บนเรือเหาะ หลิ่วหมิงยืนไพล่มือไว้ด้านหลังพลางปล่อยจิตสัมผัสสำรวจสถานการณ์ในระยะหลายร้อยลี้
จะว่าไปแล้วเขารู้สึกว่าตะขาบยักษ์ที่พบเมื่อครู่คุ้นตาอยู่นิดๆ พวกมันคล้ายกับมนุษย์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อหนึ่งในสัตว์ประหลาดสามตัวนั้นที่พบในงานประตูสวรรค์สมัยอดีตอยู่หลายส่วน
ยามนั้นเยี่ยโจ่งชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงบอกไว้ว่าเผ่าหนอนผีเสื้อมิใช่เผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจงเทียน แต่เป็นเผ่าประหลาดที่แข็งแกร่งเผ่าหนึ่งจากต่างดินแดน
แต่อาศัยเพียงหน้าตาอย่างเดียว เขายังไม่อาจสรุปแน่ชัดได้ว่าแมลงยักษ์เหล่านี้เป็นพวกเดียวกับมนุษย์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อจริงหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าเช่นนั้นก็แย่แล้ว
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าของหลิ่วหมิงก็แปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
ตรงมุมของเรือเหาะ ผู้เฒ่าชุดสีเทาที่ถูกช่วยมาผู้นั้นมองหลิ่วหมิงแต่ไม่พูดสักคำ ในใจหวาดหวั่นวิตกเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
ที่แห่งนี้คือแดนรกร้างของหนานฮวง แต่เครื่องแต่งกายของหลิ่วหมิงดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้ฝึกฝนของหนานฮวง จู่ๆ ลงมือช่วยตน ไม่รู้มีเป้าหมายใด
ระหว่างที่ผู้เฒ่าชุดเทาลังเลอยู่นั่นเอง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เดินลงมาจากดาดฟ้าด้านหน้าของเรือเหาะแล้วเอ่ยปากถามขึ้นเรียบๆ
“ดูจากชุดที่เจ้าสวม น่าจะเป็นคนของนิกายสักแห่งสินะ”
“ผู้อาวุโสช่างหลักแหลม ข้าฉินอีฝาน เป็นผู้อาวุโสแห่งนิกายทรายรังสรรค์ที่หนานฮวงแห่งนี้ ไม่ทราบสหายชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด!” ผู้เฒ่าชุดเทาฟังแล้วก็รีบประสานมือตอบ
พลังที่หลิ่วหมิงแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้แข็งแกร่งยิ่งนักจริงๆ จะไม่ให้ในใจผู้เฒ่าหวั่นเกรงได้อย่างไร
“ที่แท้ก็สหายจากนิกายทรายรังสรรค์ ข้าหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยตอบกลับ
“ที่แท้ท่านเป็นศิษย์จากนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ มิน่าพลังจึงน่าทึ่งเช่นนี้! ครั้งนี้โชคดีที่สหายช่วยเหลือจึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ผู้เฒ่าชุดเทาได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยคำว่า “นิกายยอดบริสุทธิ์” ดวงตาพลันเปล่งประกายเผยสีหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง” ออกมาพลางพยักหน้าตอบ
“ครั้งนี้ข้าเพียงเดินทางมาฝึกฝนวิชาที่หนานฮวงแห่งนี้ จะว่าไปแล้วครั้งนี้สหายฉินพบสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วเปลี่ยนประเด็นทันที
“เฮ้อ ข้าได้รับคำสั่งจากนิกาย เดิมทีวางแผนว่าจะพาศิษย์ในนิกายเร่งเดินทางไปรวมตัวกับคนอื่นที่เขาผ่านพิภพ แต่คิดไม่ถึงระหว่างทางจะถูกล้อมโจมตี” ผู้เฒ่าชุดเทาสีหน้าหม่นหมอง
“เขาผ่านพิภพ”
หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาพลันเป็นประกาย แม้เขาไม่คุ้นเคยกับดินแดนหนานฮวงนัก แต่อย่างไรก็เคยอยู่ที่นี่มานานหลายสิบปี สถานที่ส่วนใหญ่ในหนานฮวงล้วนเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง
เขาผ่านพิภพคือที่ตั้งนิกายผ่านพิภพนิกายใหญ่แห่งการฝึกเซียนแห่งหนึ่งแถบใจกลางดินแดนหนานฮวง สองฝั่งมีแนวเขาสูงชันโอบล้อมป้องกันง่ายโจมตียาก เป็นทำเลที่ดีอันหายากแห่งหนึ่งในเขตหนานฮวงทั้งหมด แล้วก็ตั้งอยู่ใจกลางของทั้งหนานฮวงอีกด้วย
“ในอดีตข้าเคยมาหนานฮวงหลายครั้ง แมลงยักษ์หน้าตาเหมือนตะขาบเหล่านี้ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ไม่ทราบว่ามันมาจากที่ใด?” หลิ่วหมิงถามจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ดูท่าสหายจะเพิ่งมาถึงที่นี่จึงไม่รู้เรื่องนี้ แมลงยักษ์เหล่านี้ไม่ได้ถือกำเนิดในหนานฮวง ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก พวกมันโผล่อออกมาจากรอยแยกมิติในทะเลทรายแห่งหนึ่งของหนานฮวง แต่ละตัวดุร้ายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกฝน เผ่ามนุษย์หรือว่าเผ่าปีศาจ หากพวกมันพบเข้า ส่วนใหญ่ล้วนหนีไม่รอด กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ของดินแดนหนานฮวงเราไม่ทันป้องกันจึงเสียหายหนักหนา เผ่ากับนิกายที่ขุมกำลังค่อนข้างน้อยจำนวนมากแทบจะสิ้นสำนักภายในชั่วพริบตา” ผู้เฒ่าชุดเทาไม่กล้าปิดบัง เอ่ยเล่าต้นสายปลายเหตุให้หลิ่วหมิงฟังอย่างไม่เหนื่อยหน่าย
“เมื่อครู่แมลงยักษ์เหล่านั้นแม้พลังไม่ด้อย แต่ตัวหัวหน้านั่นก็พลังแค่ระดับแก่นแท้ จะบอกว่าพวกมันทำลายทั้งเผ่าหรือนิกายจนสิ้นก็ออกจะเกินจริงไปหน่อยกระมัง” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง เอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
“สหายไม่รู้เสียแล้ว เผ่าพันธุ์แมลงยักษ์ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ที่เห็นก่อนหน้า พวกมันมีจำนวนมากนับล้าน ในหมู่พวกมันถึงขั้นมีแมลงยักษ์ที่พลังแข็งแกร่งจนเผ่าหรือนิกายธรรมดาไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ครั้งนี้พวกเราเร่งรีบเดินทางไปเขาผ่านพิภพด้วยคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ของนิกาย ที่นั่นมีผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์คุ้มครองอยู่หลายคน พวกเขากำลังออกคำสั่งเรียกรวมพลจากกลุ่มอำนาจทั้งหมดเพื่อร่วมหารือวิธีการรับมือ ตัวข้าทำให้นิกายผิดหวัง ศิษย์ทั้งกลุ่มที่นำมาตกตายหมดสิ้น ไม่มีหน้านำข่าวนี้ไปแจ้งประมุขที่เขาผ่านพิภพจริงๆ แต่หากสหายเดินทางไปด้วย กำลังฝั่งเราก็คงเพิ่มขึ้นมาอีกส่วน ยามนี้นอกจากพื้นที่จำนวนน้อยส่วนหนึ่ง พื้นที่อื่นของหนานฮวงทุกแห่งล้วนมีแมลงประหลาดเหล่านี้อาละวาด แม้สหายมีพลังเหนือผู้อื่นก็เกรงว่าคงจะอันตรายไม่น้อย” ผู้เฒ่าชุดเทาถอนหายใจเบาๆ แล้วพลันเอ่ยเปลี่ยนประเด็น
หลิ่วหมิงฟังจบก็ครุ่นคิด
กล่าวไปแล้วเขาไม่มีความคิดจะเข้าไปยุ่งเรื่องของหนานฮวง แต่เขาผ่านพิภพบังเอิญตั้งอยู่บนทางผ่านเพื่อกลับไปยังนิกายยอดบริสุทธิ์พอดี และเขาก็สนใจแมลงประหลาดหน้าตาเหมือนตะขาบเหล่านี้อยู่บ้าง อีกประการหนึ่งด้วยพลังตอนนี้ของเขา ขอเพียงไม่พบศัตรูที่ร้ายกาจผิดธรรมชาติเกินไปนัก เขาย่อมรักษาตัวหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างเหลือเฟือ
ผู้เฒ่าชุดเทาฝั่งตรงข้ามกลับหวาดหวั่นกังวล
อย่างไรครั้งนี้เขาก็ทำภารกิจไม่สำเร็จ กลับไปย่อมต้องได้รับโทษ หากชักชวนหลิ่วหมิงยอดฝีมือจากนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้นี้ให้มาเข้าร่วมได้ อาจใช้ความชอบมาชดใช้ได้
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไปกับเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็พยักหน้า
ผู้เฒ่าได้ยินย่อมดีใจเกินคาด ปากเอ่ยอย่างนอบน้อมอีกหลายคำ
หลิ่วหมิงกลับยิ้มน้อยๆ เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือเล็กน้อย เรือหยกจันทราก็เบนหัวมุ่งหน้าไปทางเขาผ่านพิภพอย่างรวดเร็ว
……
ครึ่งเดือนให้หลัง บนที่ราบหนานฮวงอันมองไปไร้จุดสิ้นสุด หลิ่วหมิงยืนอยู่ที่หัวเรือเหาะทอดสายตามองไปไกล
ยอดเขายักษ์สูงตระหง่านลูกหนึ่งค่อยๆ ปรากฏชัดเบื้องหน้า สองฝั่งของยอดเขาคือเทือกเขาเตี้ยทอดยาวไม่ขาดสาย
มองไกลออกไป ใกล้กับยอดเขายักษ์มีลำแสงหลากสีกำลังเข้าออกวุ่นวาย บนลานกว้างที่ไหล่เขามีกลุ่มคนที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างกันรวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น มองดูคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีมากหลายหมื่นคน
ภาพอันอลังการเช่นนี้ หลิ่วหมิงเคยเห็นแค่ตอนงานชุมนุมครั้งใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งนิกายครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ดูจากสิ่งนี้ เรื่องแมลงยักษ์รุกรานครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เป็นแน่แท้
ไม่นานพวกหลิ่วหมิงสองคนก็นั่งเรือหยกจันทรามาหยุดลอยลำห่างยอดเขาร้อยจั้ง
ลานเรียบบนยอดเขาด้านหน้ามีศิลายักษ์ก้อนแล้วก้อนเล่ากองอยู่ สองฝั่งของศิลายักษ์คือผู้ฝึกฝนหนานฮวงที่สวมอาภรณ์แบบเดียวกันจำนวนมาก ในมือผู้ฝึกฝนเหล่านี้ถือดาบแหลมสีแดงฉานยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าขึงขัง ยามนี้เห็นพวกหลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้น สายตาหวาดระแวงก็กวาดมองทันที
“สหายหลิ่ว พวกเรามาถึงแล้วโปรดหยุดสักครู่”
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยออกมาแล้วตบฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนถุงผ้าตุงๆ ถุงหนึ่งตรงเอว ทรายละเอียดสีเทาม้วนตัวออกมาวาดเป็นสัญลักษณ์ภูเขาน้อยลูกหนึ่งกลางอากาศ
ไม่นานชายฉกรรจ์เผ่ามนุษย์รูปร่างสูงใหญ่สองคนก็เหาะจากลานด้านหน้าเข้ามาหาทันที
“พี่ฉินทำไมป่านนี้เพิ่งจะมา ผู้อาวุโสเหยาของนิกายทรายรังสรรค์ของพวกเจ้ามาถึงนานนักแล้ว จริงสิคนอื่นของนิกายท่านเล่า” คนหนึ่งในนั้นหยุดหน้าเรือเหาะแล้วประสานมือเอ่ยกับผู้เฒ่าชุดเทา จากนั้นสายตาก็กวาดมองหลิ่วหมิง ในดวงตาฉายแววสงสัยเล็กน้อย
สองคนนี้ย่อมเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้
“เฮ้อ อย่าเอ่ยถึงเลย ครั้งนี้ระหว่างทางจู่ๆ ก็พบแมลงยักษ์จำนวนมากรุมโจมตี โชคดีที่สหายผู้นี้ลงมือช่วย ข้าจึงหนีรอดมาได้” ผู้เฒ่าชุดเทารีบคำนับคืนแล้วตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน
ฟังคำนี้จบ ชายฉกรรจ์ทั้งสองก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยแล้วมองสำรวจหลิ่วหมิงใหม่อีกครั้ง ผู้ที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ สองสามประโยค หลิ่วหมิงก็เก็บเรือหยกแล้วเหาะไปยังลานเรียบด้วยกันกับผู้เฒ่าชุดเทา จากนั้นเหาะชายฉกรรจ์ทั้งสองคนที่นำทางไปยังยอดเขา
หลังจากเวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย หลิ่วหมิงกับผู้เฒ่าก็มาถึงหน้าตำหนักศิลาที่ดูธรรมดาหลังหนึ่ง ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนหายไปแล้ว
ผู้เฒ่าชุดเทาพูดกับเหล่าผู้คุ้มกันหน้าตำหนักศิลาสองสามประโยค คนหนึ่งในนั้นก็กลับไปรายงานด้านในตำหนักทันที
หลังจากนั้นครู่เดียวผู้คุมกันคนนี้จึงนำทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปในตำหนักศิลา
ทันทีที่หลิ่วหมิงเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของตำหนักศิลา เขาก็เห็นว่าตำแหน่งผู้นำใจกลางห้องโถงมีผู้ฝึกฝนสี่คนนั่งอยู่ พลังระดับดาราพยากรณ์แผ่ออกมาเลือนราง
นอกจากพวกเขาก็ยังมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เหมือนผู้เฒ่าชุดเทาอีกสิบกว่าคนนั่งอยู่สองฝั่ง บางคนกำลังหลับตาทำสมาธิ บางคนกำลังเอียงศีรษะถกเถียงกันเบาๆ ไม่สนใจพวกหลิ่วหมิงสองคนที่มาถึงสักนิด
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านร่างทั้งสี่คนบนที่นั่งผู้นำรอบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัยจางๆ อย่างไรหนานฮวงแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ปานนี้ ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ย่อมต้องมีมากกว่าสี่คนนี้แน่
แต่เขาลองคิดอีกครั้งก็เข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้ แม้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของหนานฮวงแห่งนี้จะไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นคนของกลุ่มอำนาจขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องยกทั้งรังออกมาที่นี่ แค่ส่งตัวแทนไม่กี่คนมาก็พอแล้ว
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางของที่นั่งผู้นำด้านในตำหนักศิลาคือบุรุษวัยกลางคนชุดสีเทาหน้าตาเคร่งขรึมที่สวมกวานหยกบนศีรษะ เขาน่าจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดสักคนของนิกายผ่านพิภพ
ผู้เฒ่าหางคิ้วเชิดคนหนึ่งทางฝั่งซ้ายสวมชุดสีเทาแบบเดียวกับฉินอีฝาน เขากำลังคุยอะไรเสียงเบากับบุรุษวัยกลางคนที่สวมกวานหยกอยู่ น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนจากนิกายทรายรังสรรค์
ส่วนบุรุษผู้มีใบหน้าเป็นราชสีห์กายเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งทางซ้ายมือ หลิ่วหมิงได้ยินฉินอีฝานเอ่ยถึงระหว่างทางแล้ว คนผู้นี้ก็คือซือโห่ว รองประมุขแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์
แต่สตรีอาภรณ์สีทองผู้มีเส้นผมสีดำทั้งศีรษะทางฝั่งขวา แม้หลิ่วหมิงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่กลับรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย
ทั้งสองคนสบสายตาเพียงพริบตา ทว่าไม่เกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น
“ฉินอีฝาน ทำไมครั้งนี้มีเจ้ามาคนเดียว ศิษย์คนอื่นเล่า?” ผู้เฒ่าหางคิ้วเชิดเห็นฉินอีฝานเข้ามา สายตาพลันเย็นเยียบ คล้ายมองต้นสายปลายเหตุออกรางๆ จึงเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ตอบผู้อาวุโสเหยา ศิษย์ละอายนัก ระหว่างทางไม่รอบคอบพบกองทัพแมลงยักษ์ล้อม ทั้งกลุ่มตกตายเกือบหมด ได้สหายผู้นี้ผ่านทางมาช่วยเหลือถึงมีชีวิตรอดมาได้” ฉินอีฝานก้มหน้าก้มตา ตอบตามความจริง
“อ้อ สหายน้อยผู้นี้ดูไม่คุ้นหน้า ขอถามชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด” ผู้เฒ่าหางคิ้วเชิดฟังจบกลับไม่ตำหนิฉินอีฝาน แต่มองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าเขาพลังเพียงระดับแก่นแท้จึงยิ้มเหมือนไม่ยิ้มเอ่ยถามขึ้นมา
“ผู้เยาว์หลิ่วหมิงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ครั้งนี้เดินทางออกมาฝึกปรือฝีมือแล้วพบกับสหายฉินโดยบังเอิญ” หลิ่วหมิงค้อมกายเล็กน้อยแล้วตอบกลับอย่างนิ่งสงบ
เมื่อได้ยินว่าเป็นหลิ่วหมิงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ บุรุษวัยกลางคนผู้สวมกวานหยกแห่งนิกายผ่านพิภพกับบุรุษใบหน้าราชสีห์แห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยทั้งคู่