“ตอนนี้นิกายกำลังต้องการกำลังคน ศิษย์น้องหลิ่วกลับมานิกายเวลานี้ เชื่อว่าจะต้องได้แสดงความสามารถโดดเด่นในสงครามใหญ่แน่” ต้วนเหมิ่งหัวเราะอย่างยำเกรง
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้า
หลายวันหลังจากนั้นกลุ่มของหลิ่วหมิงก็เหาะผ่านขอบเทือกเขาหมื่นวิญญาณอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศใกล้ตัวกระเพื่อม ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สิ่งที่เข้ามาสู่สายตาคือแสงสีทองระยิบระยับ เมื่อมองผ่านแสงสีทองไปจึงเห็นทิวเขาอันคุ้นเคยลูกแล้วลูกเล่าโผล่อยู่ตรงนั้นตรงนี้
เมื่อพิจดูก็เห็นว่ามันคือม่านแสงสีทองขนาดมหึมาอย่างยิ่งชั้นหนึ่งที่ล้อมส่วนสำคัญใจกลางเทือกเขาหมื่นวิญญาณเอาไว้ บนผิวของม่านแสง อักขระสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ตัวแล้วตัวเล่าเคลื่อนวนเวียนไม่หยุดแผ่ลมปราณมหาศาลสายหนึ่งออกมา
นอกเหนือจากนั้นเวลานี้ยอดเขาแต่ละแห่งยังถูกแสงเรืองรองหลากสีล้อมไว้ ศิษย์ที่สวมชุดผู้ดูแลกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลาดตระเวนเหาะผ่านระหว่างยอดเขาเป็นระยะ เป็นภาพของการเปิดค่ายกลพรักพร้อมและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นภาพเช่นนี้นับตั้งแต่เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มานานหลายร้อยปี ดูท่าการรุกรานของเผ่าหนอนผีเสื้อครั้งนี้จะร้ายแรงกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก
ในตอนนี้เองต้วนเหมิ่งก็หยิบป้ายคำสั่งตรงเอวมาไว้ในมือแล้วแกว่งเล็กน้อยพร้อมท่องมนตร์เงียบๆ หลายประโยค กลางอากาศเกิดคลื่นกระเพื่อม บนม่านแสงสีทองพลันปรากฏช่องใหญ่หนึ่งจั้งกว่าช่องหนึ่ง
“ฟุบ” เมฆขาวที่ทุกคนนั่งอยู่ผลุบเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วอึดใจที่เมฆขาวทั้งหมดเข้าไปในม่านแสง ม่านแสงสีทองก็ประสานสนิทในทันที
“ศิษย์พี่หลิ่ว ข้ายังต้องรีบกลับไปรายงานสถานการณ์กับผู้ควบคุมยอดเขาทองคำ ขอลาตรงนี้ เชื่อว่าไม่นานคงจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง” ต้วนเหมิ่งประสานมือให้หลิ่วหมิงแล้วแย้มยิ้มเอ่ยขอตัว
หลิ่วหมิงตอบตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็มองส่งศิษย์ยอดเขาทองคำกลุ่มนี้จากไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาจึงหันไปมองทิวเขาที่คุ้นเคยตรงหน้า ในดวงตาฉายแววทอดถอนใจ ทันใดนั้นปราณสีดำก็ม้วนออกมารอบร่างกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะไปยังทิศหนึ่งประหนึ่งดาวตก
ชั่วหนึ่งมื้ออาหารหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็เหยียบเมฆดำลอยมาหยุดหน้ายอดเขาลั่วโยว
เวลานี้ยอดเขาลั่วโยวอันสูงตระหง่านถูกปราณสีดำหนาทึบรายล้อมทั้งลูก ยอดเขาเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ความหนาวเย็นและลมหนาวอันน่าขนลุกสายแล้วสายเล่าโถมเข้าใส่ใบหน้า
เขาเหาะวนอยู่บนท้องฟ้าพักหนึ่งจึงคิดได้ หยิบป้ายคำสั่งที่เอวออกมาแกว่งเบื้องหน้า แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปแล้วจมเข้าไปในปราณดำเบื้องหน้า
ปราณดำปั่นป่วนอยู่พักหนึ่งก็แหวกออกซ้ายขวาประหนึ่งม่าน เผยให้เห็นทางแคบยาวเส้นหนึ่ง หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำควบคุมเมฆดำใต้เท้าเหาะเข้าไปด้านใน
ไม่นานนักเขาก็ปรากฏตัวบนลานเรียบหน้าตำหนักใหญ่บนยอดเขา
“เจ้าคือผู้ใด ที่แห่งนี้คือวิหารหลักแห่งยอดเขาลั่วโยว ผู้ไม่มีธุระห้ามเข้า!” ชายหนุ่มคิ้วเข้มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่นอกประตูวิหารมองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากสัมผัสได้ถึงลมปราณลึกล้ำไม่อาจหยั่งบนร่างหลิ่วหมิงจึงเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง
สายตาหลิ่วหมิงจับจ้องบนร่างชายหนุ่มคิ้วเข้มตรงหน้า คนผู้นี้ดูแล้วอายุไม่พ้นยี่สิบกว่าปี ร่างกายสวมชุดของยอดเขาลั่วโยว แต่หลิ่วหมิงกลับไม่เคยเห็นเขามาก่อน คิดว่าน่าจะเป็นคนที่เข้ามาในยอดเขาลั่วโยวระหว่างช่วงที่เขาจากไปหลายปีนั้น
“ข้าเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน นามว่าหลิ่วหมิง อาจารย์อินยามนี้อยู่บนเขาหรือไม่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว แล้วเก็บแรงกดดันจิตวิญญาณบนร่างไปจากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา
“เจ้าบอกว่าเจ้าแซ่หลิ่ว…ศิษย์พี่หลิ่ว? หรือจะเป็นศิษย์พี่หลิ่วหลิ่วหมิงที่สร้างความชอบครั้งใหญ่ในทางปีศาจร้ายหลายสิบปีก่อนหลังจากนั้นไม่รู้หายไปที่ใด?” ชายหนุ่มคิ้วเข้มผู้นั้นได้ยินก็ถามขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“ยอดเขาลั่วโยวยังมีคนชื่อหลิ่วหมิงคนที่สองหรือ หากไม่มีก็น่าจะเป็นข้าแล้ว” หลิ่วหมิงลูบจมูกเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ในเวลาเดียวกันก็พลิกมือเรียกป้ายคำสั่งสีดำชิ้นหนึ่งออกมา
ชายหนุ่มคิ้วเข้มกวาดจิตสัมผัสผ่านป้ายคำสั่งหลายรอบอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นป้ายคำสั่งของศิษย์สายในยอดเขาลั่วโยวจริง ใบหน้าก็พลันเผยสีหน้ายินดียิ่งออกมาแล้วพยักหน้ารัว
“ศิษย์พี่หลิ่วจริงๆ ด้วยไม่ผิดแล้ว ผู้ควบคุมยอดเขาอยู่ในวิหารหลักพอดี ศิษย์พี่โปรดรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปแจ้งเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มคิ้วเข้มคำนับหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วก้าวเท้าไวๆ เดินเข้าไปในวิหาร
ราวครึ่งก้านธูป ชายหนุ่มคิ้วเข้มผู้นั้นก็เดินก้าวเร็วไวดุจไฟลนออกมา
“ยินดีที่ศิษย์พี่หลิ่วกลับมายังยอดเขาลั่วโยว ผู้ควบคุมยอดเขารออยู่ในห้องโถงแล้ว เชิญ” ชายหนุ่มคิ้วเข้มประสานมือทั้งสองข้างแล้วผายมือทำท่าเชิญอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงฟังจบจึงพยักหน้า ก้าวยาวเข้าไปในวิหารหลักโดยที่มีชายหนุ่มมองส่งด้วยแววตาเคารพ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นในห้องโถงอันเงียบสงัดอินจิ่วหลิงผู้สวมชุดสีเทานั่งอยู่บนตำแหน่งประธานตรงกลางก็เห็นหลิ่วหมิงที่เพิ่งก้าวผ่านประตูใหญ่เข้ามา ใบหน้าครึ่งหนึ่งเหี่ยวแห้งครึ่งหนึ่งเอิบอิ่มเต็มไปด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด
“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์” หลิ่วหมิงก้าวเร็วไวไปด้านหน้าแล้วค้อมกายคำนับอินจิ่วหลิง
“ดี ดี ดี กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ตอนนั้นได้ยินศิษย์พี่เสี่ยวอู่ของเจ้าเล่าว่าเจ้าหายตัวไปในทางปีศาจร้าย แม้อาจารย์ไม่เอ่ยกับผู้อื่น แต่ในใจรู้ว่าด้วยพลังของเจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน วันนี้ดูท่าจะเป็นจริงเช่นนั้น!” อินจิ่วหลิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากบนจรดล่างแล้วเก็บสีหน้ายินดีเอาไว้ไม่อยู่ เอ่ยชมว่าดีออกมาติดกันถึงสามหน
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็อดไม่ได้รู้สึกอบอุ่นวูบหนึ่ง
“แต่เวลาไม่กี่สิบปีเท่านี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนจนถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว ดูท่าหลายปีนี้เจ้าคงผจญภัยมาไม่น้อย” อินจิ่วหลิงยื่นมือชี้เก้าอี้ด้านข้างบอกให้หลิ่วหมิงนั่งลงก่อน
“ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ยามนั้นศิษย์ถูกไล่ล่าในทางปีศาจร้าย…” หลิ่วหมิงนั่งลงเสร็จก็เล่าเรื่องราวที่ตนเองประสบในทางปีศาจร้ายกับในยมโลกออกมาสั้นๆ ด้วยท่าทางสบายๆ
แน่นอนบางส่วนในเรื่องราวเหล่านั้นที่เกี่ยวกับความลับของตน เขาย่อมเลี่ยงไม่พูดถึง
อินจิ่วหลิงได้ยินว่าหลิ่วหมิงจับพลัดจับผลูร่วงลงไปถึงยมโลก ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างยิ่ง
เรื่องขุยตี้แห่งหนานฮวง หลิ่วหมิงกลับไม่ได้พยายามปิดบัง อย่างไรหากไม่ได้คนนอกช่วยเหลือ ลำพังตัวเขาคนเดียวย่อมไม่อาจย้อนกลับมาสู่แผ่นดินจงเทียนได้ราบรื่นเช่นนี้
รอจนหลิ่วหมิงเล่าเรื่องราวที่พานพบจนจบอย่างคร่าวๆ เขาก็เอ่ยถึงเรื่องที่พันธมิตรแดนใต้วางค่ายกลสกัดกองทัพใหญ่เผ่าหนอนผีเสื้อ
“คิดไม่ถึงว่าดินแดนทางใต้จะมีเผ่าหนอนผีเสื้อปรากฏตัวมากมายเช่นนี้ด้วย ดูท่าหายนะครั้งนี้คงจะหลีกเลี่ยงยากแล้ว” อินจิ่วหลิงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นแช่มช้า
“ตลอดทางที่ศิษย์จากหนานฮวงกลับมายังนิกาย ทุกหนทุกแห่งล้วนมีร่องรอยความเหิมเกริมของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อ ครานี้เผ่าหนอนผีเสื้อต้องการรุกรานแผ่นดินจงเทียนของพวกเราจริงหรือ?” หลิ่วหมิงมองอินจิ่วหลิวแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“การรุกรานของพวกต่างเผ่ามิใช่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แผ่นดินจงเทียนของพวกเรา แต่สี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์ยืนหยัดมาเนิ่นนานนับอนันต์ย่อมมีเหตุผลของมัน เจ้าไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก” อินจิ่วหลิงคล้ายจะรับรู้ถึงสีหน้าที่แสดงความกังวลใจอออกมาจึงยิ้มน้อยๆ ให้หลิ่วหมิงพลางเอ่ยบอก
“ศิษย์เข้าใจ!” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยขณะเอ่ยตอบ
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่เสี่ยวอู่ยามนี้อยู่หนใด ออกมาจากทางปีศาจร้ายแล้วหรือไม่ ยามนั้นผลของศึกในทางปีศาจร้ายเป็นอย่างไร” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ศึกในทางปีศาจร้าย สุดท้ายเกิดเรื่องราวคาดไม่ถึงอยู่ไม่น้อยจริงๆ เรื่องนี้เล่าแล้วยาว ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ อย่าเพิ่งพูดถึงเลย ส่วนเสี่ยวอู่ หลังจากสงครามเลวร้ายครั้งนั้นในทางปีศาจร้าย นางก็กลับมาถึงนิกายอย่างปลอดภัยแล้ว นางยกย่องเจ้านัก แต่การรุกรานของเผ่าหนอนผีเสื้อพักนี้ทำให้เกิดเรื่องราวสารพัดขึ้นมากมาย เป็นช่วงเวลาที่ต้องการใช้คน เสี่ยวอู่จึงรับภารกิจจากนิกายอย่างต่อเนื่องอยู่ข้างนอกยังไม่กลับ” อินจิ่วหลิงเอ่ยเรียบๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงฟังแล้วดวงตาพลันเป็นประกาย ไม่ได้ถามเพิ่มอีก
ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง หลิ่วหมิงจึงฉวยโอกาสขอคำชี้แนะเกี่ยวกับข้อสงสัยในระดับแก่นแท้หลายข้อ อินจิ่วหลิงฝึกฝนจนบรรลุจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้นานแล้ว อีกทั้งวิชาที่ฝึกฝนยังเป็นวิชาธาตุหยิน จึงย่อมเปี่ยมประสบการณ์ เขาอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าได้ประโยชน์มามากทีเดียว เขาเริ่มมองเห็นเส้นทางการฝึกฝนหลังจากนี้ชัดเจนขึ้นบ้างแล้ว
“ตอนนี้เจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ตามกฎของนิกาย ยามนี้เจ้ายื่นเรื่องเปลี่ยนเป็นศิษย์ลับของนิกายเราได้แล้ว จากที่ข้ารู้มายามนี้ท่านประมุขเทียนเกออยู่ที่ยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์พอดี เจ้าไม่สู้เดินทางไปคารวะเจ้าสำนักตอนนี้ ยามนี้เพราะเรื่องเผ่าหนอนผีเสื้อ เจ้าสำนักจึงยุ่งเป็นพิเศษ หาตัวไม่ง่ายนัก” อินจิ่วหลิงมองหลิ่วหมิงแวบหนึ่งแล้วแย้มยิ้ม จากนั้นเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” หลิ่วหมิงฟังจบก็อึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงประสานมือตอบ
“อยากกลายเป็นศิษย์ลับ เดิมทีต้องผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับจากท่านประมุขเทียนเกอจึงจะเป็นได้ แต่ด้วยพลังระดับแก่นแท้ขั้นกลางของเจ้าในตอนนี้ผนวกกับผลงานในทางปีศาจร้าย ข้าคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาประการใด” อินจิ่วหลิงหัวเราะเบาๆ
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เอ่ยเตือน” หลิ่วหมิงสายตาวูบไหวเอ่ยตอบ
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงถามไถ่สถานการณ์ในนิกายยามนี้อีกเล็กน้อยก็ลาอินจิ่วหลิงแล้วหมุนตัวเดินไปนอกวิหาร
อินจิ่วหลิงมองแผ่นหลังของหลิ่วหมิงเดินออกไปจากวิหารหลัก ใบหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาเล็กน้อย สั่งสอนศิษย์ลับคนหนึ่งออกมาได้ ผู้ควบคุมยอดเขาคนนี้อย่างเขาก็ได้หน้าเพิ่มไม่น้อย แล้ว ทั้งยอดเขาลั่วโยวก็จะได้รับคำชมจากนิกายไม่น้อยอีกด้วย
……
เวลาชั่วจิบชาให้หลัง หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวบนลานกว้างที่ยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์
สิ่งก่อสร้างทุกอย่างบนยอดเขาหลักยังไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย บางครั้งมีผู้ฝึกฝนของนิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคนเดินผ่านข้างกายไป แต่ส่วนใหญ่ล้วนมองผ่านหลิ่วหมิง สีหน้าดูเคร่งเครียด ขยับเคลื่อนไหวด้วยท่าทางรีบร้อน
ในใจหลิ่วหมิงรู้ดีว่ากว่าครึ่งคงเป็นเพราะการรุกรานของเผ่าหนอนผีเสื้อ ดูท่าการบุกของเหล่าแมลงจะสร้างแรงกดดันให้นิกายยอดบริสุทธิ์ไม่น้อยจริงๆ
นอกวิหารใหญ่บนยอดเขาหลัก หลิ่วหมิงแสดงป้ายประจำตัวแล้วแจ้งว่าต้องการคารวะท่านประมุขเทียนเกอ
ศิษย์ที่เฝ้าประตูทั้งสองคนเหมือนจะเคยได้ยินชื่อเสียงของหลิ่วหมิง ทั้งสองมองเขาอย่างประหลาดใจ จากนั้นคนหนึ่งในนั้นจึงหมุนตัวเข้าไปแจ้งทันที
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นศิษย์ที่เฝ้าประตูก็เดินออกมาคำนับหลิ่วหมิวแล้วเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่หลิ่ว ท่านประมุขเชิญท่านเข้าไป”
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วจัดเสื้อผ้าเล็กน้อยจากนั้นจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวเส้นหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่
ด้านในห้องโถงเวลานี้มีคนอยู่สามคน นอกจากเทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกาย จินเทียนชื่อก็อยู่ในนี้ด้วย
นอกจากพวกเขายังมีชายหนุ่มชุดเทาอีกคนหนึ่ง ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมดูธรรมดา สองแขนไพล่อยู่ด้านหลังคล้ายกำลังสนทนาสิ่งใดกับเทียนเกอและจินเทียนชื่ออยู่
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจก็คือประมุขเทียนเกอกับจินเทียนชื่อต่างยืนอยู่สองฝั่งของชายหนุ่มและค้อมหัวฟังด้วยท่าทางนอบน้อม