ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1147 หวนพบเจียหลาน (ปลาย)

ดวงตาของเจียหลานทอประกายเย็นเยียบ สองมือเปล่งแสงสีฟ้าวูบหนึ่ง แถบผ้าสีฟ้าหลายเส้นลอยละล่องยืดออกมาจากในแขนเสื้อ ข้อมือขาวผ่องทั้งคู่สะบัดครั้งเดียว พวกมันก็เริงระบำจนแทบไร้ช่องว่าง

อึดใจต่อมาคมดาบสีฟ้ามากมายระลอกแล้วระลอกเล่าพลันซัดสาดออกมาจากแถบผ้าไหมสีฟ้า บีบให้แมลงเหล่านั้นที่โถมเข้าใส่ถอยร่นไปเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็ปกป้องตนเองไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

แมลงยักษ์ระดับแก่นท้สีเขียวเข้มที่เป็นหัวหน้าเห็นสถานการณ์ สองตาพลันเบิกโต อ้าปากกว้าง พ่นของเหลวเหนียวสีเขียวเหม็นคาวแถบใหญ่ออกมา

ฉ่า!

ของเหลวเหนียวหนืดเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อน พวกมันกร่อนแถบผ้าสีฟ้าอย่างรวดเร็ว แสงจิตวิญญาณป้องกันรอบตัวของเจียหลานอ่อนแรงลง แมลงเจ็ดแปดตัวอาศัยช่องว่างแทรกตัวเข้ามาถึงระยะเจ็ดแปดจั้งข้างตัวนาง สถานการณ์อันตรายยิ่งยวดในทันใด

“ระเบิด”

ดวงเนตรงามของเจียหลานวาวโรจน์ ปากเอ่ยออกมาเบาๆ คำหนึ่ง แถบผ้าสีฟ้ารอบตัวพลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีฟ้าดวงแล้วดวงเล่าระเบิดขึ้นมา

ลมปราณหนาวเย็นสายหนึ่งแผ่ออกมาพร้อมเปลวเพลิงสีฟ้าที่กลืนแมลงระดับล่างหลายสิบตัวเข้าไปในพริบตา

เมื่อเปลวเพลิงสีฟ้าค่อยๆ มอดดับลงจึงเผยให้เห็นร่างแมลงที่กลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีฟ้าใสทั่วร่างตัวแล้วตัวเล่า จากนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นติดกันหลายครั้ง พวกมันกลายเป็นเศษผงสีฟ้าหายไปอย่างหมดจด

แมลงยักษ์ระดับแก่นแท้สีเขียวเข้มเห็นเช่นนี้ สองตาพลันฉายประกายดุร้าย มันสูดหายใจอย่างบ้าคลั่งเฮือกหนึ่ง ร่างกายฉับพลันขยายพรวดขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่ สองฝั่งของหัวมีหนวดสีดำยาวเรียวคู่หนึ่งงอกออกมา

หนวดสองเส้นบิดขยับกลางอากาศครั้งหนึ่งก็กลายเป็นไอหมอกสีเขียวเข้มก้อนโตล้อมเข้าหาเจียหลานจากสองฝั่ง

เจียหลานเห็นแมลงระดับแก่นแท้ลงมือเอง ฟันงามพลันขบเข้าหากัน ควบคุมแถบผ้าไหมรอบตัวอย่างสุดชีวิต

ในเวลาเดียวกันนี้ ห่างออกไปหมื่นกว่าลี้ ลำแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งกำลังเหาะอย่างรวดเร็วมาทางที่เจียหลานอยู่

ผู้ที่อยู่ในลำแสงก็คือซาทงเทียนผู้สวมอาภรณ์หรูหรา

ยามนี้เขาสีหน้าเคร่งขรึมเร่งแสงกระบี่ใต้เท้าสุดกำลัง แล้วยังเรียกยันต์เหาะเหินอันหายากแผ่นหนึ่งออกมาเสริม แต่ก็จนปัญญาด้วยยังห่างจากจุดที่เจียหลานอยู่อีกช่วงใหญ่

……

“ปัง!”

แถบผ้าสีฟ้าเส้นสุดท้ายบนแขนของเจียหลานถูกพลังมหาศาลกระแทกขาดกระจุย ร่างกายโซเซถอยหลังหลายก้าวกว่าจะตั้งหลักได้ ดวงหน้างามซีดเผือด

นางใช้พลังระดับแก่นเสมือนรับมือกับการรุมโจมตีของแมลงระดับแก่นแท้หนึ่งตัวเสริมด้วยแมลงระดับล่างหลายร้อยตัวรอบด้าน ถูกบีบจนต้องระเบิดอาวุธจิตวิญญาณชั้นยอดระดับต้นแบบอาวุธเวทไปหลายชิ้นกว่าจะยืนหยัดต้านมาจนถึงตอนนี้ได้

ในยามนี้นางสีหน้าซีดเผือดยิ่งนัก รอบอาภรณ์มีเส้นสายฟ้าสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าพันอยู่เลือนราง

เมื่อครู่นี้เองนางใช้ยันต์สายฟ้าสวรรค์ที่ผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยมอบให้ แต่การโจมตีด้วยวิชาเวทได้ผลกับแมลงเหล่านี้น้อยนิดอย่างแท้จริง แม้ทำให้จำนวนเผ่าหนอนผีเสื้อที่ล้อมอยู่หายไปไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแมลงระดับล่าง

แมลงตั้งแต่ระดับผลึกขึ้นไปอีกหลายตัวกับแมลงระดับแก่นแท้ตัวนั้นยังปลอดภัยไร้อันตรายและยังล้อมนางอยู่

แมลงระดับแก่นแท้เห็นว่าเจียหลานสูญเสียแสงสีฟ้าที่ปกป้องร่างไปแล้วจึงกรีดร้องอย่างตื่นเต้นยินดี อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวผืนหนึ่งครอบลงมาหานาง

ร่างกายเจียหลานขยับหมายจะหลบ แต่ทันใดนั้นกายอ้อนแอ้นพลันสะท้านเพราะกระทบกระเทือนถูกอาการบาดเจ็บจุดหนึ่งบนร่างจนอ้าปากกระอักเลือดออกมาหลายคำ แววตาหม่นแสงลงอย่างห้ามไม่ได้

ในตอนนี้เองเงาคนสีดำร่างหนึ่งก็โฉบมาขวางอยู่หน้าเจียหลาน

เจียหลานตกตะลึง แต่เมื่อดวงเนตรงามเห็นเงาคนที่อยู่เบื้องหน้าชัด ใบหน้างามก็เต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อในทันใด

เงาคนสีดำยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งบินออกมา มันพร่าเลือนวูบเดียวกลายเป็นเงากระบี่สีม่วงมากมายถี่ยิบผืนหนึ่ง ล้อมอาณาเขตร้อยจั้งไว้ในพริบตา

เสียงหวีดหวิวดังลั่น!

เปลวเพลิงสีเขียวดวงนั้นถูกแสงกระบี่กวาดหายไปในทันใด แมลงระดับแก่นแท้ตัวนั้นกลายเป็นด่านแรกที่ปะทะกับแสงกระบี่ มันกรีดร้องอย่างหวาดกลัว แสงสีเขียวแถบใหญ่ผุดออกมาจากบนร่างก่อตัวเป็นเกราะแสงสีเขียวชั้นหนึ่งปกป้องทั้งร่างเอาไว้

เงาคนสีดำแค่นเสียงหยัน เงากระบี่สีม่วงที่ร่วงลงบนร่างของแมลงระดับแก่นแท้เปล่งแสงวูบหนึ่ง จากนั้นรวมตัวกันเป็นเงากระบี่ยักษ์สีม่วงขนาดหลายสิบจั้งเล่มหนึ่งวนรอบหัวของแมลงระดับแก่นแท้ปานสายฟ้าแลบ

เปรี๊ยะ!

เกราะแสงสีเขียวรอบร่างแมลงระดับแก่นแท้ฉีกขาดประหนึ่งกระดาษ แมลงระดับแก่นแท้แววตานิ่งค้าง หัวเอียงกะเท่เร่ ร่วงลงไปเบื้องล่างอย่างไร้เสียงในทันใด

ต่อจากนั้นกระบี่ยักษ์สีม่วงพลันส่งเสียงดังสนั่นครั้งหนึ่ง แล้วระเบิดตัวกลายเป็นรัศมีกระบี่มากมายถี่ยิบซัดสาดไปทั่วทุกสารทิศ สังหารแมลงทั้งหมดรอบด้านจนสิ้นในครั้งเดียว

หลังเสียงกรีดร้องโหยหวนระลอกหนึ่งจบลง แมลงทั้งหมดก็กลายเป็นรูพรุนในพริบตา แมลงหลายสิบตัวถูกสังหารแบบเดียวกัน

เงาคนสีดำโบกมือครั้งหนึ่ง เงากระบี่สีม่วงเต็มฟ้าเปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งบินกลับมาอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงหันกายกลับมาช้าๆ หลิ่วหมิงนั่นเอง

“หลิ่ว…”

เจียหลานกัดริมฝีปากสีชมพูแผ่วเบา ดวงเนตรงามเปล่งประกายระยิบระยับ แม้จะพยายามเก็บสีหน้าให้นิ่งอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะปิดบังสีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าเอาไว้

“ศิษย์น้องเจียหลาน…” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ในใจก็ตื่นเต้นเล็กน้อยอยู่เลือนรางเช่นกัน แต่เขาสุขุมกว่าเจียหลานมาก

ทันใดนั้นสายตาของเขาก็จับอยู่บนร่างของเจียหลาน แววตาเก้อกระดากจางๆ

เจียหลานงุนงงครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงแววตาประหลาดของหลิ่วหมิงจากนั้นมองมาที่ตนเอง แก้มสองข้างแดงปลั่งในทันใด

ก่อนหน้านี้นางรบราอยู่กับแมลงทั้งหลาย เสื้อผ้าบนร่างจึงขาดเสียหายหลายตำแหน่ง แม้ไม่ถึงขั้นมิมีเสื้อผ้าปิดกาย แต่ก็เผยผิวขาวเนียนออกมาอยู่มาก โดยเฉพะอย่างยิ่งเสื้อตรงหน้าอกที่ฉีกเป็นช่องโหว่เผยให้เห็นเสี้ยวหนึ่งของเนินเนื้อขาวอวบอิ่มที่นูนขึ้นมา

หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแล้วหันหน้ามองทางอื่นอย่างฉับพลัน เขากระแอมเบาๆ แล้วถอดเสื้อคลุมสีน้ำเงินบนร่างตวัดคลุมร่างของเจียหลานบดบังเรือนร่างวัยสาวของนาง

เจียหลานก้มหน้างุด ปล่อยให้หลิ่วหมิงทำตามใจอย่างไม่ขัดขืน

ในตอนนี้เองเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น แสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงปานสายฟ้า แสงสีน้ำเงินกะพริบสองสามครั้งก็เผยร่างของซาทงเทียนออกมา

“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าไม่เป็น…”

ซาทงเทียนเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าร้อนรนเป็นห่วงเป็นใย แต่เมื่อเห็นร่างของหลิ่วหมิงรวมถึงศพของแมลงที่เกลื่อนกลาดรอบด้าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที คำพูดที่มาถึงปากแล้วหยุดชะงัก

“อ้อ ที่แท้ก็พี่ซานี่เอง ไม่พบกันนาน” หลิ่วหมิงคลุมเสื้อให้เจียหลานแล้วเลื่อนมือไปสางเส้นผมเงางามที่ยุ่งเหยิงของนาง จากนั้นจึงโบกมือเรียกอารภรณ์สีน้ำเงินตัวหนึ่งมาสวมบนร่างแล้วมองซาทงเทียนด้วยแววตาเรียบเฉย

เขาโคจรพลังเวทมหาศาลในร่างเล็กน้อย แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดกลัวสายหนึ่งห้อมล้อมบริเวณรอบด้านในพริบตา

ดวงเนตรงามของเจียหลานเป็นประกาย มืองามกำอาภรณ์สีน้ำเงินบนร่างแน่น สายตาจับนิ่งอยู่ที่หลิ่วหมิงคล้ายไม่มีที่ให้มองผู้อื่นอีก

สายตาของซาทงเทียนจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง เมื่อเห็นท่าทางใกล้ชิดระหว่างเขากับเจียหลาน รวมถึงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณที่ใกล้เคียงกับระดับดาราพยากรณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของหลิ่วหมิง ใบหน้าผอมยาวก็บิดเบี้ยวเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้

“ดูท่าพี่ซาคงไม่มีธุระอันใด แมลงที่นี่ข้ากวาดล้างจนเกลี้ยงแล้ว หากพี่ซาต้องการสร้างผลงานสักหน่อยก็เชิญไปที่อื่นเถิด” หลิ่วหมิงยกยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม แล้วโบกมือข้างหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งผุดออกจากร่างมาล้อมร่างของตัวเขาเองกับเจียหลานเอาไว้ แล้วกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะไปทางเทือกเขาหมื่นวิญญาณ

“ระดับแก่นแท้…”

ซาทงเทียนมองพวกหลิ่วหมิงสองคนจากไป สองมือกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นระริกอยู่พักหนึ่ง

ในใจเขารู้กระจ่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่เหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง เขาสูญเสียความหวังเสี้ยวสุดท้ายไปแล้ว

แสงสีดำของหลิ่วหมิงเหาะออกมาได้หลายพันลี้ก็ร่อนลงบนหุบเขาน้อยแห่งหนึ่งใกล้กับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พวกเขาสบตากันเงียบๆ

หลิ่วหมิงมองคนงามตรงหน้า ชั่วขณะไม่รู้ว่าสมควรเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

เจียหลานมองหลิ่วหมิงเงียบๆ สีหน้าฉายแววตัดพ้ออยู่เลือนราง ทว่าทันใดนั้นคิ้วงามของนางก็ขมวดมุ่น เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย

หลิ่วหมิงฉุกคิดได้ รีบกุมมืองามของเจียหลานเอาไว้ พลังเวทมหาศาลทะลักออกมาก่อนจะถ่ายเทเข้าไปในร่างของเจียหลาน

เจียหลานสีหน้าทุเลาลง ธารความอบอุ่นสายมหึมาแล่นวนรอบร่างของนางอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บบนร่างเมื่อได้พลังเวทสายนี้ช่วยก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติอย่างช้าๆ

“เจ้านั่งโคจรปราณก่อนสักครู่ นี่คือโอสถรักษาอาการบาดเจ็บธาตุหยิน ค่อนข้างเหมาะกับสภาพร่างกายของเจ้า น่าจะช่วยได้บ้าง” หลิ่วหมิงประคองเจียหลานให้นั่งลงช้าๆ แล้วพลิกมือเรียกโอสถสีเทาเม็ดหนึ่งที่แผ่คลื่นปราณหยินจางๆ ออกมา

นางไม่พูดพร่ำรับโอสถไปแล้วแหงนหน้ากลืนลงท้อง จากนั้นโคจรปราณเงียบๆ

หลิ่วหมิงยืนคุ้มกันอยู่ด้านข้าง สายตาจับบนใบหน้างามล้ำเลิศของนาง แววตาซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตา

เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น สีหน้าของเจียหลานก็ดีขึ้นไม่น้อย นางค่อยๆ หยุดโคจรลมปราณแล้วลุกขึ้นยืน

“เป็นเช่นไร ยังมีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?” หลิ่วหมิงมองสำรวจเจียหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางจับข้อมือของนาง ส่งพลังเวทสายหนึ่งเข้าไป

“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าเพียงพลังเวทปั่นป่วนจนร่างกายบาดเจ็บภายในเล็กน้อยเท่านั้น โอสถของท่านฤทธิ์ดีนัก ยามนี้ไม่เป็นอันใดมากแล้ว พักผ่อนสักวันก็คงหายดี” เจียหลานเลื่อนสายตาไปเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของหลิ่วหมิง ริมฝีปากพลันยกโค้ง มือขยับจัดเส้นผมเงางามพลางเอ่ยบอก

พลังเวทของหลิ่วหมิงวนสำรวจในร่างกายของเจียหลานรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าไม่เป็นอันใดมากจริงจึงพยักหน้าเก็บมือกลับไป

“พี่หลิ่ว ยามนั้นท่านบอกว่าจะไปทางปีศาจร้ายฝึกปรือสักพัก แต่ครั้งไปแล้วกลับใช้เวลาหลายสิบปี ไม่มีสิ่งใดอยากพูดกับข้าบ้างหรือ?” ดวงเนตรงามสองข้างของเจียหลานจ้องหลิ่วหมิงเขม็ง

“ขออภัยศิษย์น้องเจียหลาน หลายปีนี้ที่ข้าต้องร่อนเร่อยู่ข้างนอก หาใช่เจตนาของข้าไม่…” หลิ่วหมิงถอนหายใจ จากนั้นก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งกุมมืออ่อนนุ่มทั้งสองข้างของเจียหลานไว้เบาๆ

“หลายปีนี้ท่านไปที่ใดมาหรือ? ข้าถามจากศิษย์พี่เสี่ยวอู่แห่งยอดเขาลั่วโยวของพวกท่าน ได้ยินว่าท่านหายตัวไประหว่างสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งในทางปีศาจร้าย นิกายส่งคนออกค้นหาอยู่เนิ่นนานก็หาไม่พบ ทุกคนคิดว่าท่านโชคร้ายตายอยู่ในนั้นเสียแล้ว” แก้มของเจียหลานแดงระเรื่อ ถามเสียงอ่อนหวาน

“ประโยคเดียวคงเล่าไม่หมด ยามนั้นข้า…” หลิ่วหมิงยิ้มจืดเจื่อน จากนั้นเล่าเรื่องที่ตนถูกเผ่าผีระดับดาราพยากรณ์ไล่สังหาร พลัดตกลงไปยังยมโลก จากนั้นได้โชควาสนาผนึกแก่นแท้สำเร็จ สุดท้ายได้ชิงหลิงช่วยเหลือจนย้อนกลับมายังแผ่นดินจงเทียนได้อย่างสั้นๆ รอบหนึ่ง แม้แต่เรื่องที่ดินแดนทางใต้ก็เล่านิดหน่อยด้วย

“ที่แท้ระหว่างนั้นเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้” เจียหลานฟังเรื่องราวที่พลิกผันไปมาหลายปีนี้ของหลิ่วหมิงจบ ดวงเนตรงามพลันวูบไหว

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านไม่เพียงผนึกแก่นแท้สำเร็จ แต่ยังฝึกฝนจนถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้วด้วยหรือ” เจียหลานกัดริมฝีปากสีชมพูเบาๆ แล้วถามขึ้นมา

“ใช่แล้ว ยามนี้บรรลุจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลาง คาดว่าการเลื่อนเข้าขั้นปลายคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ตอบออกมาตามตรง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset