ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1126 วางค่ายกล

ผลปรากฏว่ายังไม่ทันที่ตั๊กแตนยักษ์จะตั้งหลักได้ หลิ่วหมิงก็กลายเป็นเงาสีดำหายวับมาปรากฏตัวตรงหน้ามันอีกครั้ง สิ่งที่ตามมาด้วยคือเงาหัวพยัคฆ์มหึมาหัวหนึ่งที่พุ่งหายวับไปกระแทกบนหัวซึ่งไร้การป้องกันอีกหนพร้อมกับเสียงพยัคฆ์คำรามดังสนั่นสะเทือนแก้วหู

“โพล๊ะ!”

หัวของตั๊กแตนยักษ์ฉับพลันแตกเป็นเสี่ยงเหมือนลูกแตงโม เลือดสีเขียวน่าขยะแขยงไหลออกมาด้านนอกประดุจน้ำพุ

ขาสองข้างของมันสะบัดเปะปะอย่างไร้จุดหมายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างกายมหึมาจะล้มตึงกับพื้น กระตุกอยู่สองสามครั้งก็หมดลมหายใจ

นับตั้งแต่ตั๊กแตนยักษ์ลงมือจู่โจมหลิ่วหมิงจนกระทั่งถูกหลิ่วหมิงสังหารไวปานสายฟ้าแลบ ตั้งแต่ต้นจนจบกินเวลาไม่เกินสองสามลมหายใจ บนท้องฟ้า นอกจากเสียงกำปั้นหนักหน่วงเด็ดขาดสองครั้งก็มีเพียงเสียงหวีดหวิวของพายุทรายที่พัดอยู่รอบด้านเท่านั้น

ผู้ฝึกฝนคนอื่นเพิ่งเหาะเข้ามาใกล้ ไม่มีช่องว่างให้พวกเขาสอดมือยุ่งสักนิด พวกเขาตาโตอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง แม้แต่ซือโห่วก็ยังมีแววตาประหลาดใจ

หลิ่วหมิงมองตั๊กแตนยักษ์ที่ล้มลงไป แล้วเรียกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนออกมาทันทีอย่างไม่ชักช้า วัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาตัวหนึ่งม้วนตัวออกมา แสงเรืองรองสีน้ำเงินโอบล้อมศพของมันแล้วลากกลับมาลงท้องเงาวัวสีน้ำเงินในพริบตา

ลวดลายสีน้ำเงินในร่างเงาส่องแสงเพียงไม่กี่หน ศพของตั๊กแตนยักษ์ทั้งตัวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงมองดูสนามรบที่ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อยแล้วจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากเก็บเช่อฮ่วนกลับไปก็หมุนตัวเหาะไปหาซือโห่วอย่างรวดเร็ว

“สหายหลิ่วช่างควบคุมแรงโจมตีได้ยอดเยี่ยม รวมพลังไว้ในการโจมตีเดียวแต่ในเวลาเดียวกันก็ควบคุมคลื่นพลังปราณให้น้อยที่สุด หายากจริงๆ …ว่าแต่สิ่งนั้นที่เรียกออกมาตอนสุดท้ายคือวิชาลับภาพสัญลักษณ์ใดหรือ ถึงขั้นกินตั๊กแตนยักษ์ไปได้ทันที” บุรุษร่างกำยำผมแดงจากเขามังกรน้ำตาลประสานมือให้หลิ่วหมิง เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยนิดๆ

“ไม่ผิด เป็นวิชาลับภาพสัญลักษณ์พิเศษชนิดหนึ่งที่ข้าบังเอิญได้มาที่พอดีข่มแมลงยักษ์เหล่านี้ได้บ้าง” หลิ่วหมิงตอบสองสามประโยคอย่างคลุมเครือ

ในงานประตูสวรรค์ครั้งนั้น มนุษย์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตนนั้นเคยเรียกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนของตนว่าจู๋เสิน อีกทั้งยังมีท่าทางหวั่นเกรงอย่างยิ่ง วันนี้ทดลองดูก็ได้ผลเหมือนเช่นวันนั้นไม่แตกต่าง ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนยังดูดกลืนพวกมันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

“เอาล่ะ ช้าแล้ว พวกเรารีบเร่งเดินทางกันเถิด! ระยะทางหลังจากนี้เกรงว่าเผ่าหนอนผีเสื้อน่าจะชุกชุมขึ้นอีก”

เสียงกระแสจิตของซือโห่วดังขึ้นในหูของทุกคน

คณะเดินทางต่างตั้งสติแล้วออกเดินทางต่อทันที

หลังจากเกิดเรื่องไม่คาดฝันครั้งนี้ กลุ่มของหลิ่วหมิงจึงลดความเร็วลงเล็กน้อย อย่างไรตอนนี้ก็อยู่ลึกเข้ามาในทะเลทรายแล้ว ทั่วทุกทิศล้วนมีเผ่าหนอนผีเสื้อน้อยใหญ่รวมตัวอยู่ หากไม่ทันระวังแม้เพียงเล็กน้อยจนถูกพบร่องรอยเข้า สิ่งที่ทำมาก่อนหน้าย่อมสูญเปล่า

สองวันต่อมา เพราะมีหมอกสีเหลืองจากธงซ่อนทรายของซือโห่วช่วยเหลือ แม้ระหว่างทางจะพบเผ่าหนอนผีเสื้อรูปร่างประหลาดอีกจำนวนหนึ่งแต่ก็ผ่านไปได้ปลอดภัยอย่างหวุดหวิดทั้งสิ้น

เป็นเช่นนี้จนถึงยามเที่ยงของวันที่สาม คณะเดินทางสิบคนก็มาถึงหน้าเนินทรายสูงหลายสิบจั้งแห่งหนึ่ง

“ด้านหน้าน่าจะเป็นจุดวางค่ายกลที่ผู้อาวุโสเหยาคำนวณเอาไว้แล้ว” ซือโห่วที่เป็นผู้นำหยุดเคลื่อนที่แล้วมองเนินทรายด้านหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม

หลิ่วหมิงยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่ม เขามองตามสายตาของทุกคนไปด้านหน้าก็เห็นสายลมคลั่งพัดโหมอยู่เบื้องหน้า สายลมพัดดังหวีดหวิว พายุหมุนลูกแล้วลูกเล่าดำทะมึนเป็นผืน เห็นชัดว่าพายุคลุ้มคลั่งกว่าตอนเพิ่งเข้ามาในทะเลทรายหลายส่วน

ใกล้กับเนินทรายสูงมีเนินทรายขนาดเล็กหลายลูก พวกมันเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ท่ามกลางพายุทรายสีดำ บางครั้งพายุหมุนบางลูกก็พัดปะทะกันจนเกิดเป็นพายุหมุนสูงจรดฟ้าลูกใหญ่กว่าเดิม พัดผ่านที่ใดเม็ดทรายปลิวว่อนก้อนหินดีดกระเด็น ทำให้คนไม่อาจเข้าใกล้

ซือโห่วไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักนิด เขาพลิกมือเรียกแผนที่หยกชิ้นหนึ่งออกมาแนบหน้าผากเปรียบเทียบเล็กน้อย จากนั้นธงน้อยสีเหลืองเข้มในมือก็สะบัดเบาๆ ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นหมอกสีเหลืองกลุ่มหนึ่งเหาะไปเหนือเนินทรายสูงตรงหน้า หลังจากหมุนวนกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีเหลืองก็สว่างจ้าขึ้นทันที

พริบตาเดียวเกราะหมอกสีเหลืองเข้มผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือร่างพวกหลิ่วหมิงแล้วครอบลงมารอบด้าน ล้อมอาณาเขตสามร้อยจั้งโดยรอบไว้ด้านใน

ในตอนที่ทุกคนมองเกราะหมอกสีเหลืองที่อยู่รอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนั่นเอง เงาคนกำยำร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกลุ่มหมอกสีเหลืองกลางท้องฟ้าอีกครั้ง แสงสว่างกะพริบสองสามครั้งเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน ซือโห่วนั่นเอง

แต่เวลานี้ในมือเขามีแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมสีเหลืองเข้มแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

ระหว่างแต่ละมุมของมุมทั้งแปดบนแผ่นค่ายกลแผ่นนี้มีจุดแสงสีเหลืองเข้มขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งอยู่จุดหนึ่งทอแสงกะพริบไม่หยุด แลดูค่อนข้างลี้ลับ

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกแปดคนในกลุ่มก้าวออกมาทันที สี่คนในนั้นสวมอาภรณ์ตัวยาวสีขาวของหุบเขาปีศาจสวรรค์ ส่วนคนที่เหลือสวมอาภรณ์แตกต่างกันไป แต่ในมือล้วนถือถือธงน้อยรูปสามเหลี่ยมสีเหลืองคันหนึ่งกับแผ่นค่ายกลทรงกลมชิ้นหนึ่งอยู่

“แม้ข้าจะใช้ธงซ่อนทรายวางค่ายกลซ่อนทรายเอาไว้ น่าจะเพียงพอเก็บซ่อนความเคลื่อนไหวทุกสิ่งยามวางค่ายกลได้ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ขอให้ทุกท่านระวังให้ดี” ซือโห่วถูแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมในมือ สายตามองไปทางผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สี่คนซึ่งรวมหลิ่วหมิงอยู่ด้วย แล้วเอ่ยเช่นนี้

“ผู้อาวุโสซือโห่วโปรดวางใจ!” บุรุษร่างกำยำผมแดงเพลิงประสานมือตอบทันที

พวกหลิ่วหมิงย่อมทยอยรับคำ จากนั้นขยับกลายเป็นลำแสงสี่สายมุ่งไปยังขอบสี่ด้านของไอหมอกสีเหลืองที่ล้อมอยู่

ซือโห่วเห็นเช่นนี้จึงหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งแปดต่อ

“ดีล่ะ ทุกคนประจำตำแหน่ง พวกเราเริ่มกันเถิด”

“ขอรับ!”

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งแปดคนตอบเป็นเสียงเดียว จากนั้นจึงแบ่งออกเป็นสองคนหนึ่งกลุ่ม ขยับตัวเหาะไปสี่ทิศ หยุดอยู่ห่างจากซือโห่วร้อยจั้งแล้วเริ่มวางค่ายกล

ซือโห่วเห็นเช่นนี้ก็เริ่มท่องมนตร์ สองมือทำท่าเคล็ดวิชา แผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมในมือฉายแสงจิตวิญญาณสีเหลืองพุ่งขึ้นฟ้าก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีเหลืองเข้มขมุกขมัวลอยวนเวียนอยู่เหนือศีรษะเขา

ตรงขอบฝั่งตะวันออกของไอหมอกสีเหลือง หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัสเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างละเอียด พร้อมกับสอดส่องสถานการณ์การวางค่ายกลไปด้วย

ศิษย์ระดับผลึกทั้งแปดคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวิชาค่ายกลที่ชำนาญศาสตร์ค่ายกลซึ่งกลุ่มพันธมิตรคัดเลือกมา เดิมทีวิชาค่ายกลก็ไม่อ่อนด้อย ก่อนหน้านี้ยังได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเหยาแห่งนิกายทรายรังสรรค์ด้วยตนเอง ดังนั้นสองคนรับผิดชอบค่ายกลหนึ่งจุดจึงไม่ใช่เรื่องยากอันใด

เวลาเพียงครึ่งค่อนชั่วยาม ค่ายกลขนาดเล็กที่ทอแสงจิตวิญญาณสีเหลืองเรืองๆ สี่ค่ายกลก็เป็นรูปเป็นร่าง

เวลานี้กลุ่มแสงสีเหลืองเข้มเหนือศีรษะซือโห่วยิ่งก่อตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นทะเลทรายขนาดเล็กจิ๋วแห่งหนึ่งด้านในได้เลือนราง

เมื่อธงสามเหลี่ยมผืนน้อยในมือผู้ฝึกฝนระดับผลึกแปดคนที่อยู่สี่ทิศทางสะบัดพร้อมกัน เกราะแสงสีเหลืองเข้มขนาดยี่สิบสามสิบจั้งสี่อันก็ปรากฏล้อมรอบแต่ละค่ายกล

เวลานี้ซือโห่วปากท่องมนตร์ สิบนิ้วดีดเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าใส่กลุ่มแสงเหนือศีรษะอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มแสงสีเหลืองเข้มสั่นสะท้าน แสงเรืองรองสีเหลืองเข้มสายแล้วสายเล่าส่องออกมาจากด้านในเชื่อมค่ายกลขนาดเล็กสี่ค่ายกลไว้ด้วยกัน

เป็นเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ มหาค่ายกลทรายโปรยปรายทั้งหมดก็วางเสร็จสิ้น ในช่วงเวลานี้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เกิดเรื่องผิดปกติขึ้นเลย เมื่อเห็นเรื่องนี้สำเร็จราบรื่นเช่นนี้ ทุกคนล้วนโล่งอกอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อวางค่ายกลทรายโปรยปรายเรียบร้อย ซือโห่วก็สั่งการทั้งแปดคนให้วางค่ายกลป้องกันนอกค่ายกลทรายโปรยปรายต่อ

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ซือโห่วจึงส่งกระแสจิตเรียกพวกหลิ่วหมิงให้กลับมา

“เอาล่ะ ค่ายกลวางเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแต่รอมหาค่ายกลทรายโปรยปรายอีกสามแห่งวางเรียบร้อยก็เริ่มเชื่อมประสานได้” ซือโห่วพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมแผ่นนั้นออกมา บนแผ่นค่ายกลมีภาพดวงดาวสี่ดวงปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ดวงดาวสามดวงในนั้นหม่นแสงไร้ประกาย มีเพียงดวงดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งที่เปล่งแสงเรืองๆ อยู่

หลิ่วหมิงมองแผ่นค่ายกลในมือซือโห่วแวบหนึ่งแล้วรั้งสายตากลับมา เดินไปนั่งขัดสมาธิด้านข้าง แผ่จิตสัมผัสสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา

ผู้ฝึกฝนคนอื่นมีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดรอคอยอยู่เงียบๆ

เวลาผ่านไปทีละน้อย ไม่รู้พวกหลิ่วหมิงโชคชะตาไม่เลวหรือค่ายกลซ่อนทรายของซือโห่วยอดเยี่ยม แม้บางครั้งมีเผ่าหนอนผีเสื้อจำนวนหนึ่งผ่านบริเวณใกล้เคียงไปบ้าง แต่พวกมันล้วนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติตรงนี้

ดวงดาวดวงใหญ่อีกสองดวงบนแผ่นค่ายกลในมือซือโห่วทอแสงขึ้นมาตามลำดับ มีเพียงดาวดวงสุดท้ายที่ยังไม่ทอแสงตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ทำให้ซือโห่วอดไม่ได้ขมวดคิ้วแน่นแล้วเดินไปมาอย่างห้ามไม่ได้

คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ในใจก็ลุ้นระทึกไปด้วย อย่างไรก็ตามมีแต่ต้องเปิดมหาค่ายกลทั้งสี่ให้สำเร็จทั้งหมดเท่านั้นจึงจะประสานกันกลายเป็นมหาค่ายกลทรายโปรยปรายระดับสุดยอด โจมตีเผ่าหนอนผีเสื้อในทะเลทรายให้ถึงชีวิตได้

เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ดาวดวงใหญ่ดวงสุดท้ายก็เปล่งแสงออกมาในที่สุด

“ดี ค่ายกลทรายโปรยปรายอีกสามแห่งวางเสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดมหาค่ายกลทรายโปรยปรายทันที!” ซือโห่วเห็นเช่นนี้พลันมีสีหน้ายินดี เอ่ยเสียงดังขึ้นทันที

ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลแปดคนนั้นร่วมมือกันอย่างเข้าขาอย่างยิ่ง พวกเขาเริ่มกระตุ้นอุปกรณ์วางค่ายกลในมือเตรียมตัวกระตุ้นแผ่นค่ายกล

“ทันทีที่มหาค่ายกลทำงาน ความเคลื่อนไหวใหญ่โตย่อมล่อเผ่าหนอนผีเสื้อจำนวนมากมา พวกเจ้าจงเตรียมใจไว้ให้ดี” สายตาของซือโห่วกวาดมองผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสี่คนรวมหลิ่วหมิง แล้วเอ่ยเสียงเข้ม จากนั้นจึงโบกมือ ธงค่ายกลสีเหลืองหลายผืนปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

ธงคำสั่งเหล่านั้นประหนึ่งสิ่งมีชีวิต พวกมันบินวนอย่างเชื่องช้าโดยมีซือโห่วเป็นศูนย์กลาง

ซือโห่วท่องมนตร์ สองมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าใส่แผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมอย่างว่องไว ทะเลทรายผืนน้อยบนท้องฟ้าเหนือศีรษะเขาส่งเสียงดังวิ้ง จากนั้นเสาแสงสีเหลืองต้นหนึ่งพลันพุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องนภา

ผู้ฝึกฝนที่ว่างค่ายกลทั้งแปดคนเริ่มดีดนิ้วระรัว เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่ากลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในธงคำสั่งข้างกาย ค่ายกลทั้งสี่บนพื้นสร้างเสาแสงสี่ต้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน

เสาแสงห้าต้นรวมตัวกันสูงขึ้นไปบนฟ้ากลายเป็นเสาแสงสีเหลืองทองต้นหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องนภาประหนึ่งจะทะลวงผ่านกลุ่มทรายสีดำ ชั่วขณะหนึ่งมองไม่เห็นความสูงของเสาแสง แต่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเม็ดทรายรอบด้านคล้ายจะเกรี้ยวกราดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

บึ๊ม! เมื่อเสาแสงสีเหลืองทองพุ่งขึ้นไป เสียงพัดหวีดหวิวของพายุทรายรอบด้านก็ยิ่งดังขึ้น

พวกหลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย การเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ต้องถูกเผ่าหนอนผีเสื้อสังเกตพบแน่

ซือโห่วสีหน้าเคร่งขรึม ปากท่องเคล็ดวิชางึมงำยากเข้าใจอย่างเร็วไวที่สุด สองมือหมุนวนประหนึ่งกงล้อ วงแสงของวิชาเวทวงแล้ววงเล่าวนล้อมเกี่ยวกระหวัดกับแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยม

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset