ล้อมอยู่รอบด้านลดน้อยลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว

“ที่แท้ต้นเหตุของแรงสั่นสะเทือนก็มาจากแมลงสีเหลืองพวกนี้นี่เอง”

เวลานี้หลิ่วหมิงใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนซ่อนลมปราณอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววเข้าใจ

ตะขาบสีดำเคลื่อนไหวว่องไวอย่างที่สุด มันพุ่งมาถึงตรงหน้าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ประหนึ่งน้ำหลาก แล้วโจมตีผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์อย่างบ้าคลั่งด้วยขาแหลมคมกับน้ำกรดสีเขียวที่พ่นจากปาก

เทียบกับตะขาบมากมายยั้วเยี้ย ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แลดูน้อยกว่ามาก พวกเขามีเพียงสี่สิบกว่าคนเท่านั้น

ทุกคนสวมชุดสีเทาทั้งตัว ตรงหน้าผากมีผ้าคาดสีเทาเส้นหนึ่ง เวลานี้พวกเขากำลังยืนล้อมอยู่รอบเสาศิลาสีเทาหนาเท่าไหน้ำที่สูงสิบกว่าจั้งต้นหนึ่ง

ผิวของเสาศิลาสลักภาพสัญลักษณ์กิ้งก่าที่ดูราวกับมีชีวิตอยู่หนึ่งตัว

ผู้เฒ่าชุดเทาเส้นผมหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งลอยอยู่เหนือเสาศิลาและกำลังส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าไปในเสาศิลาไม่หยุด ระลอกคลื่นสีเทาอ่อนแผ่ขยายจากเสาศิลาออกมารอบด้านล้อมผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหมดไว้ด้านใน

เมื่อถูกระลอกคลื่นสีเทาอาบไล้ ผิวของทุกคนก็ถูกแสงสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งหุ้มไว้ น่าจะเป็นวิชาลับเสริมการป้องกันบางอย่าง

“เอ๋? วิชาภาพสัญลักษณ์!”

สายตาของหลิ่วหมิงจับอยู่บนเสาศิลาสีเทา ในใจฉุกคิดบางอย่าง

ผู้เฒ่าชุดเทาผู้นี้ระดับพลังอยู่ประมาณระดับแก่นแท้ขั้นกลาง เห็นชัดว่าเขาเป็นหัวหน้าของผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ นอกจากนี้ก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอีกห้าคน ส่วนคนที่เหลือล้วนแต่เป็นผู้ฝึกฝนระดับต่ำระดับของเหลวจิตวิญญาณทั้งสิ้น

ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตรงเอวต่างมีถุงผ้าตุงนูนอยู่หลายถุง พวกเขาคว้าทรายละเอียดสีเทากำแล้วกำเล่าออกมาจากถุงไม่หยุด จากนั้นควบคุมมันให้กลายเป็นลิ่มสีเทาหรืออาวุธนานาชนิดพุ่งพรวดเข้าใส่แมลงสีดำที่บีบเข้ามารอบด้านอย่างต่อเนื่องเพื่อขัดขวางพวกมันไม่ให้เข้าใกล้

นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกร่างระดับของเหลวจิตวิญญาณร่างกายกำยำอีกเจ็ดแปดคนกำลังเหวี่ยงกำปั้นเหล็กที่สวมถุงมือจนเกิดสายลมสีเทาประหนึ่งอสรพิษยักษ์สายแล้วสายเล่าโจมตีเข้าใส่แมลงสีดำที่เข้ามาใกล้อย่างไม่เกรงใจสักนิด

หลิ่วหมิงสังเกตอยู่พักหนึ่ง ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ลมปราณที่แผ่ออกมาจากแมลงสีดำส่วนใหญ่เทียบเท่ากับพลังระดับของเหลวจิตวิญญาณของผ่ามนุษย์เท่านั้น แต่อาวุธระดับของเหลวจิตวิญญาณที่สร้างจากทรายสีเทาเหล่านี้ที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ใช้ยามตกต้องบนเปลือกแข็งสีดำสนิทรอบร่างตะขาบสีดำ ส่วนใหญ่กลับสร้างเพียงรอยกรีดสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าหรือไม่ก็โจมตีพวกมันปลิวออกไปได้สองสามจั้งเท่านั้น ทำอันตรายพวกมันไม่ได้แม้แต่น้อย

มีเพียงการโจมตีจากอาวุธทรายที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกห้าคนนั้นใช้ที่ยังพอฝ่าการป้องกันของมันทำให้พวกมันบาดเจ็บหรือสังหารพวกมันได้

เทียบกันแล้ว การโจมตีสังหารระยะใกล้ของผู้ฝึกร่างระดับต่ำเจ็ดแปดคนนั้นกลับจะได้ผลมากกว่า จุดที่สายลมหมัดพุ่งผ่าน เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิว ทันทีที่สัมผัสถูกแมลงสีดำหนังหนาเนื้อหยาบเหล่านั้น พวกมันก็ทยอยถูกโจมตีกลายเป็นเศษเนื้อ

แต่จำนวนของผู้ฝึกร่างน้อยเกินไปจริงๆ อีกทั้งระดับพลังก็ต่ำเกินไปจึงไม่ค่อยเกิดประโยชน์นัก

อีกประการหนึ่งแมลงสีดำเหล่านี้เคลื่อนไหวว่องไวเป็นที่สุด เมื่อพบว่าสู้ผู้ฝึกร่างเหล่านี้ไม่ได้ พวกมันก็ไม่ฝืนเข้าปะทะแต่เลี้ยวไปโจมตีผู้ฝึกฝนคนอื่น

นอกจากนี้หลิ่วหมิงยังพบว่าแมลงสีดำที่บาดเจ็บกลับกัดกินพรรคพวกที่ขยับไม่ได้หรือเจ็บหนักกว่าอย่างอำมหิต หลังจากกินเข้าไป พวกมันไม่เพียงหายจากการบาดเจ็บแต่ยังดุร้ายยิ่งกว่าเดิม ลมปราณแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนกิน

เมื่อปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินรอบด้านลดน้อยลงไม่หยุด การโจมตีของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ก็ยิ่งอ่อนแรง พริบตาเดียวก็มีผู้ฝึกฝนหลายคนตายวายชีวา ส่วนแมลงสีดำกลับลดน้อยลงเพียงหนึ่งถึงสองส่วนในสิบส่วนเท่านั้น

ยังดีที่เมื่อแมลงสีดำเหล่านั้นเข้าไปในระลอกคลื่นสีเทาที่แผ่ออกมาจากเสาศิลาสีเทาตรงกลาง ความเร็วก็ลดฮวบลงทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ยังไม่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง

“ผู้อาวุโสฉิน พวกเราถูกขังอยู่ที่นี่เกินครึ่งวันแล้ว ฝ่าออกไปกี่ครั้งก็ถูกต้อนกลับมา ปราณจิตวิญญาณยามนี้เบาบางลงเรื่อยๆ เกรงว่าคงจะต้านได้อีกไม่นานเท่าไร”

ผู้ที่พูดขึ้นมาก็คือชายหนุ่มคิ้วเข้มระดับผลึกคนหนึ่ง ในมือเขากำธงสามเหลี่ยมน้อยสีเทาหม่นผืนหนึ่งเอาไว้ ถุงตรงเอวมีหมอกทรายสีเทาลอยออกมาแถบแล้วแถบเล่ากลายเป็นศรทรายสีเทามากมายถี่ยิบเป็นผืนกวาดเข้าใส่ตะขาบสีดำด้านหน้า

แม้ศรทรายเหล่านี้จะพลังไม่น้อย เสียบทะลุเปลือกอันแข็งแกร่งของแมลงสีดำได้ทันที ทว่าพอตะขาบสีดำหลีกหลบ ส่วนใหญ่กลับพลาดเป้า

“แผนตอนนี้ทำได้เพียงป้องกันได้นานเท่าไรก็นานเท่านั้น ถ้าแตกกลุ่มเมื่อได้ เกรงว่าคงจะตายเร็วยิ่งกว่าเดิม แมลงพวกนี้คล้ายกองทัพของมนุษย์อยู่บ้าง แต่ละตัวเคลื่อนไหวประสานกันดียิ่งนัก ไม่มีโอกาสให้พวกเราฝ่าออกไปแม้แต่น้อย” ผู้ที่พูดก็คือผู้เฒ่าชุดเทาผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนผู้นั้น

เขาส่งเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าไปในเสาศิลา พร้อมกับปล่อยจิตสัมผัสเฝ้าสังเกตสนามรบอย่างใกล้ชิดไปด้วย ทันทีที่มีผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ตกอยู่ในอันตรายก็จะส่งวงแหวนแสงสีเทาวงแล้ววงเล่าออกไปช่วยพวกเขาให้หลุดจากวงล้อม

แต่ถึงแม้เขาเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ แต่ลงมือบ่อยเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มแสดงความเหนื่อยล้าออกมาเช่นกัน

“โชคดีที่ยังมีค่ายกลภาพสัญลักษณ์เทพทรายของผู้อาวุโสฉินสนับสนุน พวกเราถึงยังมีโอกาสยืนพูดอยู่ที่นี่ แต่ศิษย์ระดับล่างเหล่านี้ไม่ว่าพลังเวทหรือพลังกายก็ใกล้หมดแล้ว เกรงว่าคงต้านได้อีกไม่นาน!”

สตรีชุดเทาระดับผลึกอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างชายหนุ่มคิ้วเข้มควบคุมอาวุธจิตวิญญาณนาฬิกาทรายสีเขียวชิ้นหนึ่งพลางเอ่ยด้วยสีหน้าหดหู่

“ผู้อาวุโสฉิน ไม่สู้แจกจ่ายหินจิตวิญญาณระดับสูงที่ต้องขนไปยังกลุ่มพันธมิตรเหล่านั้นเสีย น่าจะยังต้านได้อีกระยะเวลาหนึ่ง หากพบคนอื่น บางทีพวกเราอาจยังมีทางรอด” ชายหนุ่มคิ้วเข้มฉับพลันตาเป็นประกายคล้ายนึกบางอย่างออก แล้วเอ่ยเช่นนี้

“ได้! หากพวกเราจบชีวิตอยู่ที่นี่ หินจิตวิญญาณเหล่านี้ก็ส่งไปไม่ถึงกลุ่มพันธมิตรเหมือนกัน” ผู้เฒ่าชุดเทาแรกสุดขมวดคิ้ว แต่คิดอยู่ครู่เดียวก็ถอนหายใจยาวแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น หินจิตวิญญาณหลายถุงลอยไปยังมือของผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งห้าคนที่ล้อมเสาศิลาอยู่

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหล่านี้รับไปคนละถุง ก่อนจะแจกจ่ายหินจิตวิญญาณระดับสูงในนั้นให้แก่ศิษย์ระดับล่างรอบด้านอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ในมือทุกคนล้วนกำหินจิตวิญญาณระดับสูงก้อนหนึ่ง พลังเวทบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่าถ่ายเทเข้ามาในร่างอย่างรวดเร็ว เติมเต็มพลังเวทที่แห้งเหือดไปอย่างเร็วไว

เมื่อมีหินจิตวิญญาณเหล่านี้เสริม กำลังใจของทุกคนจึงกระเตื้องขึ้นมา ในเวลาสั้นๆ ดูเหมือนแมลงเหล่านี้จะทลายการป้องกันของเผ่ามนุษย์ได้ไม่ง่ายนัก

“วิชาภาพสัญลักษณ์ หรือว่าที่นี่คือ…หนานฮวง! แต่ถึงจะเป็นหนานฮวง ก็เหมือนจะไม่เคยเห็นแมลงประหลาดชนิดนี้มาก่อน”

ระหว่างที่คนเหล่านี้หารือกัน หลิ่วหมิงก็ครุ่นคิดไม่หยุด ขบคิดว่าจะลงมือช่วยเหลือหรือไม่ ทว่าอึดใจต่อมาสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด สายตากวาดไปยังจุดหนึ่งไกลๆ ที่แมลงสีเหลืองรวมตัวกันอยู่

ในตอนนี้เองแรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่อ่อนแอกว่าผู้เฒ่าชุดเทาผู้นั้นของเผ่ามนุษย์ก็ปะทุออกมาจากข้างใต้แมลงสีเหลืองเหล่านั้น

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น พื้นดินตรงนั้นปริแยกเผยให้เห็นรอยแตกสีดำสนิทเส้นหนึ่ง เงาสีดำเพรียวยาวร่างหนึ่งทะลวงออกมาแล้วโผขึ้นสู่ท้องฟ้า

หลิ่วหมิงหรี่ตามอง!

มันคือแมลงที่หน้าตาเหมือนตะขาบสีดำขนาดยักษ์ตัวใหญ่ถึงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับแมลงสีดำที่เหลือ เพียงแต่ส่วนหัวกลับมีใบหน้าของมนุษย์ที่บิดเบี้ยวผิดรูปเล็กน้อยอยู่!

เปลือกแข็งสีทึมทั่วร่างแมลงยักษ์ตัวนี้แผ่รัศมีแสงสีดำวงแล้ววงเล่าออกมา ทันทีที่มันปรากฏตัวแมลงสีเหลืองรอบด้านก็ราวกับถูกข่มขวัญ ถอยไปหลายก้าวติด

“ฆ่า ฆ่า…ฆ่าให้หมด!”

ใบหน้ามนุษย์ของแมลงยักษ์สีดำตัวนั้นตะโกนภาษามนุษย์ออกมาอย่างไม่ค่อยลื่นไหลนัก ขาคมกริบสองแถวตวัดผ่านอากาศตรงหน้า

พริบตาเดียวเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น!

คมดาบสายลมสีดำมากมายหลายสิบสายปรากฏขึ้นก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปหาผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ จุดที่ฟันผ่าน แมลงสีดำที่หลบไม่ทันจำนวนไม่น้อยถูกสะบั้นกลางเป็นสองซีกตายคาที่ทันที

ผู้เฒ่าชุดเทาที่ลอยอยู่บนฟ้าเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี สองมือรีบเร่งเปลี่ยนท่าประหนึ่งกงล้อ เสาศิลาสีเทาด้านล่างเปล่งแสงสีเทา ระลอกคลื่นหยุดนิ่งกลายเป็นโล่ทรายสีเทาขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหลาย

เสียงแผ่วเบาดุจเม็ดฝนกระทบใบตองดังขึ้นพักหนึ่ง โล่ทรายสีดำก็ระเบิดดังปัง คมดายสายลมมากมายถี่ยิบสาดเข้ามาทันที

พริบตาเดียวเสียงกรีดร้องด้านหลังก็ดังระงม!

ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับของเหลวจิตวิญญาณไหนเลยจะต้านการโจมตีอันดุดันของคมดาบสายลมสีดำเหล่านี้ได้ แสงสีดำฉายผ่านก็ถูกสะบั้นกลายเป็นชิ้นๆ ในพริบตา

การป้องกันของเผ่ามนุษย์ที่เดิมทีก็ร่อแร่อยู่แล้วพังทลายลงทันที

ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ระดับของเหลวจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ยี่สิบกว่าคนหน้าซีดเผือด ไม่สนใจต้านศัตรูอันใดอีก พวกเขาแตกกระเจิงหนีไปทุกทิศทุกทาง แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกห้าคนก็ไม่เว้น!

พริบตาเดียวก็เหลือเพียงผู้เฒ่าชุดเทาที่ลอยอยู่เหนือเสาศิลาภาพสัญลักษณ์สีเทาตรงกลางเพียงลำพัง

แมลงสีดำที่จ้องตาเป็นมันอยู่ทั่วทุกสารทิศเหล่านั้นย่อมไม่ปล่อยผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้หนีไปเช่นนี้ พวกมันแย่งชิงกันโถมเข้ามา

ทันใดนั้นเสียงโหยหวนก็ดังขึ้นไม่หยุด

ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณยี่สิบกว่าคนที่เหลือถูกกองทัพแมลงสีดำที่โถมมาอย่างดุร้ายกลืนหายไปครึ่งหนึ่งในพริบตา

ผู้เฒ่าชุดเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศเห็นว่าพลาดท่าแล้ว สีหน้าก็ซีดเผือดอย่างยิ่ง แต่ปากยังท่องมนตร์เร็วไว ยกมือส่งเคล็ดวิชาจมหายเข้าไปในเสาศิลาด้านล่างเป็นสาย

ทันใดนั้นเสียงกึกก้องก็ดังสนั่น เสาศิลาถอนออกมาจากพื้น เงากิ้งก่าขนาดยักษ์ประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งลอยออกมาจากต้นเสา แสงเรืองรองสีเทาสายหนึ่งม้วนออกจากปากของมันแล้วโอบผู้เฒ่าเอาไว้จากนั้นเหาะหนีไปไกลอย่างรวดเร็วทันที!

ชายหนุ่มคิ้วเข้มระดับผลึกผู้นั้นโจมตีแมลงยักษ์สีดำหลายตัวถอยไปได้ แววตาเหี้ยมเกรียมก็แล่นผ่านดวงตา เขาโยนธงสามเหลี่ยมน้อยในมือไปเบื้องหน้าแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ คำหนึ่งว่า “ระเบิด”

เสียงดังสนั่น แสงสีเทาเหมือนดอกเห็ดลอยขึ้นมาคลุมแมลงยักษ์สีดำหลายสิบตัวใกล้ๆ ไว้ด้านใน

ต่อจากนั้นเขาก็เรียกเรือเหาะสีเงินอ่อนลำหนึ่งออกมากลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปอีกทิศหนึ่งทันที

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกสี่คนที่เหลือต่างก็ใช้วิธีระเบิดอาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวทฝ่าวงล้อมเช่นกัน ด้านหลังมีแมลงยักษ์สีดำกับแมลงยักษ์สีเหลืองไม่น้อยไล่ตามมาติดๆ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset