“เรื่องนี้เป็นจริงหรือ?” เทียนอินซ่างเหรินเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย
“จริงแท้แน่นอน” อวี้อินจื่อพยักหน้า
“จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงผู้นี้หลังจากเข้าไปในทางปีศาจร้ายก็เงียบหายไร้ข่าวคราวไปหลายสิบปี ยามนี้จู่ๆ กลับมายังนิกาย ดูท่าพลังน่าจะก้าวหน้าไม่น้อย มิเช่นนั้นไยท่านประมุขเทียนเกอจึงถูกใจเขามากขึ้นทุกที แล้วยังส่งเขาไปทำภารกิจที่สำคัญเช่นนี้” เทียนอินซ่างเหรินแววตาเป็นประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นแช่มช้า
“หลิ่วหมิงเพิ่งกลับคืนนิกายเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อรักษาความลับ ตอนนี้เรื่องนี้จึงยังไม่แพร่ออกไป มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่อง ศิษย์พี่อาจไม่รู้ เด็กคนนี้ตอนนี้ฝึกฝนจนบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว อีกทั้งภารกิจครั้งนี้หาใช่ท่านประมุขเทียนเกอออกคำสั่ง แต่เป็นผู้อาวุโสเสวียนอวี๋แห่งนิกายเราเห็นความสามารถของเด็กคนนี้จึงออกคำสั่งภารกิจด้วยตนเอง” อวี่อินจื่อแลดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“อะ…อะไรนะ! นี่เพิ่งจะกี่ปี เด็กคนนี้กลับฝึกฝนจนบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว แล้วยังถูกใจผู้อาวุโสเสวียนอวี๋อีก!” เทียนอินซ่างเหรินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เจียหลานที่ก้มหน้าอยู่ด้านข้างแม้ไม่เอ่ยวาจาแต่ในดวงเนตรงามฉายแววยินดี
“น้องก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อเช่นกัน ดูท่าหลายปีนี้หลิ่วหมิงผู้นี้คงจะได้โชควาสนาอะไรมาไม่น้อย” อวี้อินจื่อเอ่ยเหมือนคิดบางอย่าง
เทียนอินซ่างเหรินฟังแล้วก็นิ่งเงียบ สายตาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ท่านประมุขเทียนเกอกับผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ล้วนเห็นคุณค่าของเขา หนทางเบื้องหน้าของหลิ่วหมิงผู้นี้ย่อมไร้ขีดจำกัด ศิษย์พี่ ตามที่พวกเราตกลงกับอินจิ่วหลิงเอาไว้ หากเจียหลานกับหลิ่วหมิงคนใดคนหนึ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ก็จะจัดพิธีคู่รักฝึกฝนให้พวกเขา เรื่องนี้พวกเราต้องเอาใจใส่ให้มากหน่อย คว้าเอาไว้ให้มั่น” อวี้อินจื่อลดเสียงเบาลงแล้วเอ่ยชิดริมหูของเทียนอินซ่างเหริน
แม้เสียงเบา แต่เจียนหลานก็ยืนอยู่ด้านข้าง นางย่อมได้ยินทั้งหมด ใบหน้าแดงระเรื่อชวนให้คนลุ่มหลงทำให้ตัวนางยิ่งงดงามตราตรึง เมื่อรวมกับที่นางครอบครองร่างมายาสวรรค์อยู่แล้ว จึงทำให้ศิษย์ชายจำนวนไม่น้อยจากยอดเขาอื่นด้านข้างมองจนหลงละเมอเพ้อพก
“อืม แต่ด้วยพลังในตอนนี้ของหลิ่วหมิง เจียหลานคงเป็นฝ่ายหวังสูงสักหน่อย อีกประการหนึ่งอินจิ่วหลิงผู้นั้นก็เจ้าเล่ห์แสนกลดั่งภูตผีมาตลอด เรื่องนี้ไม่แน่อาจไม่เป็นดังที่คิด แต่ทุกสิ่งรอกวาดล้างแมลงต่างเผ่าเหล่านี้เสร็จแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เทียนอินซ่างเหรินถอนหายใจ
อวี้อินจื่อฟังแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า
เจียหลานได้ยินคำพูดนี้ของเทียนอินซ่างเหริน ดวงหน้างามที่ก่อนหน้านี้แดงระเรื่อก็ซีดลง ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจห้าม
“หลานเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าคิดว่าหลิ่งหมิงผู้นั้นจริงใจต่อเจ้า มิฉะนั้นยามนั้นคงไม่ลงมือสู้กับเวินเจินผู้นั้นเพื่อเจ้า ยามนี้เขาบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว ดูจากสภาพนี้คิดว่าไม่นานก็คงจะเข้ากลุ่มศิษย์ลับ หลังจากสงครามครั้งนี้จบลง เจ้าต้องเป็นฝ่ายรุกสักหน่อย…” อวี้อินจื่อจับมือขาวผ่องของเจียหลาน ขณะที่มุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กระซิบข้างหูนาง
เจียหลานฟังแล้ว ดวงหน้างามพลันแดงก่ำ
ทันใดนั้นเทียนเกอเจินเหรินที่อยู่บนผาก็ยกมือขึ้น แหวนสีน้ำเงินวงหนึ่งที่อยู่บนนั้นส่งเสียงดัง “ปัง” แล้วแตกกระจาย
ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สามคนที่เหลือรอบข้างสังเกตเห็นสิ่งนี้ทันที สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปในทันใด
“ดี! ศิษย์หลานหลิ่วเล็ดลอดเข้าไปใกล้ทางเชื่อมมิติที่ยอดเขาแสงอัสดงสำเร็จแล้ว โจมตีเต็มกำลังทันที!” เทียนเกอเจินเหรินเผยสีหน้ายินดี หันไปสั่งทั้งสามคนที่เหลือ
ผู้เฒ่าชุดเทากับนักพรตหญิงชุดขาวพยักหน้าแล้วพลันกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งกับสีขาวสายหนึ่งเหาะออกไป เริ่มรวบรวมผู้อาวุโสกับศิษย์จากแต่ละยอดเขาของสำนักในกับศิษย์สายนอกมากมายที่อยู่ด้านหลัง
“เลี่ยหยาง ฝั่งเจ้าก็เริ่มเคลื่อนไหวเถอะ” เทียนเกอเจินเหรินหันไปเอ่ยกับจินเลี่ยหยาง
จินเลี่ยหยางพยักหน้า แสงสีทองสว่างวูบหนึ่ง ร่างกายก็หายไปไร้ร่องรอยในพริบตา
เทียนเกอเจินเหรินหยิบยันต์สื่อสารที่ทอแสงจิตวิญญาณสีแดงแผ่นหนึ่งออกมาพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นยกจรดริมฝีปากที่กำลังพึมพำแผ่วเบา แล้วโบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่ ยันต์ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานก่อนจะสลายหายไป
หลังจากนั้นคำสั่งก็ถูกถ่ายทอดลงไป ไม่นานศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบหมื่นคนก็เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าแทบจะในเวลาเดียวกัน
ในห้วงเวลานั้นผู้ฝึกฝนยืนเรียงรายบนท้องฟ้า เสียงพุ่งแหวกอากาศดังสนั่น ลำแสงหลากสีปรากฏละลานตา แทบจะบดบังท้องนภาไปเกินครึ่ง
ศิษย์สายในและสายนอกทั้งหมดที่นั่นเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งไปยังยอดเขาแสงอัสดงอย่างทรงพลังดุดันภายใต้การนำของผู้ควบคุมยอดเขาและผู้อาวุโสของแต่ละคน
หลายชั่วยามให้หลัง ขณะที่ผู้คนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ยังอยู่ห่างจากยอดเขาแสงอัสดงอีกหมื่นลี้ แมลงน้อยใหญ่รูปร่างต่างๆ นานาฝูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พวกมันกรีดร้องคำรามโถมเข้ามา จำนวนมีมากถึงแสนหลายหมื่นตัว
ผู้ที่เหาะอยู่ด้านหน้าศิษย์ทั้งหลายของนิกายยอดบริสุทธิ์คือผู้เฒ่าชุดเทากับนักพรตหญิงชุดขาวผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองคน พริบตาที่เหล่าแมลงปรากฏตัว พวกเขาก็ยกแขนขึ้นโบกไปด้านหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
เสียงหวีดหวิวดังขึ้นเป็นระลอก ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ส่งลำแสงจากอาวุธจิตวิญญาณและวิชาเวทนับไม่ถ้วนโถมโจมตีเหล่าแมลงฝั่งตรงข้าม
ลำแสงสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วจี๋ออกมาจากกองทัพใหญ่ของเผ่าแมลงฝั่งตรงข้าม สองฝั่งปะทะกันอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เสียงระเบิดดังกึกก้องฟ้า!
ชั่วขณะหนึ่งท้องฟ้าระหว่างนิกายยอดบริสุทธิ์กับกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อมีแสงจิตวิญญาณกับประกายกระบี่หลากสีฟาดฟันตัดกันโกลาหล เทือกเขาสายน้ำบริเวณใกล้เคียงสั่นไหวรุนแรงไม่หยุด ประหนึ่งอึดใจต่อมาจะถล่ม
ทว่าสองฝั่งเห็นผลแพ้ชนะกันอย่างรวดเร็วอย่างยิ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เก่งกาจกว่าแมลงเหล่านี้มากนัก การโจมตีที่เหล่าแมลงส่งออกมาทนอยู่ได้เพียงชั่วครู่ก็ถูกกลบทับ ลำแสงนับไม่ถ้วนแหวกผ่านท้องนภาร่วงลงท่ามกลางกองทัพแมลง เกิดฝนโลหิตกับสายลมคาวคลุ้งพัดมาเป็นระลอก
เพียงการโจมตียกนี้ก็สังหารแมลงไปได้ถึงหลายพันตัว
ทว่าจำนวนเท่านี้สำหรับกองทัพใหญ่ของเผ่าแมลงที่มีจำนวนแสนหลายหมื่นตัวเป็นเพียงจำนวนน้อยนิดเท่าขนวัวเส้นหนึ่งเท่านั้น
ภายในยอดเขาแสงอัสดงเมฆดำสีดำทะมึนก้อนแล้วก้อนเล่าลอยออกไปอย่างรวดเร็ว ด้านในเมฆดำคือแมลงตัวแล้วตัวเล่า ในหมู่พวกมันไม่ขาดแมลงระดับสูง หลังจากรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว พวกมันก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วเคลื่อนพลมาถึงเบื้องหน้าผู้คนจากนิกายยอดบริสุทธิ์
ด้านหน้ากองทัพของนิกายยอดบริสุทธิ์ ผู้เฒ่าชุดเทาสีหน้าเคร่งขรึม พลิกฝ่ามือเรียกธงสีขาวผืนหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้นโบก
เงาหลายร้อยร่างเหาะออกมาจากกลุ่มนิกายยอดบริสุทธิ์ทันที ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไม่เว้นแม้สักคน เห็นชัดว่าคนเหล่านี้คือผู้อาวุโสจากแต่ละยอดเขาของสำนักใน
อาวุธเวทที่เปล่งแสงไปรอบด้านชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยออกมาจากร่างของพวกเขา คลื่นพลังเวทมหาศาลเชื่อมเข้าหากัน เกิดเป็นลายคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าบนท้องฟ้า แทบจะฉีกท้องนภาออกจากกัน
เบื้องหน้ากลุ่มศิษย์จากยอดเขาทองคำ จางเม่าผู้ควบคุมยอดเขาซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงเรียกฆ้องสีแดงฉานขนาดหลายจั้งใบหนึ่งออกมา
เขาอ้าปากพ่นพลังปราณออกมาสองสามก้อน ขณะที่สองมือส่งเคล็ดวิชาออกมาอย่างต่อเนื่อง ฆ้องสีแดงฉานโต้ลมขยายใหญ่จนชั่วพริบตาก็ใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นฆ้องมหึมาใบหนึ่ง บนผิวปรากฏอักขระนับไม่ถ้วน
ต่อจากนั้นจางเม่าก็เรียกท่อนเหล็กที่ทอแสงสีทองระยิบระยิบแท่งหนึ่งออกมาเคาะลงบนฆ้องอย่างหนักหน่วง
“ก๊อง”
คลื่นเสียงสีทองขนาดมหึมาที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งเร็วจี๋เข้าใส่กองทัพแมลงที่เหาะดาหน้าเข้ามา ระหว่างที่ลอยไปมันก็ยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อมาถึงเบื้องหน้ากองทัพแมลงก็มีขนาดเจ็ดแปดสิบจั้งแล้ว
“วิ้ง!”
บริเวณที่ถูกคลื่นเสียงสีทองล้อมเอาไว้ ร่างกายของแมลงหลายร้อยตัวสั่นสะท้าน กลายเป็นเศษเนื้อกับฝนโลหิตนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงสู่เบื้องล่างท่ามกลางระลอกคลื่นสีทองในทันที
อีกด้านหนึ่งในมือของเทียนอินซ่างเหรินแห่งยอดเขาเลื่อนลอยกำลังถือพัดขนนกสีเงินหน้าตาโบราณเล่มหนึ่งอยู่
นางท่องมนตร์ออกจากปากครู่หนึ่งก็ออกแรงโบกพัดไปทางเหล่าแมลงที่อยู่ด้านหน้า
พัดสีเงินฉับพลันยิงประกายแสงดุจดวงตะวันหลายสายออกมากลายเป็นวิหคอัคคีสีเงินนับไม่ถ้วนทะยานออกไป แต่ละตัวมีเปลวเพลิงสีเงินหุ้มรอบร่าง อสรพิษอัคคีสีเงินผลุบโผล่อยู่ในปาก เสียงวิหคใสกังวานดังขึ้นครู่หนึ่ง พวกมันก็พุ่งพรวดเข้าใส่กองทัพแมลงประหนึ่งลูกธนู
ทันทีที่เหล่าแมลงสัมผัสวิหคอัคคีสีเงิน ร่างกายก็ถูกเปลวเพลิงสีเงินเผาผลาญในทันใด เพียงครู่เดียวมอดไหม้เป็นจุณ แม้แต่เศษซากก็ไม่หลงเหลือสักนิด
เวลานี้ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวครึ่งหนึ่งอิ่มเอิบครึ่งหนึ่งของอินจิ่วหลิงสีหน้านิ่งสนิท สองแขนกางออกเล็กน้อย แสงสีดำผืนใหญ่ทะลักออกมาจากร่าง ธงสีดำสนิทผืนหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีดำ ด้านหนึ่งของธงสีดำคือภาพสัญลักษณ์มังกรกระดูกสีดำตัวหนึ่ง ส่วนอีกด้านปักภาพพยัคฆ์ดุร้ายขนาดมหึมาตัวหนึ่งเอาไว้
อินจิ่วหลิงโบกมือส่งเคล็ดวิชาหลายสายออกไป ธงสีดำผืนใหญ่เปล่งแสงสว่างจ้า เสียงคำรามดังขึ้น ฉับพลันมังกรกระดูกสีดำก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งออกมาจากผืนธง
ดวงเนตรปีศาจของมังกรกระดูกลืมตาขึ้น ก่อนจะอ้าปากพ่นพายุปีศาจสีดำลูกแล้วลูกเล่าออกมา พริบตาเดียวทรายปลิวฟุ้งก้อนหินกระเด็นกระดอน รอบบริเวณหลายร้อยจั้งราวกับเกิดพายุทรายขนาดมโหฬารขึ้นมาอย่างผิดปกติ จุดที่มันพัดผ่าน เหล่าแมลงถูกสะบั้นกลายเป็นชิ้นๆ ในทันใด เศษขาซากร่างโปรยปรายประหนึ่งสายฝน
เหล่าผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละคนของสำนักในทยอยเรียกอาวุธเวทออกมาใช้การโจมตีอันโหดเหี้ยม กองทัพแมลงระดับล่างที่เพิ่งเหาะเข้ามาถูกโจมตีพินาศในทันที
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ด้านหลังเห็นภาพนี้พลันเกิดกำลังใจฮึกเหิม พวกเขาแบ่งเป็นกลุ่มภายใต้การนำของผู้อาวุโสจากแต่ละยอดเขาแล้วพุ่งไปทางยอดเขาแสงอัสดงประหนึ่งน้ำหลาก…
ด้านในหุบเขาของยอดเขาแสงอัสดง หลิ่วหมิงซ่อนนิ่งอยู่หลังก้อนหินใหญ่ภายในถ้ำ แม้แต่ลมหายใจก็เหมือนจะไม่มี
ในตอนนี้เองท้องนภาทางทิศตะวันออกพลันเกิดคลื่นพลังเวทขนาดมหึมาเคลื่อนมา พร้อมกับเสียงเข่นฆ่าของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ที่ดังลอยมาเลือนราง
หลิ่วหมิงเงยหน้าทันที ในดวงตาฉายแววดีใจจางๆ ดูท่าหลังจากเทียนเกอเจินเหรินได้รับสัญญาณจากตน ผู้ฝึกฝนจากนิกายยอดบริสุทธ์ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ในตอนนี้เองแมลงหน้าตาเหมือนผีเสื้อยักษ์ตัวหนึ่งก็เหาะอย่างรวดเร็วมาจากไกลๆ ที่คลื่นพลังเวทส่งมา ก่อนจะร่อนลงเบื้องหน้าแมลงระดับดาราพยากรณ์ไม่กี่ตัวนั้นในหุบเขา มันหมอบร่าง ปากส่งเสียงร้องแสบแก้วหูเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ น้ำเสียงดูเหมือนจะร้อนรนอย่างยิ่ง
ทันทีที่เสียงหนวกหูซึ่งผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั้งหลายมิอาจเข้าใจได้อย่างสิ้นเชิงดังลอยออกไป เหล่าแมลงทั้งหมดในหุบเขาก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
“กี๊ซ!” แมลงระดับดาราพยากรณ์รูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งแหงนหน้าคำรามหวีดแหลมครั้งหนึ่ง เหล่าแมลงในหุบเขาพลันเงียบลงในบัดดล
“แมลงพวกนี้ฝึกซ้อมมาอย่างมีระเบียบเช่นนี้เชียว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง
แมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวนี้เปล่งเสียงหนวกหูอยู่หลายครั้งคล้ายกำลังออกคำสั่งบางอย่าง แมลงระดับแก่นแท้ที่กระจายอยู่ทั่วหุบเขาทยอยเหาะขึ้นฟ้าแล้วบินวนรอบแมลงระดับดาราพยากรณ์หลายตัวนี้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แมลงในหุบเขาก็บินอย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันออกภายใต้การนำของแมลงระดับแก่นแท้เหล่านี้
ใช้เวลาเพียงครู่เดียวแมลงในหุบเขาก็จากไปมากกว่าครึ่ง เหลืออยู่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์พวกนั้นจะเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนที่บุกมาพลังไม่อ่อนแอ ดูท่าพวกเราคงนั่งว่างอยู่ไม่ได้แล้ว ลงมือพร้อมกันสังหารผู้ฝึกฝนนิกายยอดบริสุทธิ์พวกนี้ให้หมด สักคนก็อย่าให้เหลือ!” แมลงระดับดาราพยากรณ์รูปร่างสูงใหญ่หันกลับมาใช้ภาษาเผ่าหนอนผีเสื้อพูดคุยกับแมลงระดับดาราพยากรณ์สามตัวที่เหลือ